Monday, 21 April 2025
ดูบอลสด

'ช้างศึก' กลับถึงบ้านเกิด พร้อมความมั่นใจเกินร้อย!! 'ปฏิวัติ' ลั่น!! พร้อมสู้เพื่อแชมป์ ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทย

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) เวลา 18.30 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังเสร็จภารกิจการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 หรือ ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก กับทีมชาติเวียดนาม

โดย ทีมชาติไทย เพิ่งบุกไปพ่ายเวียดนาม ในนัดแรก ที่ เวียด จี๋ สเตเดียม ด้วยสกอร์ 1-2 ซึ่งหลังจากนี้จะกลับมาฟื้นฟูร่างกายและฝึกซ้อมต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเกมนัดที่สอง

หลังเดินทางถึง ‘ปฏิวัติ คำไหม’ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย กล่าวว่า “มันยังมีอีกเกมให้เราแก้ตัว พี่นิว (พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี) พยายามปลุกใจ ให้นักเตะทุกคนมั่นใจว่าเราสามารถกลับมาได้ เราต้องทำเต็มที่ ต้องสู้ต่อในเกมสุดท้าย”

“ไม่ว่าจะเจอใครเราต้องรัดกุมอยู่แล้ว แต่ต้องเน้นให้มันมากขึ้น เพราะมันเป็นเกมสุดท้ายของเรา เกมที่จะส่งผลว่าเราจะได้แชมป์หรือไม่ได้แชมป์ หลังจบเกมโค้ชอิชิอิ บอกว่าเราต้องสู้ ผ่านมาเจ็ดเกมแล้ว เหลืออีกแค่นัดเดียว ไม่มีทางอื่น ต้องก้มหน้าก้มตาสู้อย่างเดียว”

“ผมมั่นใจครับ เพราะถ้วยมาที่ไทยแล้ว มั่นใจว่าเราจะได้ ขอบคุณแฟนบอลทุกคนที่คอยซัพพอร์ตพวกเรา เกือบ 50,000 คนที่จะมาในสนาม ขอบคุณมากครับ พวกเราจะสู้ให้เต็มที่ที่สุด มันเป็นเกมนัดสุดท้ายของพวกเราด้วย เราอยากได้แชมป์ เราจะสู้เต็มที่ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทย”

โปรแกรมนัดต่อไป ทีมชาติไทย จะทำศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ เลกสอง พบกับ ทีมชาติ เวียดนาม ที่ สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 5 มกราคม 2568 เวลา 20.00 น. 

ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐทีวี ช่อง 32, AIS PLAY, True sport2 ช่อง 667

มาร่วมกันเชียร์บอลไทยไปด้วยกัน

ทำความรู้จัก ‘เดนนิส ลอว์’ ราชันย์สตั๊ดเหินหาวแห่ง ‘โอลด์แทรฟฟอร์ด’ หนึ่งในตำนาน ‘United Trinity’ คนสุดท้ายที่เพิ่งลาลับตลอดกาล

(19 ม.ค. 68) หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักในเกมฟุตบอล ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานถึงความเก่งกาจของชายผู้เป็นตำนานสุดยอดดาวยิงคนหนึ่งเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของลีลาถล่มประตูที่ดุดัน ถึงลูกถึงคน ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะท่าไม้ตายการกระโดดวอลเลย์ลูกกลางอากาศอย่างสวยงาม รวมไปถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการยกแขนขวาเหยียดตรงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นภาพคุ้นตาของแฟนบอลในยุค 60’s ต่อ 70’s และเป็นหนึ่งในสามประสาน ‘United Trinity’ ร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบส อดีตขุนพลเอกแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างถล่มทลาย สถิติมากมายได้ถูกสร้างขึ้นและคงอยู่อย่างยาวนาน บางสถิติก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปได้จนถึงปัจจุบัน 

เนื่องในโอกาสการจากไปของเดนนิส ลอว์ ใดใด Digest ขอน้อมคารวะชายผู้เป็นตำนานท่านนี้ด้วยการบันทึกเรื่องราวของเขาไว้ ณ ที่นี้ครับ 

