Tuesday, 22 April 2025
ปัญหายาเสพติด

'วัน' จวก!! 'ประยุทธ์' ไม่จริงใจแก้ปัญหายาเสพติด ชี้!! น่าอนาถใจ 'ยาบ้า' หาง่าย ราคาเท่าบะหมี่กึ่งฯ

'วัน' แนะแก้ปัญหายาเสพติดต้องกำจัดสารตั้งต้น ปิดเส้นทางลำเลียงยา อัด 'ประยุทธ์' ไม่จริงใจแก้ปัญหายยาเสพติดในไทย ประชาชนหวั่นยาเสพติดที่จับได้อาจเล็ดรอดสู่ตลาดอีกครั้ง

นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดยาเสพติดในประเทศไทย มีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะยาบ้าระบาดทุกพื้นที่ของประเทศ น่าอนาถใจในอดีตยาบ้าจากเม็ดละ 300-400 บาท เพราะหาซื้อยาก ปัจจุบันเหลือเม็ดละ 7 บาท ราคาเท่ามาม่า บริหารยังไงให้ยาบ้าถูกขนาดนี้ แสดงว่ามียาบ้ามหาศาลในประเทศไทย หาซื้อได้ตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ปัญหามาจากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปล่อยปละละเลย ไม่จริงใจที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง 

ทั้งนี้การบริหารจัดการยาเสพติด รัฐบาลทำไมไม่ศึกษาจากรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง เป็นรองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบด้านการปราบปรามและป้องกันยาเสพติด สามารถป้องกันได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ยาบ้าลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

พท. ลั่น ทำสงครามยาเสพติดทันทีที่แลนด์สไลด์ วอนอย่าหลงผิดเชื่อวาทกรรม ‘ฆ่าตัดตอน’

‘ชลน่าน’ ชี้ เพื่อไทยพร้อมทำสงครามยาเสพติดทันทีที่ชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ ย้ำอย่าหลงผิดวาทกรรมฆ่าตัดตอน อาจถูกมองเข้าข้างผู้ค้า-ผู้เสพ ได้

พรรคเพื่อไทย จัดงานเสวนา ‘เพื่อไทย ประกาศสงครามยาเสพติด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า’ โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า โศกนาฏกรรมที่ จ.หนองบัวลำภู เป็นจุดกระตุ้นใหญ่ที่พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องประกาศต่อสาธารณชนว่า เราจะทำสงครามกับยาเสพติด โดยจะนำเอาแนวคิดที่เคยดำเนินการในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยยังคงหลักการเดิมคือการนำมิติเชิงสังคมมาช่วยกันดูแลคนในสังคม ภายใต้การคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และกรอบของกฎหมาย แม้แนวทางดังกล่าวจะถูกกล่าวหาโจมตีมาโดยตลอด เช่น วาทกรรมฆ่าตัดตอน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าไม่ได้เกิดจากผู้กำกับนโยบายเป็นผู้ดำเนินการ แต่เป็นกระบวนการทางสังคม จึงยืนยันว่าไม่มีนโยบายฆ่าตัดตอนเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้ทุกองค์กร อย่าหลงเข้าใจผิดกับวาทกรรมดังกล่าวนี้ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการเข้าข้างเปิดทางให้ผู้ใช้ยาเสพติดแสวงหาผลประโยชน์จากวาทกรรมนี้ได้ เพราะศัตรูร้ายของการแพร่ระบาดของยาเสพติด คือ ผลประโยชน์   

ทั้งนี้หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะทำสงครามกับยาเสพติด โดยจะดำเนินการใน 5 ส่วน ได้แก่

1. ปราบปรามการใช้ยาเสพติดด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เข้มข้นบนหลักแห่งความจริง ไม่ใช้กฏหมายที่ล้นเกิน 

2. นำบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้เสพไปบำบัดฟื้นฟู ให้กลับสู่สังคมได้ ผู้เสพคือผู้ป่วย ต้องได้รับการบำบัด รักษา ฟื้นฟู โดยต้องแยกผู้ป่วยตามประเภทของยาเสพติดอย่างชัดเจนว่า ติดยาเสพติดประเภทใด ต้องได้รับการบำบัดที่แตกต่างกัน 

3. มาตรการป้องกัน และการเพิ่มองค์ความรู้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รู้จักโทษและพิษภัยของยาเสพติด รวมทั้งการใช้กลไกชุมชนเข้มแข็ง ‘บวร’ (บ้าน วัด โรงเรียน) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน จับมือกันเป็นสถาบันชุมชนที่เข้มแข็ง ใช้มาตรการทางสังคมช่วยกันปกป้องลูกหลานและคนในสังคม

4. มาตรการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปราม เพราะกระบวนการผลิตยาเสพติดขณะนี้มี 7 บริษัทแย่งกันผลิตป้อนเข้ามา กำลังการผลิตมหาศาล ต้นทุนการผลิตต่ำเม็ดละ 4-7 บาท 

5. ยาเสพติดเป็นเรื่องของทุกภาคส่วนในสังคม ต้องประสานงานบูรณาการร่วมกันป้องกัน

ทั้งนี้ ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะนำกรณีโศกนาฏกรรม จ.หนองบัวลำภู และกรณีการแพร่ระบาดของยาเสพติด เข้าสู่ญัตติด่วนต่อสภา ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งจะมีการเปิดโปงข้อมูลว่าใครเกี่ยวข้องกับกระบวนยาเสพติดบ้าง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและกองทุน กล่าวว่า พรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคพลังประชาชน และเพื่อไทยเริ่มต้นแก้ไขปัญหายาเสพติดจากศูนย์และทยอยแก้ไข แต่สถานการณ์ในขณะนี้ต้องเริ่มต้นแก้ไขปัญหาจาก 10 แม้รัฐบาลโดยการนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศอย่างชัดเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาว่าจะเข้ามาวางรากฐานสังคม เศรษฐกิจและการเมือง แต่ผ่านมา 4 ปี สถานการณ์หนักกว่าเดิม รวมถึงการแพร่ระบาดของยาเสพติด แต่ที่ร้ายแรงกว่ายาเสพติดประเภทอื่นคือ การเสพติดอำนาจของพลเอกประยุทธ์เอง

สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหายาเสพติด คือรัฐบาลต้องตัดวงจรที่เรียกว่า ‘ของชนของ’  จับกุมผู้ค้าและผู้เสพที่มียาเสพติดให้ได้ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงรู้ดี 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องลงทุนเครื่องเอกซเรย์ยาเสพติดที่ได้มาตรฐาน ประจำตามจุดพรมแดนระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่เมือง ทั้งนี้หากรัฐบาลยังเมินเฉยไม่แก้ไขปัญหา มีความกังวลว่าจะมีคนตายเป็นล้านคนก็เป็นได้  

ทั้งนี้การที่พรรคเพื่อไทยประกาศทำสงครามกับยาเสพติด ต้องหาจุดต่างและจุดยืนร่วมกันระหว่างคนและนโยบาย รวมทั้งกระบวนการในมิติเชิงสังคมในระดับชุมชนมีความสำคัญมาก ที่ผ่านมาการทำสงครามกับยาเสพติดในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชน มีแต่คนชื่นชม เพราะมีทั้งหมู่บ้านสีขาว หมู่บ้านปลอดยาเสพติด เป็นต้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ สถิติยาเสพติดลดลงอย่างมีนัยยะ เพราะไม่มีการจับกุมที่มากพอ

