Monday, 21 April 2025
ดีเบต

‘สามกีบ’ แอบชื่นชม หลัง ‘ชัยวุฒิ’ โชว์ทักษะดีเบตเหนือชั้น แถมชี้ชวนให้กลุ่มอันแฟน ‘ตระหนักถึงรากเหง้า’ ได้อย่างแนบเนียน

จากกรณีเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 66 ที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งใช้เวลา วันหยุดช่วงสงกรานต์ กลับบ้านเกิดหาเสียงที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยในช่วงหนึ่งของการหาเสียงมีข้อความระบุว่า...

"อยากให้ทุกคนคิดถึงรากเหง้าของความเป็นคนไทย บรรพชนที่เสียสละชีวิต เสียสละ เลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินไทย ให้มากๆ และไม่อยากให้มีคนมารณรงค์หาเสียงให้เกิดความชังชาติ ลืมรากเหง้าของความเป็นคนไทย รณรงค์ให้คนไม่ไปเกณฑ์ทหาร ไม่รู้จักเสียสละเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ วันนี้จึงต้องมาช่วยกัน ปลูกฝังค่านิยม รักชาติ รักแผ่นดิน ความเสียสละ ทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ให้ประเทศไทยมั่นคงเข้มแข็ง และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดไป ระหว่างนั้นก็มี กลุ่มผู้เเทน บ้านบางระจัน บอกว่าทุกวันนี้ ที่เเต่งชุด วีรบุรุษค่ายบางระจัน ก็เพื่อ อยากให้ คนรุ่นใหม่ รับรู้ถึงความเสียสละ ความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติ ไม่อยากให้คนขัดเเย้งกันมี"

หลังจากนั้น ได้มีการแชร์ในโลกโซเชียลไปมากมาย และปรากฎว่า…

“ต้องยอมรับว่าเค้าดีเบตเก่ง อะไรที่ชัดหรือเขามองว่าเขาจะแก้ไม่ได้ เขาจะพูดแทรก แทรก แทรก แทรก จนเกิดการโต้แย้งและเปลี่ยนประเด็นและยังโยนข้อมูลใส่ร้าย โยนใส่ดื้อ ๆ เพื่อให้ฝั่งที่เชียร์ตัวเองเชียร์เฮ และ พร้อมเชื่อ หรือ คนที่ไม่รู้ข้อมูลอาจเชื่อ”

“ชัยวุฒิฉลาดกว่าในการแถ แบบเนียนๆ”

“ชัยวุฒิ ไพบูลย์ คือมีสกิลนักการเมือง เน้นหาทางวกเข้าเรื่องที่อยากพูด ไม่ได้กะว่าจะต้องตอบคำถามอะไรแบบตรงไปตรงมา คุยกันเรื่องทุนผูกขาด อยู่ดี ๆ พาเข้าทุนไทยซัมมิต ไพบูลย์ก็กฎหมายมันว่ามาอย่างนี้ มันจะไปผิดตรงไหนสุชาตินี้วอแตก ลุกขึ้นยืนเอานิ้วชี้หน้าเลย”

'นอท' แขวะ!! คลิปไข่ต้ม เห็นแล้วอยากดีเบต ด้านชาวเน็ต แซะ!! "นอท หิวแสง" อีกแล้ว

ดรามาไข่ต้มเหยาะน้ำปลา กระฉ่อน!! คนดังออกตัวแห่วิจารณ์ หลังเห็นคลิป ชัยวุฒิ ชวนลูกชายกินไข่ต้ม ติดแฮชแท็ก #Saveไข่ต้ม ด้านนอทกองสลากพลัส เห็นคลิปแล้วอยากดีเบตด้วย ตั้งคำถามเขาคือผู้นำด้าน ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จริงหรือ?

