‘น้องธีด้า’ ควงคุณแม่แชร์เคล็ดลับให้ลูกเรียนเก่ง - ได้ภาษา สานฝันจากลูกแม่ค้าขายยาคูลท์สู่การเป็นนักศึกษาแพทย์มหิดล
(7 มี.ค.68) นางสาวขวัญชนก จุ้ยสกุล หรือน้องธีด้า เยาวชนคนเก่งจากโรงเรียนชลกัลยานุกูล จ.ชลบุรี ลูกสาวแม่ค้าขายยาคูลท์ ซึ่งกำลังจะเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์คลิปผ่าน Tiktok : thida.himawari พร้อมคุณแม่ ร่วมแชร์วิธีการสอนลูกให้เป็นคนเก่งและมีความรับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากคำถามแรกที่ว่า แม่สอนภาษาอังกฤษให้น้องธีด้ายังไง
โดยคุณแม่ ได้ตอบว่า ได้เริ่มสอนตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ ที่เริ่มหัดพูด ด้วยประโยคง่าย ๆ สำหรับเด็ก พร้อม ๆ กับสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ เช่น การให้ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ แล้วก็พาไปดูหนังในโรงที่เป็นซาวด์แทร็กอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน เวลาออกไปข้างนอกก็จะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยประโยคง่าย ๆ เพราะตัวคุณแม่เองก็ได้เก่งภาษาอังกฤษ จากนั้นพออายุประมาณ 4 – 5 ขวบ เมื่อถึงวัยเข้าเรียน ก็ให้เรียนหลักสูตร English Program ซึ่งก็ทำให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ช่วงที่อยู่ประมาณ ป.1 ก็ให้เรียนโฟนิกส์ (Phonics) หรือ วิธีการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งสำคัญในการที่ช่วยในเรื่องของการอ่านได้ดี และเพิ่มทักษะการอ่านด้วย
ขณะที่ คำถามต่อมา น้องธีด้า ถามว่า คุณแม่อยากให้หนูเป็นหมอตั้งแต่เด็กหรือไม่
ซึ่งคุณแม่ได้ตอบว่า ไม่ใช่เลย เพราะหากย้อนไปเทรนด์ในสมัยนั้น อยากให้ลูกเป็น แอร์โฮสเตส เพราะมองว่า การเป็นแอร์โฮสเตสได้เที่ยว และสมัยก่อนนั้น คนที่เป็นแอร์ฯ ดูดีมาก และคิดว่ารายได้สูงน่าจะสูงด้วย จึงอยากให้ลูกเป็นแอร์ แต่เมื่อวันหนึ่งลูกอยากเป็นหมอ ก็แล้วแต่ลูกจะเลือกและไม่ได้ห้าม
และเมื่อลูกมาบอกว่าอยากเป็นแพทย์ ก็ได้แต่บอกว่า มันยากนะ จะทำได้หรือ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ใช่เด็กแนววิชาการที่มีผลงาน และไม่ค่อยได้เรียนพิเศษด้วย ดังนั้น จะมาหวังในรอบ 3 จึงมองว่าเป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อลูกอยากจะเรียนหมอ ทางแม่ก็ไม่ห้ามและผลักดันและให้การสนับสนุนในทุกด้าน
สำหรับการสนับสนุนให้ลูกสาวได้เป็นนักศึกษาแพทย์จนสำเร็จนั้น ทางคุณแม่ บอกว่า ได้ช่วยหางานและกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ พร้อมกับหาข้อมูลในรอบพอร์ตฟอลิโอ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ของแพทย์โดยตรง โดยไปดูว่า เขาไปทํากิจกรรมไหนมาบ้าง เพื่อเป็นตัวเสริม และไม่จําเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการแพทย์ทุกอย่างก็ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณแม่จะไม่ห้าม และไม่อยากให้หยุดฝัน แต่ก็มีแอบกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าลูกจะทำไม่ได้ พร้อมกับบอกว่าให้ลองวิชาชีพอื่นก่อนไหม กระทั่งพูดบ่อย ๆ เข้าตัวน้องก็บอกว่า ตัวเขาเองยังไม่ละความพยายามเลย หลังจากนั้นเลิกกังวล พร้อมเฝ้ามองถึงความตั้งใจได้เห็นถึงความพยายาม และถึงวันนี้ยอมรับและภูมิใจในสิ่งที่น้องทำได้สำเร็จเป็นนักศึกษาแพทย์ตามที่ฝันไว้