'ผู้พันเรย์' นำทหารตรวจปัสสาวะ เดินหน้ายุทธศาสตร์คนดี แก้ปัญหายาเสพติด

(15 พ.ย. 65) ณ กองบังคับการกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล  พันเอกเรวัตร เซ่งเข็ม ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 นำกำลังพลรวมแถวประจำสัปดาห์ โดยมีกิจกรรม เคารพธงชาติ, การสวดมนต์, บทสเจ ราชสวัสดิ์ กล่าวบทถวายเป็นพระราชกุศล และพระนามเต็มฯ อันเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ด้วยความพร้อมเพรียง หลังจากนั้นจะมอบหมายให้ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการชี้แจงและมอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานแก่ นายทหาร, นายสิบ และ น้องๆ ทหารกองประจำการ ตลอดจนการฝึกทบทวนท่าเบื้องต้นให้กับกำลังพล 

ทั้งนี้ พันเอกเรวัตร เซ่งเข็ม ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 นำทีมนายทหารและกำลังพล ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด เดินหน้ายุทธศาสตร์คนดี แก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่ เริ่มต้นจากบ้านตัวเอง สู่ชุมชน ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยได้เน้นย้ำให้กำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่สร้างเงื่อนไข รักษากฎและระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ซึ่งผลการตรวจตรวจกำลังพล ไม่พบสารเสพติด 

สืบสวนนครบาล รวบเอี้ยก้วยเขาบินแขนเดียว จมมุมคาไอซ์ 233 กิโลกรัม ยาบ้า 200,000 เม็ด เฮโรอีน 746 กรัม เตรียมกระจายลงสู่ชุมชน พื้นที่ กทม.

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม


เมื่อวันที่ 23 -24 มีนาคม 2566  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น  พล.ต.ต.สําเริง สวนทอง รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชป.5 ศอ.ปส.ตร , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น.,พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ สีเสมอ พ.ต.ท.นิติกรณ์  ระวัง รอง ผกก.กก.สส.2 บก.สส.บช.น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน 2 บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวนผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่ รายสำคัญและจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 1 ราย คือ

นายณัฐพงษ์ หรือ หนุ่ม  อายุ 46 ปี ที่อยู่ 68/2 ถนนศรีสำราญ 3 ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี  ฉายาเอี้ยก้วยเขาบิน ผู้ต้องหา
พร้อมด้วยของกลาง
1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนประมาณ 200,000 เม็ด
2.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวมประมาณ 233 กิโลกรัม
3.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน ) จำนวน 2 แท่ง น้ำหนักรวมประมาณ 746 กรัม
4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง
5.รถยนต์ 4 คัน
6. รถจักรยานยนต์ 1 คัน

โดยกล่าวหาว่า “ จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) อันเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ”

สถานที่จับกุม บริเวณริมถนนปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว ใกล้สี่แยกนพวงศ์ขาเข้า  ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดปทุมธานี ต่อเนื่องบ้านเช่าเลขที่ 31/17 ถ.โพธิ์อ้น-หวายสอ ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี

การประชุมแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่าง คณะผู้แทนทางการไทย และ สปป.ลาว

วันที่ 20 เมษายน 2566  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมาย พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.ตร. ) พร้อมคณะผู้แทนทางการไทย ประกอบด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมนึก น้อยคง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. พล.ต.ต.พรพิทักษ์  รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ธีรเดช  ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. และนายคณิศร ภาพีรนนท์ ทูต ปปส.ประจำ สปป.ลาว

ได้ร่วมหารือว่าด้วยเรื่องกลไกความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีคณะทางการลาว ประกอบด้วย พล.จัตวา แก่นจัน  พรมมะจัก รองหัวหน้ากรมตำรวจใหญ่ หัวหน้าคณะ พ.อ.อินปง จันทวงสา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด พ.อ.แพง ไชยะวง รองหัวหน้ากรมตำรวจสกัดกั้นและต้านยาเสพติด พ.ท.พุดสวาด สูนทะลา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด และ พ.ท.ดาลิน สุดาจัน หัวหน้าแผนกบริหาร สำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด

รองชินภัทรลงพื้นที่บ้านหนองวัวซอ จ.อุดรธานี ติดตามโครงการชุมชนยั่งยืน แก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามนโยบาย ผบ.ตร.