กำลังเป็นกระแสโด่งดังพอสมควร สำหรับดรามาไข่ต้มเหยาะน้ำปลา ในแบบเรียนชั้นประถม ภาษาพาที ซึ่งวานนี้ (23 เม.ย.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์คลิปกินไข่ต้มกับลูกชาย พร้อมใส่แคปชันว่า "ไข่ต้ม ลูกชาย ชอบกิน อร่อย ดี มีประโยชน์" พร้อมติดแฮชแท็ก #วิถีพ่อ #Saveไข่ต้ม #ไข่ต้ม #ไข่ต้มเป็นอาหารที่ไม่มีชนชั้น #อยู่อย่างพอเพียง

ทันทีที่เห็นข้อความดังกล่าว ทางด้าน 'นอท' พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หัวหน้าพรรคเปลี่ยน เมื่อเห็นคลิปดังกล่าวของนายชัยวุฒิ ถึงกับตั้งคำถามในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า...

"เขาคือ ผู้นำด้าน ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จริงหรือ??? ผมอยากดีเบตกับเขา" 

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นอทโพสต์ข้อความดังกล่าว ก็มีทั้งข้อความที่เชียร์ให้ทั้งคู่ได้มาดีเบตกัน ขณะเดียวกันก็มีข้อความทำนองว่า นอท หาแสง กับกระแสอีกแล้ว!!

ที่มา: CH7HD_News

‘ดร.เอ๋ บุณณดา’ เลือดใหม่ พปชร.โต้วงดีเบตด้วยหลักการ ตอกหงายผู้แทนพรรคอื่น ด้วยนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 66 ในรายการ THE STANDARD NOW MINI DEBATE นำโดยพิธีกรรายการ ‘อ๊อฟ ชัยนนท์’ จัดวงดีเบต 4 นักการเมืองหญิง จากทั้ง 4 พรรคการเมือง ผ่าน ‘นโยบายสะท้อนจุดยืนพรรค’ ผู้สมัครร่วมดีเบตได้แก่ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.(เขตบางพลัด-บางกอกน้อย) พรรคพลังประชารัฐ

เปิดรายการทางพิธีกรยิงคำถาม ถึงผลโพลของว่าที่นายกฯ ว่า พล.อ.ประวิตร หัวหน้า พลังประชารัฐ ยังไม่ติดอันดับ ทางด้าน ดร.เอ๋นั้นมีความหวั่นใจหรือไม่ ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จากการลงพื้นที่ กระแสค่อนข้างจะแตกต่าง เพราะประชาชนมีความสนใจในเรื่องของบัตรประชารัฐ และความชื่นชอบในตัวของลุงป้อมที่ดูเป็นกลางและก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงนโยบายส่งเสริม เกษตรกรครอบครัวละ 30,000 บาท ทาง ดร.เอ๋ ได้ชี้แจ้งว่า “อยากจะให้มองที่ประโยชน์ของประชาชนหรือเกษตรกรที่จะได้รับมากกว่า ซึ่งวงเงิน 30,000 บาทตรงนี้ สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยได้ ซึ่งถ้าหากพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล หรือ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกฯ นโยบายนี้สามารถทำทันทีและทำได้เลย สำหรับข้อกำหนดที่จะได้เงินตัวนี้ จะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเป็นเกษตรกรเท่านั้น”

ดร.เอ๋ ยังกล่าวอีกว่า “ทุกอย่างต้องมีเวลา ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลังจากที่ผ่านมา ทางเรารู้แล้วว่าอะไรคือปัญหาเพราะมีประสบการณ์แล้ว”

จากประเด็นมาตรา 112 ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จริง ๆ แล้วมาตรา 112 ไม่เคยทำร้ายใคร ในการพูดถึงควรที่จะตั้งคำถามอย่างไรให้สุภาพ ให้ถูกต้อง ไม่จาบจ้วงล่วงละเมิด สถาบันฯ โดยเฉพาะสถาบันฯไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมต้องแก้กฎหมายมาตรา 112 อยากจะให้ดูข้อมูลจริงยอมรับความจริง ไม่ใช่พูดแต่ข้อมูลหลอกลวง ใส่ร้ายแต่เรื่องไม่ดี”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงการชูนโยบายการก้าวข้ามความขัดแย้ง ของทางพรรคพลังประชารัฐ ว่าเป็นได้จริงหรือไม่ ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า ถ้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของ พล.อ.ประวิตร ด้านการบริหารทั้งกองทัพและการบริหารประเทศ ท่านสามารถรวบรวมคนเก่งมารวมตัวกันได้ เจรจาไกล่เกลี่ย ประนีประนอม เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพียงแต่ยังมีวาทกรรมที่แบ่งฝ่าย ว่าฝ่ายนี้คือเผด็จการ ฝ่ายนี้คือประชาธิปไตย อยากให้เลิกเรียกพรรคพลังประชารัฐว่า พรรคเผด็จการ เพราะถ้าไม่เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดรัฐประหาร เพราะคนทำรัฐประหารก็ไม่อยากทำเหมือนกัน”