เดนนิส ลอว์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1940 ณ เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ ในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ฐานะไม่สู้ดีนัก โดยเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน และในความยากจนนี่เองที่เด็กน้อยเดนนิสได้ค้นพบความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของตัวเองจากการเตะลูกฟุตบอลทำเองจากเศษผ้าเล่นกับบรรดาพี่น้องและเพื่อนฝูง และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเดนนิส ทำให้เขาฉายแสงออกมาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชัดเจนและในไม่นานก็ถูกค้นพบโดยแมวมองจากสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทำให้เดนนิสได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพด้วยอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยสโมสรที่ค้นพบเดนนิสและเซ็นสัญญาอาชีพด้วยเป็นทีมแรกคือสโมสรฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ (อ่านมาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกคุ้นๆชื่อสโมสรนี้ ใช่ครับ! นี่คือสโมสรที่หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลชาวไทยอย่างพี่ซิโก้ เกียติศักดิ์ เสนาเมืองของเราเคยบินมาค้าแข้งด้วยเป็นเวลาสั้นๆนั่นเอง) ในเวลานั้นกุนซือของฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ได้แก่ บิลล์ แชงค์ลี่ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับอภิมหาตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง ตลอด 4ปีที่ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์นี่เองที่เดนนิสได้เริ่มเปล่งประกายความเป็นสุดยอดดาวยิงฟ้าประทานออกมา และทำให้ตัวเขากลายเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสรในอังกฤษ จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นเวลาสั้นๆแค่ 1 ปีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้นที่ 55,000 ปอนด์ ก่อนที่จะถูกสโมสรโตริโน่จากอิตาลีซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงที่สุดเป็นสถิติโลกในเวลานั้นที่ 110,000 ปอนด์ และทำให้เดนนิสเป็นนักเตะจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ย้ายมาเล่นในภาคพื้นยุโรป แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปรับตัวหลายๆอย่างในสมัยนั้น ทำให้เดนนิสย้ายกลับมายังเกาะอังกฤษ และสโมสรที่ซื้อเขากลับมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกอีกเช่นกันที่ 115,000 ปอนด์ ก็คือสโมสรที่ส่งให้เขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาลในเวลาต่อมาซึ่งก็คือสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั่นเอง

เดนนิสค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรวมแล้วทั้งหมด 11 ปี ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1973 ซึ่งตลอดระยะเวลานี้ เขาได้สร้างความสำเร็จและสถิติต่างๆฝากไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น

1. สถิติยิงประตูให้สโมสรสูงที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยลงเล่นทั้งหมดให้กับยูไนเต็ด 404 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 237 ประตู 

2. ได้รับการขนานนามจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งเสตร็ทฟอร์ดเอ็นด์’ ซึ่งมีที่มาจากการฉลองการทำประตูของเดนนิสร่วมกับแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ทีมเหย้าของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นภาพชินตาของแฟนบอลในยุคนั้น 

3. เดนนิสเป็นสมาชิกคนสำคัญที่นำถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมายได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 สมัย, แชมป์สโมสรยุโรป 1 สมัย (แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นผู้มีความสำคัญในการพาทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ), แชมป์ FA Cup 1 สมัย

4. ในด้านรางวัลส่วนตัว เดนนิส ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลระหว่างเล่นให้ยูไนเต็ดด้วยการได้รับรางวัล Ballon D’Or หรือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1964 และเป็นนักเตะชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคงจะเป็นหนึ่งเดียวจากสก็อตแลนด์ไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป 

ในช่วงปลายอาชีพเดนนิสได้ย้ายกลับไปเล่นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้อีกครั้งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 1 ปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ เดนนิสเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นให้แมนเชสเตอร์ซิตี้เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ในนัดท้ายๆของฤดูกาล 1974 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกชั้นในปีนั้นในที่สุด ซึ่งเดนนิสก็ได้แสดงความเคารพอย่างสูงต่ออดีตสโมสรของเขาด้วยการไม่แสดงการดีใจและมีสีหน้าเสียใจหลังยิงประตูนั้นได้ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคเหตุการณ์หนึ่งของโลกฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบัน

ในด้านเกียรติประวัติกับทีมชาติสก็อตแลนด์นั้น เดนนิสลงสนามรับใช้ชาติไปทั้งหมด 55นัด โดยยิงไปได้ 30 ประตู รวมถึงการพาสก็อตแลนด์เข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด 2 สมัย

ภายหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1974 เดนนิสก็ยังคงมีส่วนร่วมกับวงการฟุตบอลที่เขารักอย่างต่อเนื่องด้วยการรับตำแหน่งเป็นทูตฟุตบอลให้กับสโมสรที่เขาผูกพันที่สุดอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และออกงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ 

เดนนิส ลอว์ จากไปอย่างสงบในคืนวันที่ 17 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาด้วยวัย 84 ปีจากอาการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง โดยฝากผลงานและตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลกฟุตบอลและโดยเฉพาะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฐานะ ‘United Trinity’ คนสุดท้าย โดยรูปปั้นของเดนนิสในท่าเหยียดแขนขวาขึ้นสุดพร้อมชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเป็นท่าฉลองประตูประจำตัวอันคุ้นชินขนาบข้างด้วยสองสหายรักและเพื่อนร่วมทีมอย่างเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบส หันหน้าเข้าสู่สนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน รวมถึงความสามารถอันเป็นตำนานและคุณูปการต่างๆที่เดนนิส ลอว์สร้างขึ้นและฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็จะถูกจดจำและกล่าวขานไปอีกนานแสนนานเช่นกัน 

ด้วยจิตคารวะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top