วันที่ 21 เมษายน 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.ตร.) พร้อมด้วยพล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมนึก  น้อยคง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นพสิทธิ์  มิตรภักดี รอง ผบก.ปส.1 บช.ปส. พ.ต.อ.อาทร ชิ้นทอง รอง ผบก.ปส.3 บช.ปส. พร้อมด้วย พ.ท.พุดสวาด สูนทะลา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด กับคณะหน่วยปราบปรามยาเสพติดของ สปป.ลาว และนายคณิศร ภาพีรนนท์ ทูต ปปส.ประจำ สปป.ลาว มาศึกษาดูงานโครงการฯ

ตรวจติดตาม การดำเนินการ โครงการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ สภ.หนองวัวซอ ภ.จว.อุดรธานี เพื่อเป็นแบบในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ของทั้ง 2 ประเทศ ณ วัดโนนสว่าง อ.หนองวัวซอ จว.อุดรธานี มีรายละเอียดดังนี้

1. สภ.หนองวัวซอ ได้แสวงหาความร่วมมือกับ พระครูพิพัฒน์วิทยาคม เจ้าอาวาสวัดโนนสว่าง ในการดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนฯ โดยในขั้นตอน บำบัด ฟื้นฟู ใช้รูปแบบ และกระบวนการเดียวกับ โครงการ บำบัดแก้ไข ฟื้นฟู เด็กและเยาวชน ในศูนย์ฝึกและ อบรมเด็กและเยาวชน เขต 4 ซึ่งทางวัดโนนสว่างเป็น ผู้ดำเนินโครงการ และเป็นที่ยอมรับว่า เป็นการ บำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยมีรูปแบบดังนี้
1.1 การดูแลความเป็นอยู่ เสมือนคนในครอบครัว ให้ความรัก ความเมตตา พักอาศัยและกินอยู่ร่วมกัน
1.2 การฝึกฝนเด็ก เน้นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม  ศิลปวัฒนธรรม และดนตรี ในการกล่อมเกลาจิตใจ
1.3 การดูแล ช่วยเหลือ ด้านการศึกษา , การฝึกอาชีพ ทำกลอง, ตีกลอง และการแสดง มีรายได้เป็นเงินขวัญถุง
1.4 การติดตามประเมินผล ต่อเนื่อง 5 ปี เด็กและเยาวชน กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ร้อยละ 1 ถือได้ว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 เปิดอาคาร สภ.หนองแสง ใหม่ พร้อมอำลาราชการ ตรวจเยี่ยม ให้โอวาท มอบหลวงพ่อโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” ชมเชยการทำงานตามนโยบาย ตร. โครงการนาคาพิทักษ์ ต้นแบบแก้ปัญหาผู้ป่วยจิตเวช เน้นย้ำทำงานเชิงรุก ทัศนคติเชิงบวก แก้ปัญหายาเสพติด

วานนี้ (15 ก.ย. 66)  เวลาประมาณ 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางไปเป็นประธานเปิดอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรหนองแสง จว.อุดรธานี โดยมี พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 , พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี , พ.ต.อ.จักรทิพย์ กูลพฤกษี ผกก.สภ.หนองแสง พร้อมแขกผู้เกียรติเข้าร่วม

ผบ.ตร. ขึ้นแท่นรับความเคารพและตรวจแถวกองเกียรติยศ มอบสิ่งของบำรุงขวัญ แก่ตำรวจ สภ.หนองแสง และหน่วยตำรวจในพื้นที่ มอบใบประกาศเกียรติคุณผู้สนับสนุนกิจการงานตำรวจ และทำพิธีเปิดอาคาร กดปุ่มเปิดผ้าแพรคลุมป้ายชื่ออาคารที่ทำการ สภ.หนองแสง ตรวจเยี่ยมภายในอาคาร

