‘Volkswagen’ อาจต้องปิดโรงงานในเยอรมนีเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หลังสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง-คู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งมากขึ้น
ทีมผู้บริหาร Volkswagen ออกมายอมรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในวันนี้ กำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากมาก ที่อาจทำให้หนึ่งในค่ายรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเยอรมนีแห่งนี้ ต้องตัดสินใจปิดโรงงาน 2 แห่งในบ้านเกิดตัวเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในปี 1937
โดยบอร์ดผู้บริหาร ที่นำโดย โอลิเวอร์ บลูม CEO คนปัจจุบันของ Volkswagen ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ (2 กันยายน 67) ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัท ไม่สามารถตัดทางเลือกในการปิดโรงงานในเยอรมันออกไปได้ และได้พิจารณามาตรการอื่น ๆ เพื่อรองรับอนาคตไว้แล้ว นั่นรวมถึงความพยายามในการเจรจายุติข้อตกลงคุ้มครองการจ้างงานกับสหภาพแรงงาน ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1994
โอลิเวอร์ บลูม กล่าวว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตลาดมีความต้องการที่จริงจัง และ ยากลำบากมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ในขณะเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง และมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดยุโรปมากขึ้น ทำให้เยอรมัน ในฐานะฐานการผลิตรถยนต์กำลังเสียเปรียบในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน
ผู้บริหาร Volkswagen ยอมรับด้วยว่า VW กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนให้กับแบรนด์รถยนต์ EV เจ้าถิ่นอย่าง BYD จนทำให้ยอดขายลดลงในช่วงครึ่งปีแรก 7% ส่งผลต่อกำไรที่ลดลง 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และนอกจากผลประกอบการในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen จะไม่ดีแล้ว ยังถูกแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนข้ามมาตีตลาดในยุโรปอีกด้วย
ปัจจัยเหล่านี้ บีบให้ทีมบริหารของ Volkswagen จำเป็นต้องลดต้นทุน และได้เริ่มกระบวนการลดต้นทุนถึง 1 หมื่นล้านยูโรไปเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา และตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแนวทางหลักในการกอบกู้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัท ซึ่งแผนการลดต้นทุน จะรวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านโรงงาน ห่วงโซ่อุปทาน และค่าจ้างแรงงาน
และแน่นอนว่า แผนการลดต้นทุนของ Volkswagen ถูกต่อต้านอย่างหนักจากตัวแทนสหภาพแรงงาน ซึ่งครองที่นั่งเกือบครึ่งหนึ่งในคณะกรรมการกำกับดูแลของบริษัท
โดยกลุ่ม IG Metall หนึ่งในสหภาพที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเยอรมนี โจมตีการบริหารจัดการที่ผิดพลาดทีมผู้บริหาร Volkswagen จนอาจนำไปสู่แผนการปิดโรงงาน และเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ว่าเป็นการตัดสินใจที่ขาดความรับผิดชอบ ไร้วิสัยทัศน์ สั่นคลอนรากฐานของ Volkswagen ที่จะส่งผลกระทบต่อระดับการจ้างงาน และ เขตอุตสาหกรรมที่ตั้งโรงงานอย่างรุนแรง พร้อมยืนยันจะต่อสู้เพื่อปกป้องตำแหน่งงานของชาวสหภาพอย่างสุดกำลัง
Volkswagen ถือเป็นหนึ่งผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่มีพนักงานเกือบ 683,000 คนทั่วโลก เฉพาะในเยอรมนี ก็มีการจ้างงานถึง 295,000 ตำแหน่ง ซึ่งนอกเหนือจากแบรนด์ Volkswagen แล้ว ทางบริษัทยังผลิตรถยนต์แบรนด์อื่น ๆ อีก อาทิ Audi, Porsche, Seat, Škoda และอื่น ๆ
แต่ด้วยสภาพการแข่งขันสูงในตลาดรถยนต์ และอุปสรรคหลายประการของการเปลี่ยนแปลงจากผู้ผลิตรถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิมที่มีกำไรมากกว่า ไปสู่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดแต่กำไรน้อยกว่ามาก แถมยังต้องต่อสู้แข่งขันเรื่องราคากับรถยนต์ EV จากจีน ทำให้ Volkswagen กำลังประสบปัญหาเรื่องยอดขายและผลประกอบการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นั่นจึงเป็นที่มาของแผนลดต้นทุน และการประกาศจะปิดโรงงาน Audi ในเบลเยียม และล่าสุดอาจต้องถึงขั้นปิดโรงงานอย่างน้อย 1 แห่งในบ้านเกิดตนเองในเยอรมัน เป็นครั้งแรกในรอบ 87 ปี ของการก่อตั้งบริษัท
ไม่เฉพาะแค่ Volkswagen เท่านั้น ค่ายรถยนต์ทั้งในสหรัฐอเมริกา และ ยุโรปต่างประสบปัญหาเดียวกัน จนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เช่น Ford ได้ประกาศยกเลิกแผนการพัฒนารถยนต์ SUV ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และเลื่อนการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าออกไป รวมทั้งค่ายรถยนต์ General Motors, Mercedes-Benz และ Bentley ต่างก็เลื่อนแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกไปเช่นกัน ในขณะที่ Tesla ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังเผชิญหน้ากับปัญหายอดขายตกต่ำทั้งในตลาดที่สหรัฐอเมริกา และต่างประเทศ
ถึงแม้ว่ารัฐบาลของสหภาพยุโรป, สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ต่างออกมาร่วมด้วยช่วยกันใช้มาตรการขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าจากจีน สกัดการไหลบ่าของสินค้าจีนเข้าประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ทว่ามาตรการทางภาษีของรัฐบาลจะได้ผลเร็วพอที่จะยับยั้งแผนการปิดโรงงานของ Volkswagen ได้ทันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