‘บุญยอด’ แนะ ‘ก้าวไกล’ พูดถึงใครต้องให้เกียรติกัน ต้องไม่สาดโคลนใคร ไม่ด้อยค่าใคร 

เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 66 นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ตอบโต้พรรคก้าวไกลผ่าน ‘หมออ๋อง’ นสพ.ปดิพัทธ์ สันติภาดา จากพรรคก้าวไกล หลังจากมีการพูดจาดูถูกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในแทบทุกการหาเสียงของพรรคก้าวไกล ในช่วงหนึ่งของเวทีดีเบต BIG DEBATE จังหวัดพิษณุโลก โดยกล่าวว่า…

“นักการเมืองไม่ควรพุ่งเป้าไปสู่คู่แข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม เปรียบเหมือนกันกับไม่มีนักมวยคนใด หรือนักฟุตบอลคนใด ไปด่าว่าปรามาสคู่แข่งขัน เราต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน และสิ่งที่กระทำมา ถ้ามันผิดหรือไม่ถูกต้อง สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายได้

“พรรคก้าวไกลต้องกลับไปทบทวนเหมือนกันว่า เวลาจะพูดถึงใครต้องให้เกียรติกัน คุณดูถูก ดูแคลน ดูหมิ่น ทุกครั้งโดยไม่ให้เกียรติไม่ได้ เนื่องจากในกติกาการหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง เราต้องไม่สาดโคลนใคร ไม่ด้อยค่าใคร ลองไปทบทวนดูก่อน และควรต้องตอบคำถามด้วยว่า หัวหน้าพรรคของคุณทำไมชอบโกหกประชาชนนักด้วย”

เกี่ยวกับเรื่อง ส.ว. 250 คน นายบุญยอด ก็ได้กล่าวอีกด้วยว่า “กติกาของรัฐธรรมนูญ 60 จะให้สิทธิ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ได้เพียง 5 ปี นั่นคือปีนี้จะเป็นปีสุดท้าย และนั่นคือกติกาที่ร่างไปแล้ว และผ่านประชามติไปแล้ว กติกาได้เกิดขึ้น พวกท่านได้เข้าสู่การแข่งขันเมื่อปี 62 จำนวน 1 ครั้ง และปี 66 อีก 1 ครั้ง

“ตามกติกานั้น ได้เกิดขึ้นในสภาฯ แล้ว และในวันนั้น คนคงพอจำได้มีคนที่เป็นแคนดิเดต 2 คนเท่านั้น คือ…พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ นี่คือข้อเท็จจริง 

‘อุ๊งอิ๊ง’ เตรียมลุยงานต่อหลังคลอดลูกชาย เผย พร้อมขึ้นเวทีดีเบตชูนโยบาย-โชว์วิสัยทัศน์

(3 พ.ค. 66) ที่โรงพยาบาลพระราม 9 แพทองธาร ชินวัตร ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ปิฎก สุขสวัสดิ์ แถลงความพร้อมในการทำงานต่อหลังเลือกตั้ง โดยมีครอบครัวชินวัตร นำโดย คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ พินทองทา ชินวัตร ได้พาน้อง ‘พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์’ มาพบพี่น้องสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก

แพทองธาร เริ่มต้นกล่าวขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ การคลอดน้องธาษิณ เป็นการผ่าคลอด ไม่ได้ดูฤกษ์ยาม และเป็นไปด้วยความปลอดภัยแข็งแรงดีทุกประการ ความหมายชื่อ ‘ธาษิณ-พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์’ เป็นชื่อที่ตนเองตั้ง โดย ‘จ์’ มาจาก ‘พจมาน’ หรือ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นยาย และ ‘ธาษิณ’ มาจาก ‘ทักษิณ’ หรือ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นตา และภายหลังการคลอดเสร็จสิ้น ก็จะพักอีกสักสัปดาห์แรก เพื่อดูแลลูกชายและเริ่มต้นทำงานต่อไป

ส่วนกรณี การทวิตข้อความของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องการกลับบ้านนั้น แพทองธาร กล่าวว่า เป็นการทวิตด้วยความตื่นเต้นและตื้นตันที่ได้หลานคนที่ 7 คุณตาทักษิณ คงอยากเจอหลานช่วงลืมตาดูโลก อีกทั้ง การพูดคำว่า “กลับบ้าน” เป็นการพูดอยู่หลายครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าอาจส่งผลต่อการเมือง แต่ไม่ผิดที่จะหวัง โดยเฉพาะถ้าวันที่บ้านมีแต่เรื่องดีๆ

‘เดโมแครต’ เครียด!! ‘ไบเดน’ สภาพแย่ ‘ดีเบตรอบแรก’ ทั้ง ‘ไอ-เสียงแหบ-พูดซ้ำคำเดิม’ ส่ง ‘ทรัมป์’ ชนะใส

(28 มิ.ย. 67) บลูมเบิร์กของสหรัฐฯ รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแสดงความผิดพลาดมากมายระหว่างการดีเบตรอบแรก ยิ่งเป็นแรงส่งให้เกิดความวิตกมากขึ้นถึงอายุที่สูงวัยของเขาและการที่เขาจะทำให้การหาเสียงประสบความสำเร็จและเอาชนะในการเลือกตั้งปลายปีได้อย่างไร

บนเวทีบลูมเบิร์กชี้ว่า ไบเดนนั้นทั้งไอ เสียงแหบ พูดซ้ำประโยคเดิม หยุดนิ่งไม่ไหวติง และเขายังพูดติด ๆ ขัด ๆ เมื่อกล่าวถึงตัวเลขเป็นต้นว่า จำนวนของงานที่สร้างใหม่ในสมัยของเขา การจำกัดเพดานจำนวนเงินสูงสุดที่ประชาชนอเมริกันต้องจ่ายสำหรับค่ายารักษาโรคและอินซูลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของไบเดนในการให้ได้รับเลือกกลับเข้ามา ซึ่งในสหรัฐฯ ดินแดนเสรีนิยมที่มีค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูง

การแสดงออกของไบเดนซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังของไบเดนยิ่งทำให้ฝ่ายพรรครีพับลิกันลิงโลด และกระพือไฟโหมความอ่อนแรงและชราภาพของไบเดนให้ปรากฏ

ทรัมป์ฮุกหมัดใส่ไบเดนระหว่างเขาพลาดในประเด็นผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ

ทรัมป์กล่าวว่า “ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขาได้พูดอะไรออกมาในสิ่งนี้ และผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าถึงในสิ่งที่เขาได้เอ่ย”

บลูมเบิร์กรายงานว่า แต่ใช่ว่าทรัมป์จะทำผลงานดี เพราะเมื่อผู้จัด CNN ถามเขาเกี่ยวกับปัญหาโอปิออยด์ (opioid) ที่กำลังทำร้ายอเมริกันชน อดีตผู้นำสหรัฐฯ โบ้ยตอบเรื่องนักข่าววอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกรัสเซียควบคุมตัวแทน และโกหกคำโตด้วยการกล่าวอ้างบรรดาผู้สนับสนุนกบฏบุกรัฐสภา 6 ม.ค. ปี 2021 นั้นได้รับเชิญให้เดินเข้าไปภายในรัฐสภาสหรัฐฯ

โพลด่วนของ CNN จัดทำโดย SSRS ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ชมการดีเบตส่วนใหญ่ลงความเห็นให้ทรัมป์ชนะเหนือไบเดน

โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ลงทะเบียนและได้ชมการดีเบตรอบแรกคืนวันพฤหัสบดี (27) 67% ต่อ 33% ชี้ว่า ทรัมป์แสดงความสามารถในการดีเบตได้ดีกว่า

ซึ่งก่อนการดีเบต พบว่ากลุ่มผู้ร่วมแบบสอบถามคนเดิมกล่าวว่า 55% ต่อ 45% ที่คาดว่าทรัมป์จะแสดงความสามารถในการดีเบตได้ดีกว่าไบเดน

และโพลด่วนของ CNN พบว่าผู้ชม 8 ใน 10 หรือราว 81% ต่างชี้ว่า การดีเบตไม่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ส่วนอีก 14% ชี้ว่าการดีเบตทำให้คนเหล่านี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้งแต่ไม่เปลี่ยนใจ ส่วนอีก 5% กล่าวว่าเปลี่ยนใจจากผู้สมัครที่ตั้งใจจะเลือกก่อนหน้า

เดอะการ์เดียนชี้ว่า อดีตผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของไบเดน เคท เบดิงฟิลด์ (Kate Bedingfield) แสดงความเห็นต่อผลงานของไบเดนว่า ‘มันเป็นการแสดงความสามารถดีเบตที่น่าผิดหวังของประธานาธิบดีโจ ไบเดน’

ขณะที่อดีตนักวางแผนทางยุทธศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เดวิด แอ็กเซิลร็อด (David Axlerod) กล่าวว่า พวกเดโมแครตพากันวิตกเป็นอย่างมากและกำลังสงสัยว่าประธานาธิบดีไบเดนสมควรไปต่อในการเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้ง

เริ่มแล้ว!! ดีเบต ‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ เลือกตั้งชิงผู้นำสหรัฐฯ มีแต่ 'ซัด-สวน-แขวะ' ปม 'การเมือง-เศรษฐกิจ-ความมั่นคง'

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศึกดีเบตรอบแรกระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ เริ่มเปิดฉากขึ้นในเวลา 21.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ET) ที่เมือง ‘ฟิลาเดเฟีย’ รัฐ ‘เพนซิลเวเนีย’ โดยมีสถานีโทรทัศน์ ‘ABC News’ เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางคำถามว่า ทรัมป์และแฮร์ริส ซึ่งไม่เคยพบเจอกันตัวเป็นๆ มาก่อนจะทักทายกันอย่างไร? ซึ่งปรากฏว่าแฮร์ริสจบข้อสงสัยด้วยการเป็นฝ่ายเดินไปหาทรัมป์ที่โพเดียมของเขา และยื่นมือทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ ซึ่งถือเป็นการจับมือในศึกดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

รอยเตอร์ชี้ว่าท่าทีของแฮร์ริสเป็นการส่งสัญญาณ ‘ลดการ์ด’ ให้กับชายซึ่งใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดูหมิ่นเหยียดหยามเธอทั้งในแง่ของเพศและเชื้อชาติ

แฮร์ริส ซึ่งเป็นอดีตอัยการวัย 59 ปี พุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนต่างๆ ของทรัมป์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ทรัมป์ในวัย 78 ปีออกอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด และพยายามตอบโต้ด้วยการอ้างข้อมูลบิดเบือนต่างๆ โดยในช่วงหนึ่งของการอภิปราย แฮร์ริสได้กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ โดยเยาะเย้ยว่าคนส่วนใหญ่ ‘มักจะกลับก่อน’ เพราะว่า ‘ทนความเบื่อไม่ไหว’

ทรัมป์ก็ตอกกลับทันควันว่า “ในการปราศรัยของผม เรามีการปราศรัยขนาดใหญ่ที่สุด และเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ” พร้อมทั้งกล่าวหาว่า แฮร์ริส ‘จัดรถบัส’ ไปขนคนเข้ามาฟังการปราศรัยของตัวเอง

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังอ้างทฤษฎีสมคบคิดไร้หลักฐานที่ระบุว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ‘กินสัตว์เลี้ยง’ ของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลนี้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ และถูกนำมาโหมกระพือโดย ‘เจ. ดี. แวนซ์’ ซึ่งเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์เอง