สำหรับ สภ.หนองแสง แห่งใหม่ ตร.ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างทดแทนอาคารเก่าซึ่งสร้างมาแล้วกว่า 42 ปี รองรับภารกิจดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 4 ตำบล 38 หมู่บ้าน ประชากร 27,176 คน มีตำรวจทั้งสิ้น 60 นาย ทั้งนี้ สถานีตำรวจแห่งใหม่จะรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจยุคใหม่ ทั้งการอำนวยความยุติธรรม ให้บริการประชาชน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันทุกมิติ

ต่อมาเวลา ประมาณ 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ และคณะ เดินทางมาตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย เพื่ออำลาหน่วย และให้โอวาทตำรวจ โดยมี พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 , รอง ผบช. , ผบก.ในสังกัด ภ.4 เข้าร่วม ส่วนระดับสถานีตำรวจมีการถ่ายทอดการประชุมทางระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์

ผบ.ตร. ได้กล่าวขอบคุณและชมเชยการปฏิบัติงานของตำรวจ ภ.4 ในห้วงที่ผ่านมา ที่ได้ปฏิบัติตามนโยบาย  ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ โครงการนาคาพิทักษ์ ที่ค้นหาและแก้ไขปัญหาผู้ป่วยจิตเวช ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นต้นแบบแนวทางแก่พื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ  มีผลการประเมินตามโครงการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่ดี โดย ภ.4 ได้ลำดับคะแนนเป็นต้นๆในภาพรวมของประเทศ  งานจราจร ภ.4 มีการปฏิบัติที่ดีทั้งในเรื่องการอำนวยความสะดวกการจราจรในเทศกาล การป้องกันและลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ซึ่ง ภ.4 ได้อันดับสองของประเทศ ขอให้รักษามาตรฐานการทำงาน เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน
    
การป้องกันยาเสพติด ให้มุ่งแก้ไขปัญยาเสพติดทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างชุมชนยั่งยืน ทำชุมชนเข้มแข็ง เข้าไปในชุมชน ค้นหาผู้ป่วยผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อร่วมแก้ปัญหา มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำคัญในงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ต้องแสวงหาความร่วมมือกับภาคประชาชนในพื้นที่  และ ภ.4 ได้มีการใช้อุปกรณ์ไม้ง่าม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าดำเนินการได้ดี 

ขอทุกคนให้ความสำคัญ กับการรับแจ้งความออนไลน์ มุ่งปราบปรามจับกุมบัญชีม้าซิมม้า เมื่อจับกุมให้มีการสืบสวนขยายผลติดตามยึดทรัพย์กลุ่มขบวนการที่ทำผิด โดยหลังจากที่มีการออก พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่ คดีก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ขอให้ตำรวจคงความเข้มในการดำเนินการ ทั้งมิติการปราบปราม การป้องกัน สร้างครูไซเบอร์ แสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาคดีออนไลน์ให้ลงลงต่อเนื่อง  

ผบ.ตร.ยังฝากข้อคิดการทำงานให้ตำรวจ ว่า ต้องทำงานเชิงรุก มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน มุ่งหมั่นพัฒนาตนเองให้เป็นตำรวจมืออาชีพ ทำงานเชิงรุก โดยศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ หมั่นทบทวนยุทธวิธี วางแผนการทำงาน ทบทวน ประเมินการปฏิบัติ  แสวงหาความร่วมมือ สื่อสารทำความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ตำรวจพึงมี คือ ทัศนคติเชิงบวกมุ่งมั่นปฏิบัติงานโดยมีประชาชนเป็นที่ตั้ง มีความเสียสละ สามัคคี อุทิศให้ส่วนรวม เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีแล้ว จะเป็นแรงผลักในการทำงาน ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่คิดว่างานในหน้าที่คือภาระ ไม่บ่น ไม่ย่อท้อ แต่จะเห็นว่าอาชีพตำรวจเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ช่วยเหลือประชาชน เปรียบเสมือนการทำบุญ ทำความดีในทุกวัน

