Wednesday, 23 April 2025
ตำรวจแห่งชาติ

ตร. สั่งกำชับ!! ตำรวจทั่วประเทศเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหา รับมือนักเรียน - นักศึกษา ‘ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน’!!!

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีที่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน จนสร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน โดยมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบตามภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นั้น

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปป.) ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาฯ อีกทั้งมีความห่วงใย ต่อเด็กและเยาวชน ที่อาจเกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (ช่วยงาน (ปป.)) เป็นหัวหน้ารับผิดชอบควบคุมกำกับดูแล การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการประชุมการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ผ่านระบบวิดีโอทางไกล (VDO Conference) ในวันอังคารที่ 14 ธ.ค. 64 เวลา 10.00 น ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร. โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุมฯซึ่งการประชุมฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) ให้ทุก บก./ภ.จว. ที่มีสถานการณ์ปัญหา นักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการ (IPB) โดยให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ที่มักจะเป็นจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม รวมถึงการสำรวจกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบและการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ

2) สำหรับ บก./ภ.จว. ที่มีการรับแจ้งเหตุเกิดขึ้นแล้วและมีผู้บาดเจ็บ หรือมีผู้เสียชีวิต รวมทั้งการรับแจ้งเหตุว่าจะมีการรวมตัวกันก่อเหตุและสามารถเข้าไประงับหรือป้องกันเหตุได้ก่อน ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ขึ้น เพื่อทบทวนบทเรียนหลังจากที่มีการปฏิบัติ (AAR) เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน หรือปัญหาอุปสรรค เพื่อทำการแก้ไข ทั้งนี้มุ่งหวังให้มีรูปแบบการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน (SOP) และมีการออกแผนปฏิบัติการและทำการซักซ้อมแผนเป็นประจำ สำหรับกรณีนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทแล้วมีผู้บาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาล ให้มีแผนเผชิญเหตุและทำการซักซ้อม เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทต่อเนื่องที่โรงพยาบาลด้วย

3) นำข้อมูลที่ได้จากการรับแจ้งเหตุทางศูนย์วิทยุ 191 มาเป็นข้อมูลในการประชุมงานสายตรวจ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และจัดทำแผนการตรวจ ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในพื้นที่ หากห้วงเวลาหรือ สถานที่ที่ได้จากการวิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มการรวมตัวก่อเหตุ ให้มีมาตรการที่ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

4) การบูรณาการความร่วมกัน ระหว่าง งานป้องกันปราบปราม งานสืบสวน และพนักงานสอบสวน ในระดับ สน./สภ. เมื่อรับแจ้งเหตุว่าจะมีเหตุดังกล่าว จะต้องประสานงานทั้งสายตรวจประเภทต่าง ๆ และทีมสืบสวน เพื่อเข้าไปป้องกันเหตุ หรือคลี่คลายสถานการณ์ หากเป็นเหตุที่จะต้องดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ฝ่ายสืบสวนจะต้องเร่งพิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคล ที่ก่อเหตุ เพื่อดำเนินการด้วยความรวดเร็ว

5) มาตรการประสานงานกับสถาบันการศึกษา นั้น กำชับให้ระดับ ผกก.หัวหน้าสถานี เป็นผู้ประสานงานกับ ผอ.สถาบันการศึกษาที่มีความเสี่ยง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกันและกันโดยตรง

6) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลการป้องกันและแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานกับเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือ และหาแนวทางในการป้องกันเหตุนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทต่อไป

 

ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับ ทีมสาวงามMiss LGBT2024 ลงตรวจพื้นที่ซอยคาวบอยตามมาตราการความปลอดภัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ//พร้อมแจกดอกไม้เนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์แก่นักท่องเที่ยว

วันที่14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา21.00น. พ.ต.ท.ขวัญพล  เพ็งเดือน  สวญ.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจและล่ามแปล,อาสาสมัครฯ ลงตรวจพื้นที่ซอยคาวบอยตามมาตราการความปลอดภัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีทีมสาวงามจากเวทีMiss LGBT 2024 นำทีมโดยโน้ต อดิเรก เรือนปิน Miss LGBT Thailand 2024 , อาร์ม อนิวัฒน์ เพ็งจำรัส 1st runner-up Miss LGBT Thailand 2024 ,บิว ศิริน บี 3rd runner-up Miss LGBT Thailand 2024 , เจนนี่ สุภัสรา หนานคำ Miss LGBT TOURISM THAILAND 2024 พร้อมกับสาวงามที่ได้รับรางวัลพิเศษจากเวทีดังกล่าว ร่วมลงพื้นที่ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยมี พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว นำนโยบายดังกล่าวมาร่วมบูรณาการให้เกิดผลสำเร็จและเป็นประโยชน์ในการผลักดันการท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลายทุกมิติอย่างปลอดภัย 

โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ พ.ต.ท.ขวัญพล  เพ็งเดือน สารวัตรใหญ่ ท่องเที่ยว1 ได้กล่าวอีกว่าถือเป็นการแสดงจุดยืนทางด้านความพร้อมในเรื่องของการเอาใจใส่เรื่องความปลอดภัยและพร้อมที่จะเข้าใจนักท่องเที่ยวและกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น  เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าประเทศเรามีเพศทางเลือกที่หลากหลายและมีความสามารถในด้านต่างๆเยอะแยะมากมาย การได้มีส่วนร่วมกับเวทีMiss LGBT2024ในครั้งนี้ถือเป็นนัยยะที่สำคัญในการสร้างความปลอดภัยที่เท่าเทียมโดยจะไม่ทิ้งใคร หรือหลงลืมเพศไหนไว้ข้างหลัง เพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติตลอดจนตำรวจท่องเที่ยวเองก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างมากและในอนาคตอันใกล้นี้อาจมีโครงการนำร่องอาสาสมัครกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่จะมามีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเท่าเทียมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมากขึ้น โดยจะมีการอบรมที่เป็นกิจลักษณะ เพื่อพร้อมต่อการปฎิบัติหน้าที่จริง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนเที่ยวเกาหลีใต้ต้องระวัง เว็บไซต์-แอปพลิเคชันลงทะเบียน K-ETA ปลอม เสียทั้งเงิน เสียทั้งข้อมูล

วันนี้ ( 22 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงพี่น้องประชาชนที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวที่สาธารณรัฐเกาหลี หรือประเทศเกาหลีใต้ โดยการสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันลงทะเบียน K-ETA ปลอม แล้วเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ

โดย ระบบ K-ETA หรือชื่อเต็มคือ Korea Electronic Travel Authorization เป็นระบบที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียนขออนุญาตก่อนที่จะเดินทางเข้าไปที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อลดปัญหาการปฏิเสธนักท่องเที่ยวไม่ให้เข้าประเทศ และแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าไปทำงานผิดกฎหมาย โดยนักท่องเที่ยวจะต้องทำการลงทะเบียนล่วงหน้า ซึ่งจำเป็นจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ข้อมูลหนังสือเดินทาง ภาพถ่ายใบหน้า อาชีพ รายได้ต่อปี และข้อมูลที่พักอาศัยในประเทศเกาหลีใต้ อีกทั้งจำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมจำนวน 10,300 วอน (ประมาณ 270 ถึง 290 บาท) ผ่านช่องทางบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต

ซึ่งถ้าหากพี่น้องประชาชนหลงเชื่อลงทะเบียนผ่านช่องทางเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน K-ETA ปลอม มิจฉาชีพก็จะได้ทั้งข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงข้อมูลบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งสามารถนำไปใช้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเป็นจำนวนมาก เช่น อาจถูกนำข้อมูลบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า นำข้อมูลส่วนบุคคลไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้กระทำความผิด หรืออาจถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในการหลอกลวงในอนาคต อีกทั้งเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน K-ETA ปลอมอาจมีการหลอกให้ชำระค่าธรรมเนียมที่สูงเกินจริง (ค่าธรรมเนียมปกติอยู่ที่ 10,300 วอน) เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินจากพี่น้องประชาชนอีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการลงทะเบียน K-ETA เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยขอให้ตรวจสอบก่อนว่าเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ใช้ลงทะเบียน เป็นของจริงหรือไม่ ซึ่งเว็บไซต์สำหรับลงทะเบียน K-ETA ของจริงคือ www.k-eta.go.kr เท่านั้น ส่วนแอปพลิเคชันลงทะเบียน K-ETA สำหรับโทรศัพท์มือถือ สามารถดาวน์โหลดได้ผ่าน App Store และ Google Play Store ที่ https://apps.apple.com/th/app/k-eta/id1562976724 และ https://play.google.com/store/apps/details?id=kr.go.keta 

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำชับทุกหน่วยเดินหน้าการป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธปืน การรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ และยกพวกทะเลาะวิวาท

วันนี้ (5 มิถุนายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2567 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และตำแหน่งเทียบเท่า , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองจเรตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งผู้บัญชาการหน่วยต่างๆ ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ที่ตั้ง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้สั่งการในที่ประชุมให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมด้านต่างๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ได้แก่