“ที่สปริงฟิลด์ คนพวกนั้นกินสุนัข พวกที่อพยพย้ายเข้ามา พวกเขากินแมว” ทรัมป์ กล่าว “พวกนั้นกินสัตว์เลี้ยงของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง”

เจ้าหน้าที่เมืองสปริงฟิลด์เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าข้อครหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง และผู้ดำเนินรายการของ ABC ก็รีบโต้แย้งทันทีหลังจากที่ทรัมป์พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะที่แฮร์ริสแสดงออกด้วยการหัวเราะและเย้ยหยันอีกฝ่ายว่า “พูดจาสุดโต่ง”

แฮร์ริสซึ่งเป็นอดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพยายามขุดคุ้ยพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์ขึ้นมาโจมตี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพยายามล้มผลเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมงแรกของการดีเบตดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์นี้จะได้ผลไม่น้อย และบีบให้ ทรัมป์ต้องพยายามหาทางแก้ต่างให้กับตัวเอง

ทรัมป์กล่าวว่าตนเอง ‘ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง’ กับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 นอกเหนือไปจาก “พวกเขาขอให้ผมขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์” และยังคงอ้างเหมือนเดิมว่าตนเองคือผู้ที่ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

แฮร์ริสยกพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์มาเป็นเหตุผลว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่

“โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกชาวอเมริกัน 81 ล้านคนไล่ลงจากเก้าอี้ ขอให้ทุกท่านเข้าใจชัดเจนตามนี้ด้วย และเห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาในการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่เราไม่สามารถยอมให้สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีที่พยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม อย่างที่เขาเคยพยายามทำมาในอดีตได้” แฮร์ริส กล่าว

รองประธานาธิบดีหญิงผู้นี้ยังจิกกัดทรัมป์ด้วยการบอกว่าผู้นำทั่วโลกต่าง ‘หัวเราะเยาะ’ เขา และมองว่าเขา ‘สร้างความอับอาย’ ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสำนวนภาษาเดียวกันกับที่ทรัมป์มักจะพูดเย้ยหยัน ‘โจ ไบเดน’ ระหว่างที่เดินสายหาเสียง

ด้านทรัมป์ก็หันมาเล่นงานแฮร์ริสด้วยการอ้างว่าเธอ ‘ไม่เคยได้รับคะแนนโหวต’ ในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และยังอ้างว่าเธอก้าวขึ้นมาแทนที่ไบเดน ตามแผน ‘รัฐประหาร’ (coup) ของคนในพรรค

“เขาเกลียดเธอ” ทรัมป์อ้างว่าไบเดนรู้สึกเช่นนั้น “เขาทนเธอไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม การโต้เถียงเช่นนี้ดูเหมือนจะยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของแฮร์ริสที่ว่า ทรัมป์ขาดความสามารถในการ ‘ควบคุมอารมณ์’ ซึ่งประธานาธิบดีควรจะมี

ผู้สมัครทั้งสองยังแลกหมัดกันในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมสูงกว่าแฮร์ริส ในด้านนี้

แฮร์ริสได้แจกแจงนโยบายต่างๆ ที่เธอได้นำเสนอตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น การให้ประโยชน์ทางภาษีแก่ครอบครัวและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็โจมตีแผนของทรัมป์ ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับการรีดภาษีการขาย (sales tax) เอากับชนชั้นกลาง

“โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เราต้องเผชิญปัญหาการว่างงานรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)” แฮร์ริสกล่าว โดยอ้างถึงตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งสูงสุด 14.8% ในเดือน เม.ย. ปี 2020 และลงมาอยู่ที่ 6.4% ในขณะที่ทรัมป์พ้นตำแหน่ง

ด้านทรัมป์ก็วิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริสเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในรัฐบาลไบเดน โดยระบุว่า “เงินเฟ้อถือเป็นหายนะสำหรับประชาชน สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง และคนทุกๆ กลุ่ม” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนไปสู่ประเด็นเรื่องผู้อพยพ โดยอ้างแบบไร้หลักฐานยืนยันว่ามีผู้อพยพ ‘จากโรงพยาบาลบ้า’ (insane asylums) หลบหนีข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