หลังมอบนโยบาย ผบ.ตร.ได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร.108 ปี” ที่ ตร.จัดสร้างขึ้น ให้ ภ.4 พร้อมมอบเหรียญอาร์ม พระพุทธโสธร ให้ข้าราชการตำรวจ ภ.4 ทุกนาย เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากที่มอบให้ตำรวจ ภ.5,6,7 และได้ส่งมอบให้ตำรวจทั่วประเทศไปส่วนหนึ่งแล้ว 

จากนั้นเวลา 16.30 น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้เดินทางไปบรรยายพิเศษ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ในการประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสัญจร ประจำปี 2566 ครั้งที่ 5 จังหวัดนครพนม  มี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำภาคธุกิจ หอการค้าไทยทุกจังหวัด ผู้ประกอบการเข้าร่วมฟัง

ผบ.ตร.ได้กล่าวถึงความสำคัญของเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ หลังที่ปราบปรามภัยออนไลน์มาต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการให้หมดไปได้ จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมมือทุกภาคส่วน สร้างภูมิคุ้มกัน (วัคซีนไซเบอร์) ให้รู้เท่าทันภัยกลโกงรูปแบบต่างๆ  มีการทำข้อสอบวัคซีนไซเบอร์ และ ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง ตร.ได้ร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน ดำเนินการมาต่อเนื่อง ประกอบกับ การผลักดัน พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้คดีก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้ฝากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นอกจากสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ให้ช่วยขยายความรู้วัคซีนไซเบอร์ไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อร่วมกันป้องกันภัยออนไลน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย

กระบี่-ไทยจับมือ สปป.ลาว ดันปัญหายาเสพติดเป็นวาระระดับภูมิภาค ในการประชุมทวิภาคีไทย - ลาวฯ ครั้งที่ 19 ระดับรัฐมนตรี ที่จังหวัดกระบี่

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 25 ก.ย. ที่โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธารา กอล์ฟ แอนด์สปา รีสอร์ต จ.กระบี่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย พล.ต.คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รอง รมต.ป้องกันความสงบ และหัวหน้ากรมใหญ่ตำรวจ แห่ง สปป.ลาว พ.อ.อินปง จันทะวงสา เลขาธิการ สนง.คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตรา และควบคุมยาเสพติด สปป.ลาว ประชุมทวิภาคีไทย-ลาว เรื่องความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 19 ระดับรัฐมนตรี หารือเรื่องมาตรการปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน, การส่งผู้ร้ายข้ามแดน, การทำลายแหล่งผลิตยาเสพติด และการสร้างเตาเผายาเสพติดร่วมกัน โดยยกเป็นวาระของภูมิภาคระดับนานาชาติ

พ.ต.อ.ทวี กล่าวหลังการประชุมว่า จากการประชุมหารือร่วมกัน จะเห็นว่าทั้งไทยและลาว มีปัญหาที่ตรงกัน เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของยาเสพติด ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อทั้ง 2 ประเทศ จากข้อมูลที่หารือกันพบปัญหาหลายเรื่องที่ตรงกัน เช่น ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอาญาที่อยู่ในเรือนจำของทั้ง 2 ประเทศ อย่างของลาว นักโทษ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นคดียาเสพติด ส่วนของไทยประมาณร้อยละ 85-90 ก็เป็นคดียาเสพติดเช่นกัน จะเห็นได้ว่าปัญหาอาชญากรรมต่างๆ ของทั้ง 2 ประเทศมาจากปัญหายาเสพติดเหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ยกปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติเหมือนกัน เราจึงเห็นด้วยกันว่าปัญหายาเสพติด นอกจากจะเป็นวาระแห่งชาติแล้ว ควรยกระดับเป็นวาระในระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ เพราะทุกประเทศทั่วโลก ต่างพบกับปัญหายาเสพติดเหมือนกัน

รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อว่า การจะแก้ปัญหาในประเทศตัวเองจึงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ จำเป็นต้องยกระดับร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามีข้อมูลตรงกันว่า ยาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่ตอนนี้ เราพบว่าไม่มีการผลิตในประเทศ แต่มาจากแหล่งผลิตในต่างประเทศ เป็นข้อมูลเดียวกันกับ สปป.ลาว จึงตกลงเป็นทวิภาคีร่วมกัน ในเรื่องการป้องกัน การปราบปราม และบังคับใช้กฎหมาย และยังมีความเห็นตรงกันว่า ผู้เสพยาเสพติด หรือผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาจจะมีบางส่วนเป็นผู้หลงผิด เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการบำบัดฟื้นฟู หลังการประชุมร่วมกันครั้งนี้ จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดหัวข้อการแก้ปัญหาที่ตกลงไว้ร่วมกัน 12 ประเด็นหลัก การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นการประชุมครั้งสำคัญที่มีการทำสัญญาร่วมกัน เพราะปัญหายาเสพติดเป็นความทุกข์ของคนทั้ง 2 ประเทศ...

กระบี่///ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

“บิ๊กต่าย“สั่งเร่งกวาดล้างผู้ค้ารายย่อยในชุมชน ”ผู้ช่วยสำราญฯ“สนองนโยบาย เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นทั่วประเทศ”

ตามนโยบายรัฐบาล โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกพื้นที่ถือเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งในด้านการปราบปรามนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อตัดวงจรและท่อน้ำเลี้ยงเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทุกระดับ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร.ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกในการปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่รับผิดชอบ และสืบสวนขยายผลคดียาเสพติดทุกคดีเพื่อจับกุมและยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

วันนี้ (25 ก.ค. 67) ณ ศูนย์ปฏิบัติการ ห้องประชุมภักดีภูมิ บช.ปส. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.ผู้รับผิดชอบงานปราบปรามยาเสพติด ได้เดินทางมาติดตามการปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดทั่วประเทศ ซึ่งได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพร้อมกันในเช้าวันนี้ โดยเป้าหมายการปิดล้อมดังกล่าวมีที่มาจากข้อมูลการซักถามผู้เสพหรือผู้ต้องหาคดียาเสพติด รวมทั้งข้อมูลการแจ้งเบาะแสของประชาชน จนทำให้ได้ข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดในชุมชนมาทำการสืบสวนและกำหนดจุดปิดล้อมตรวจค้นเพื่อกวาดล้างจับกุม โดย ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ร่วมบูรณาการกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆได้แก่ สำนักงานป.ป.ส.,ทหาร,ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดพร้อมกันทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเครือข่ายยาเสพติดจำนวน 874 เครือข่าย เป้าหมายปิดล้อมตรวจค้น 2,638 จุดตรวจค้น

ผลการปิดล้อมตรวจค้น สรุปรายละเอียด ดังนี้
- จับกุมคดียาเสพติดรวม 1,757 คดี
- จับกุมผู้ต้องหา 1,645 ราย ผู้ต้องหาตามหมายจับ 112 ราย
- ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ ยาบ้า 1,555,902 เม็ด, ไอซ์ 87 กก.,คีตามีน 4.5 กก, เฮโรอีน 35 กก., ยาอี 2,644
เม็ด, อาวุธปืน 152 กระบอก
- ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน 652 รายการ รวมมูลค่า 97,195,645 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เวลา 10.48 น.)

จากผลการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศในครั้งนี้ จะเห็นว่าตำรวจทั่วประเทศได้รุกอย่างหนัก อย่างเป็นรูปธรรม ทำจริง จับจริง และยึดจริง โดยในขณะนี้สำนักตำรวจแห่งชาติมีนโยบายเน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าจากสถิติการจับกุมและยึดของกลางคดียาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 66 ถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ถึง 72,050 ราย และตรวจยึดยาบ้าได้ 781,341,317 เม็ด, ไอซ์ 15,550 กก. และ คีตามีน 2,641 กก. รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องได้รวมมูลค่ากว่า 9,525 ล้านบาท
สายด่วนแจ้งเบาะแสยาเสพติดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร  191 , 1599