การป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน แม้มีการจับกุมผู้ค้าและลักลอบขนยาเสพติดรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงพบผู้เสพและคนคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติดปรากฏอยู่โดยตลอด จึงให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดกวดขันจับกุมยาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยในชุมชน ตำบล หมู่บ้าน และให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 คัดเลือกสถานีตำรวจต้นแบบที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่จนไม่มีผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ได้สำเร็จ เสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ เพื่อพิจารณามอบรางวัลต่อไป และให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จัดทำข้อมูลเป้าหมายผู้กระทำความผิด ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน เพื่อกำหนดแผนระดมกวาดล้าง อาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ทุกหน่วยจัดทำเป็นฐานข้อมูล OPEN DATA ที่สามารถแลกเปลี่ยนและเรียกใช้งานได้ รวมทั้งให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 กำหนดเป้าหมายในแผนการตั้งจุดตรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ มุ่งเน้นการกวดขันจับกุมในความผิดยาเสพติดและอาวุธปืน และให้สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจรวบรวมผลการปฏิบัติในห้วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอในที่ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งต่อไป

การป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ และยกพวกทะเลาะวิวาท ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 จัดทำข้อมูลกลุ่มแก๊งเด็กวัยรุ่นในพื้นที่ที่มีพฤติการณ์รวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ กลุ่มยกพวกตีกัน และให้แต่ละหน่วยจัดทำฐานข้อมูล OPEN DATA เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึง รับรู้ และเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ รวบรวมช่องทางเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าว

นอกจากนี้ กรณีพนักงานสอบสวนไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจจนเกิดปัญหาการร้องเรียนผ่าน                         สื่อออนไลน์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ มอบหมายให้จเรตำรวจประชาสัมพันธ์ให้ร้องเรียนผ่านระบบทางเว็บไซต์ http://www.jcoms.police.go.th/ และสรุปผลการร้องเรียนและการดำเนินการให้ทราบ

รวมทั้งกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดีจัดทำข้อมูล Infographic และสื่อวิดีโอ วิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ และให้สำนักงานงบประมาณและการเงินซักซ้อมทำความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งสร้างภูมิคุ้มกันเชิงรุกต้านภัยไซเบอร์ ผ่านโครงการ RTP Cyber Village ระดมตำรวจกว่า 5,000 นาย ส่งต่อความรู้ด้านการเตือนภัยไซเบอร์ให้กับประชาชน

วันนี้ (28 มิ.ย.67) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมโครงการ Cyber Village ผ่านระบบ Video Conference กับตัวแทนข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามจากทั่วประเทศกว่า5,000 นาย ห้องประชุมชั้น 7 อาคาร1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาตามความต้องการของประชาชน ขับเคลื่อนการปฏิบัติงานแบบบูรณาการ ภายใต้โครงการ RTP Cyber Village โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการนำแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมของประชาชน เช่น Facebook, Youtube, Google, LINE และ Clubhouse มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างตำรวจกับประชาชน และบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในชุมชน

การดำเนินงานในโครงการดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และตำรวจภูธรภาค 1 – 9 โดยมีหน่วยงานระดับ บก.น./ภ.จว. ในสังกัด จำนวน 85 หน่วยงาน และระดับ สน./สภ. จำนวน 1,483 หน่วยงาน เข้าดำเนินการในหมู่บ้าน/ชุมชนเป้าหมาย จำนวน 7,524 หมู่บ้าน และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นชุดชุมชนสัมพันธ์ จำนวน 10,365 นาย

ทั้งนี้ โครงการ RTP Cyber Village มีจุดมุ่งหมายหลักในการดำเนินงาน คือเน้นการนำสื่อ Social Media มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อกลางกับประชาชน สร้างการรับรู้อย่างเข้าใจและเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ต่อยอดการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมระดับชุมชนที่รวดเร็วและทันท่วงที ตามนโยบายหลักด้านการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมรูปแบบใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“พล.ต.ท.ประจวบ ฯ” กำชับตำรวจทางหลวงและตำรวจจราจรทั่วประเทศ เตรียมพร้อมดูแลประชาชนห้วงหยุดยาว ย้ำผู้ใช้รถใช้ถนนเคารพกฎจราจร ง่วงไม่ขับ เมาไม่ขับ

วันนี้ (26 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (หน.คจร.ตร.) ได้สั่งการกำชับให้ตำรวจจราจรทั่วประเทศเตรียมความพร้อม ดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่พี่น้องประชาชนที่ใช้เส้นทางการจราจร ในห้วงหยุดยาวระหว่างวันที่ 27 – 29 กรกฎาคม 2567 ซึ่งคาดว่ามีประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยวตามจังหวัดต่าง ๆ จำนวนมาก อาจทำให้เกิดการจราจรติดขัด อุบัติเหตุ หรือเหตุด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ ให้พร้อมดูแลประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตามนโยบายและข้อสั่งการของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.

