'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้ 3 ตัวแปร Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลก 'AI ไม่ปังดังหวัง-ญี่ปุ่นปรับขึ้นดอกเบี้ย-สหรัฐฯ ว่างงานพุ่ง'
จากรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 11 ส.ค.67 ได้พูดคุยในประเด็น 'Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลก: ไทยเตรียมรับแรงกระแทกอย่างไร?' โดยมี 'อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์' อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้พูดถึงประเด็นนี้ ว่า...
ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญที่สุดกลไกหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่การที่ตลาดทุนมีอารมณ์ผันผวนอย่างรุนแรงเมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม และ 2-3 วันก่อนหน้า ทั้ง ๆ ที่ 2 สัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดโตเกียวต่างก็ทำสถิติ New High มาด้วยกัน บรรยากาศความโลภ (Greed) ถูกแทนที่ด้วยความกลัว (Fear) ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงต้องถือว่าตลาดทุนได้ส่งสัญญาณบางอย่าง ซึ่งผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมิอาจที่จะละเลยได้
ประการแรก Artificial Intelligence-AI คือทางออกของโลกจริงหรือไม่ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังในอนาคตของธุรกิจ AI และบริษัท Tech Firms ต่าง ๆ อาทิ Apple, Amazon, Alphabet, Meta และ Microsoft เมื่อผลประกอบการที่ประกาศออกมาไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับแนวโน้มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกซึ่งจะมีผลต่ออุตสาหกรรมผลิต Chips จึงก่อเกิดผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ประการที่สอง ตลาด Unwind Yen Carrytrade การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นในรอบหลาย 10 ปี ในสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสำคัญรวมทั้ง Fed กำลังและเตรียมที่จะลดดอกเบี้ย ได้ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลสำคัญของโลกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และได้ก่อให้เกิดการปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุน (Portfolio Rebalancing) ของนักลงทุนทั่วโลก ที่เคยกู้เงินเยนมาลงทุนในตราสารสกุลดอลลาร์ แต่ตลาดที่ได้รับผลโดยตรงและแรงที่สุดก็คือ ตลาดนิวยอร์กและตลาดโตเกียว ซึ่งมีดัชนีร่วงลงกว่า 10%
ประการสุดท้ายและน่าจะเป็นสาเหตุสําคัญที่สุด คือความกลัว Recession แม้ สหรัฐฯ รอดพ้นจาก Recession มาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0 มาเป็น 5.5% ในปัจจุบัน แต่ความกลัวดังกล่าวเริ่มเข้าใกล้ความจริงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคมมีการประกาศออกมาอยู่ที่ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี การที่ Fed ไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบที่แล้วก็ทำให้ตลาดผิดหวังมาทีหนึ่งแล้ว แม้ว่า ประธาน Jerome Powell จะได้ออกมาปลอบว่า Fed เตรียมพร้อมลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าในเดือนกันยายน โดยตลาดเชื่อว่าอาจจะมีการลดถึง 50%
ในด้านของตลาดไทย ถึงจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ก็สามารถตีกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ในระยะปานกลาง-ยาว แต่ตลาดไทยก็น่าจะได้รับผลบวกจากความผ่อนคลายแรงกดดันต่าง ๆ จากการลดดอกเบี้ยของ Fed
ส่วน ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ แม้จะไม่ค่อยจะมีความห่วงใยต่อปากท้องชาวบ้านเท่าไหร่ ก็ควรจะเลิกทำตัวเป็นตัวตลก และกลับตัวกลับใจมาทำหน้าที่ของตนที่ควรจะเป็นในการร่วมมือกับรัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชาติเสียที มิเช่นนั้นคนไทยอาจจะลืมว่าประเทศไทยก็มีธนาคารกลางกับเขาเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมา ธปท.ทำตัวเหมือนจ่าเฉยที่มีอยู่ตามแยกจราจรทั่วไป แทนที่จะเป็นธนาคารกลางที่ดีเช่นธนาคารกลางชั้นนำอื่น ๆ