ตำรวจภาค 4 เข้ม “ร้อยเอ็ดโมเดล” สกัดจับยาบ้า 1 ล้านเม็ด เตรียมขยายผลจับกุมผู้สั่งการ

ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาชญากรรม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้ระดมสรรพกำลังทั้งตำรวจในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง กวาดล้างจับกุมยาเสพติด และบูรณาการกับหน่วยงานจังหวัดร้อยเอ็ด ดำเนินมาตรการป้องกันและบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมทั้งเปิดปฏิบัติการเด็ดปีกค้ารายย่อยในพื้นที่ตำรวจภาค 4 มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด โดยอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด นำโดย พล.ต.ต.ทรงพล บริบาลประสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.ภาสกร หินเธาว์ ผกก.สภ.ธวัชบุรี, ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด พร้อมหน่วยบูรณาการในพื้นที่ ได้ร่วมกันจับกุมคดียาเสพติด 2 ราย ผู้ต้องหา 6 คน ของกลางยาบ้า จำนวน 1,000,000 เม็ด ตรวจยึดทรัพย์สินฯ 1.รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 500,000  บาท 2.รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 400,000 บาท

คดีที่ 1 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดลำเลียงยาบ้าจำนวนมากผ่านพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.67 เวลา 19.30 น. ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ตำรวจ สภ.จังหาร และฝ่ายข่าว กกล.สุรนารี ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 5 คน คือ นายธีระชัย, นายสุขสรรค์, นายเจษฎา, นายพิสุทธิศักดิ์, นายชโยทัย ได้บริเวณริมถนนเส้นทางระหว่าง จ.กาฬสินธุ์-จ.ร้อยเอ็ด ต่อเนื่อง บริเวณบ้านแซงแหลม ม.6 ต.แสนชาติ อ.จังหาร ต.ร้อยเอ็ด และ บริเวณสวนด้านทิศตะวันตกบ้านหัวขวา-บ้านกุดโค ต.หลักเมือง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พร้อมของกลางยาบ้ารวม 1,000,000 เม็ด พร้อมตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน เป็นรถกระบะ isuzu สีขาว หมายเลขทะเบียน จฉ 20xx ชลบุรี 1 คัน ราคาประมาณ 500,000 บาท และรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า 1 คัน ราคาประมาณ 400,000 บาท รวม 900,000 บาท เบื้องต้นแจ้งหาว่าร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า จนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน กระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยในกลุ่มประชาชน เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า รับจ้างขนยาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง โดยผู้ว่าจ้างอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นจึงนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส. สภ.จังหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและสืบสวนจับกุมผู้ว่าจ้างรวมทั้งผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป 

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 9 ส.ค.67 เวลาประมาณ 11.00 น.ตำรวจ สภ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ได้จับกุมตัวนายเรวัติ อายุ 23 ปี ได้ที่ หมู่ 6 บ้านฝั่งแดง ต.อุ่มเม้า อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด หลังพบพฤติกรรมการเสพยาเสพติด เบื้องต้นชุดสืบสวนจะทำการขยายผลหาผู้ค้ายาเสพติด และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป พร้อมกันนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน)โดยผิดกฎหมาย ก่อนนำผู้ต้องหา ส่ง พงส.สภ.ธวัชบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลจับกุมผู้ค้าและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป

สำหรับในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ได้มีการกวาดล้างจับกุมยาเสพติดอย่างเข้มข้น และสกัดจับกุมการขนยาเสพติดรายใหญ่ผ่านเส้นทาง จ.ร้อยเอ็ด มาแล้ว  หากมีการจับกุมผู้เสพยาเสพติด ก็จะนำตัวไปบำบัด และนำข้อมูลจากผู้เสพไปขยายผลจับไปกุมผู้ค้า ผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดตามแนวทาง “ร้อยเอ็ดโมเดล”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top