มาตรการด้านการอำนวยความสะดวกการจราจร มอบหมายให้กองบังคับการตำรวจทางหลวงเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการจัดการจราจรบนถนนทางหลวงสายหลัก และให้พิจารณาเปิดช่องทางเดินพิเศษ (Reversible Lane) ในเส้นทางที่มีความจำเป็น , ให้ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาจราจร อำนวยความสะดวกการจราจรสำหรับถนนสายรอง ในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น โดยต้องปรากฏกายให้เด่นชัด รวมถึงการจัดระเบียบการจอดรถ โดยเฉพาะสถานที่สำคัญทางศาสนา และสถานที่ท่องเที่ยว , ให้ทุกหน่วยสำรวจและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุงเครื่องหมายป้ายจราจร ไฟฟ้าส่องสว่างให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ กรณีที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซมผิวถนน ให้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการคืนพื้นผิวการจราจรให้มากที่สุด และให้จัดทำข้อมูลประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงเส้นทางที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซม เส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น แสดงป้ายแนะนำเส้นทางเลี่ยง ป้ายเตือนจุดเสี่ยงอุบัติเหตุให้ประชาชนเห็นชัดเจน และให้กองบังคับการตำรวจทางหลวงประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงสำหรับการเดินทางในถนนทางหลวงสายหลัก รวมทั้งให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมด้านวัสดุอุปกรณ์ในการอำนวยการจราจรและการป้องกันอุบัติเหตุ เช่น รถยกหรืออุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายรถกรณีที่มีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ ทั้งของราชการและเอกชน เพื่อให้พ้นการกีดขวางการจราจรได้ทันที

สำหรับมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กำชับให้ทุกสถานีตำรวจเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก โดยพิจารณาตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ ในบริเวณที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือมีการฝ่าฝืนกฎหมาย ในกรณีเกิดอุบัติเหตุจราจร ให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ และตรวจการมีสารเสพติดในร่างกายผู้ขับขี่ทุกราย ดำเนินคดีให้ครบทุกข้อหา และต้องตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามมาตรการเมาแล้วขับซ้ำสอง หากพบว่าผู้ขับรถในขณะเมาสุรามีอายุต่ำกว่า 20 ปี จะต้องสอบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ขายสุรา ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ 2551 และกรณีผู้ขับรถในขณะเมาสุรามีอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้สอบสวนขยายผลดำเนินคดีกับบุคคลที่ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือบุคคลที่จำหน่ายหรือให้สุราแก่เด็ก ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ 2546 มาตรา 26 โดยให้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินคดีไปในคราวเดียวกันกับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กำชับกองบัญชาการตำรวจนครบาลเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่จะเดินทางเข้ามาร่วมพิธีต่าง ๆ ในงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ในกรุงเทพมหานครด้วย

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คจร.ตร. กล่าวว่า คจร.ตร.ได้กำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศ ดูแลและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในห้วงวันหยุดยาว วันที่ 27 – 29 กรกฎาคมนี้ อย่างเต็มที่ พร้อมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเดินทาง ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เคารพกฎจราจร มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง ง่วงไม่ขับ เมาไม่ขับ เตรียมความพร้อมทั้งยานพาหนะ สภาพร่างกาย ก่อนออกเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ครอบครัว ผู้โดยสาร และเพื่อนร่วมทาง เดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนหากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ประชาชนสามารถสอบถาม แจ้งขอความช่วยเหลือ และแจ้งเหตุขัดข้องด้านการจราจร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่

• โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ
• โทร. 1197  สายด่วนตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
• โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ
• โทร. 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเยี่ยมให้กำลังใจ รอง สว.กก.สืบสวน ภ.จว.สมุทรสาคร ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าปิดล้อมจับกุมคนร้ายยิง 2 ศพ

วันนี้ (19 สิงหาคม 2567) เวลา 14.20 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ ชัยนา รอง สว.กก.สืบสวน ภ.จว.สมุทรสาคร ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุร่วมออกติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีอาญา หลังคนร้ายหลบหนีไปซ่อนตัวในพื้นที่บ้านหมู่ที่ 6 ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี แล้วใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้

โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงคนเสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร นอกจากนี้ ยังพบเด็กอายุ 2 ขวบ 2 เดือน ถูกกระสุนถากเข้าที่เอว 1 นัด หลังก่อเหตุได้ไปหลบหนีไปซ่อนตัวในบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่หมู่ที่ 6 ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ต่อมาวานนี้ (18 สิงหาคม 2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร สนธิกำลัง กก.สส.ภ.จว.สิงห์บุรี และ สภ.พรหมบุรี ปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว โดยระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดล้อม คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ เป็นเหตุให้ ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ ชัยนา รอง สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร ได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลพรหมบุรี ส่วนคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งต่อมานำตัว ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ฯ ส่งต่อมารักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบกระเช้าเยี่ยม และเงินช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ฯ พร้อมสั่งการผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัดการดำเนินการขอรับสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไป

ตำรวจแห่งชาติประสานเมียนมา บินด่วนรับ 151 คนไทยกลับประเทศ เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่เป็นเหยื่อ และขยายผลเพื่อจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ รวมทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (4 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วีรชน บุญทวี ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท และ พล.ต.ต.ธนรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.รรท รอง ผบช.ภ.5 นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ไปรอรับการปล่อยตัวคนไทยจากทางการเมียนมาจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน ณ ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งคาดว่าจะเดินทางมาถึงในช่วงค่ำวันนี้

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้มาติดตามและดำเนินการจากกรณีที่ทางการไทยได้มีความร่วมมือกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา กระทรวงมหาดไทย และกองบัญชาการตำรวจเมียนมา ในการปราบปรามและจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ ซึ่งคนไทยกลุ่มนี้ถูกจับกุมใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ข้อหาเรื่องการพนันออนไลน์ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง แต่ว่าในส่วนของไทยนั้นมีข้อมูลเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็จะมีการขยายผลเรื่องนี้ด้วย ซึ่งผู้ที่ถูกจับกุมจำนวน 154 คน ถูกส่งตัวไปยังสถานีตำรวจท่าขี้เหล็ก และศาลเมียนมาได้ตัดสินจำคุกทั้งหมดเป็นเวลา 2 ปี ได้รับการลดโทษ คงเหลือจำคุก 10 เดือน แต่ในจำนวนนี้มีเยาวชน 2 คนถูกส่งกลับก่อนหน้านี้แล้ว และมีผู้เสียชีวิต 1 คน จึงเหลือ 151 คนดังกล่าว 

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้นำหน่วยงานต่างๆ คือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย , ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เชียงราย และทีมสหวิชาชีพ เตรียมรับตัวเพื่อคัดกรองตามกลไก NRM ว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์หรือไม่ โดยมีการเปิดศูนย์บูรณาการคัดแยกเอาไว้ที่กองร้อยอาสารักษาดินแดน จ.เชียงราย ที่ 1 , มูลนิธิศูนย์ชีวิตใหม่ และมูลนิธิ Destiny Rescue ใช้เวลาคัดแยกไม่เกิน 15 วัน โดยเมื่อคนไทยทั้ง 151 คนกลับถึงประเทศไทยแล้วจะเข้าสู่กระบวนการคัดแยก จะต้องมีการคัดกรองว่าใครตกเป็นเหยื่อ หลังจากนั้นจะเป็นการสืบสวนขยายผล ซึ่งข้อมูลพยานหลักฐานที่เป็นเครื่องบ่งชี้ต่างๆ จะเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญที่จะใช้ประกอบในการดำเนินคดี โดยหากคัดกรองแล้วพบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ก็จะให้การช่วยเหลือตามขั้นตอน แต่หากใครที่คัดกรองแล้วเป็นกระทำความผิดใด ๆ ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบว่าใครที่มีการเดินทางเข้าออกไปประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง ซึ่งเบื้องต้นในเรื่องของการข้ามแดน จาการตรวจสอบพบว่ามี 4 คน เดินทางโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เป็นการเข้าออกช่องทางธรรมชาติ ซึ่งทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็จะมีการดำเนินคดี 4 คนนี้เมื่อกลับมาถึงไทยด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสคุยกับ พล.ต.ท.วิน ส่อ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมียนมา ขณะเดินทางไปประชุมที่กรุงเนปิดอร์ เมื่อต้นปี 2567 ได้มีการพูดคุยในเรื่องของคนไทยทั้ง 151 คนที่ถูกจับกุมและควบคุมตัว รวมทั้งการรวบรวมพยานหลักฐาน การช่วยเหลือในเรื่องการส่งกลับ ประกอบกับเนื่องในโอกาสวันชาติของสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา หรือวันประกาศอิสรภาพ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มกราคม 2568 จนเป็นที่มาในการส่งตัวคนไทยทั้งหมดกลับประเทศไทยในวันนี้ และในส่วนของปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ ได้มีการพูดคุยกันและจะได้มีการร่วมมือกันต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top