ผู้สมัครทั้ง 2 รายยังแสดงมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับประเด็นการทำแท้ง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางของแฮร์ริสมากกว่า

ทรัมป์อ้างไปถึงคำพิพากษาของศาลสูงสุดในปี 2022 ที่ยกเลิกสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง และให้แต่ละรัฐมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นนี้เอง โดยเขาอ้างว่า “ผมเองมีส่วนในการผลักดันเรื่องนี้ และใช้ความกล้าหาญในการทำสิ่งนี้”

ด้านแฮร์ริสแสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่าการที่สิทธิทำแท้งกลายเป็นเรื่องของแต่ละรัฐถือเป็นผลลัพธ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

“นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการงั้นหรือ? คนจำนวนมากถูกปฏิเสธรับเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลัวว่าจะติดคุกเนี่ยนะ?” แฮร์ริสตั้งคำถาม

เมื่อถูกถามว่าจะใช้สิทธิ ‘วีโต’ หรือไม่หากสภาคองเกรสผ่านกฎหมายแบนการทำแท้ง? ทรัมป์ยืนยันว่า “สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น” แต่ก็ปฏิเสธที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

ทรัมป์และแฮร์ริสยังกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าพยายามใช้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็น ‘อาวุธ’ โจมตีฝ่ายตรงข้าม โดย ทรัมป์นั้นอ้างว่าการที่ตนถูกยื่นฟ้องฐานสมคบคิดล้มผลเลือกตั้งเมื่อปี 2020 และจัดการเอกสารชั้นความลับอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์สวาทด้วยนั้น ทั้งหมดเป็น ‘แผนสมคบคิด’ ที่ แฮร์ริสและไบเดนร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ซึ่งก็เป็นการกล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานตามเคย

ด้านแฮร์ริสฟาดกลับด้วยการชี้ว่า ทรัมป์ข่มขู่จะใช้กฎหมายเอาผิดกับบรรดาศัตรูทางการเมือง หากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

“โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาคือคนที่เคยออกมาพูดอย่างเปิดเผยว่าจะฉีก --- นี่ดิฉันเอ่ยตามที่เขาพูดนะ --- จะฉีกรัฐธรรมนูญ” เธอกล่าว

ทรัมป์ยังคงอ้างซ้ำๆ เหมือนเดิมว่าการที่ตนแพ้ศึกเลือกตั้งในปี 2020 ก็เพราะ ‘ถูกโกง’ พร้อมทั้งกล่าวหาแฮร์ริสว่าเป็นพวก ‘มาร์กซิสต์’ และอ้างด้วยว่าผู้อพยพเป็นต้นเหตุทำให้สถิติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น

ในประเด็นสงครามอิสราเอล-กาซา แฮร์ริสประกาศว่า “สงครามจำเป็นต้องยุติลงทันที และมันจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อตกลงหยุดยิง และเราจำเป็นต้องช่วยตัวประกันทั้งหมดออกมา” ขณะที่ทรัมป์ระบุว่าแฮร์ริส “เกลียดชังอิสราเอล ถ้าเธอได้เป็นประธานาธิบดี ผมเชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะไม่มีชาติอิสราเอลเหลืออยู่แน่นอน”

แฮร์ริสเถียงกลับทันควันว่า “นี่ไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย ตลอดชีวิตและการทำงานของดิฉันสนับสนุนอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลเรื่อยมา”

'ผลสำรวจ' ชี้!! 'มะกัน' ยังเชื่อมั่นใน ‘ทรัมป์’ แม้ ‘กมลา’ ดีเบตได้ดีกว่า แต่ผิดหวัง!! ทั้งคู่ยังพูดถึง 'แผน-นโยบาย' พัฒนาประเทศได้ไม่ชัดนัก

(12 ก.ย. 67) หลังการดีเบตยกแรกของ ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ผู้สื่อข่าวพีพีทีวีในสหรัฐฯ ได้สำรวจความเห็นประชาชนในวอชิงตันดีซีและรัฐแมรีแลนด์ พบชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในตัว ‘ทรัมป์’ มากกว่า

จากการลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนหลังการดีเบตครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 67 ชาวอเมริกันมองว่า พวกเขาต้องการแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากกว่าการโต้เถียงเรื่องอื่น ๆ

ด้านผลโพลล่าสุดชี้ การดีเบตในครั้งนี้ ‘กมลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างอดีตประธานาธิบดี ‘โดนัล ทรัมป์’ แต่หากเจาะลึกความเชื่อมั่นแล้ว ชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของทรัมป์มากกว่า

การพบกันครั้งแรกในศึกดีเบตระหว่างแฮร์ริสจากพรรค ‘เดโมแครต’ และทรัมป์จากพรรค ‘รีพับลิกัน’ ทั้งสองได้แสดงวิสัยทัศน์ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องภาษี สิทธิการทำแท้งในผู้หญิง และบทบาทของสหรัฐฯ ในด้านการต่างประเทศ จุดยืนในการช่วยเหลือสงครามในตะวันออกกลางหรือสงครามยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการจัดการแนวชายแดน และแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทรัมป์เลือกที่จะโจมตีแฮร์ริส ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในตอนนี้และรับผิดชอบโดยตรงแต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ด้านนางกมลาก็หันไปโจมตี โดนัล ทรัมป์กลับ ว่าเป็นผู้ที่มีคดีความติดตัวและโกหก

จากการลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนในกรุงวอชิงตันดีซีและรัฐแมรีแลนด์ พบว่า ชาวอเมริกันต้องการเห็นแผนการบริหารงานที่ชัดเจน มากกว่าการโจมตีกัน 

ไมค์ ซี จากรัฐแมรีแลนด์ กล่าวว่า การดีเบตครั้งนี้ มองโดยรวมแล้วไม่สามารถโน้มน้าวให้เปลี่ยนการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. 67 นี้ได้ เพราะต่างคนต่างเลี่ยงตอบคำถามและไม่มีแผน หรือแนวทางที่ชัดเจน

ไมค์ ซี ชาวอเมริกัน บอกว่า “ผมคาดหวังให้ทั้งคู่พูดถึงแผนการ และนโยบายให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะพวกเขาไม่ได้ตอบคำถามมากนัก หรือให้ข้อมูลตามจริงในสิ่งที่พวกเขาวางไว้”

ก่อนจะเสริมว่า “ผมไม่คิดว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้สามารถเปลี่ยนผลการลงคะแนนเลือกตั้งของใครได้”

ด้านลูเซียร์ วัย 29 ปี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาเที่ยวที่กรุงวอชิงตัน ดีซี มองว่า การดีเบตครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมีแต่การโจมตีกันเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนตัวเธอมองว่า การดีเบตมุ่งแต่ถกเถียงเรื่องการต่างประเทศ โดยไม่ได้มีแผนในการดำเนินงาน หรือแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ

ลูเซียร์บอกว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาโฟกัสปัญหาต่างประเทศ และอภิปรายแผนแบบนามธรรม ฉันอยากรู้แผนการพัฒนาด้านประกันสุขภาพ หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับรุ่นลูก ฉันยังไม่เห็นแผนการพัฒนาประเทศในการดีเบต”

สอดคล้องกับผลการสำรวจจาก ‘CNN Polls’ ในผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เข้ารับการลงทะเบียนชมการถ่ายทอดสดศึกดีเบต ระหว่าง ทรัมป์และแฮริส ได้มองว่า หากเลือกถึงผลงานการอภิปรายบนเวทีดีเบต กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี จากเดโมแครต ทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ ถึง 63% โดยหลังจากนั้น ทีมหาเสียงของแฮร์ริสได้เรียกร้องให้มีการจัดดีเบตผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ทรัมป์ปฏิเสธและอ้างว่า การดีเบตครั้งนี้เป็นชัยชนะของเขา 

ศึกดีเบตที่มีหัวข้อที่โจมตีทั้งสองฝ่าย โดยทรัมป์เลือกเลี่ยงตอบคำถามในหลายประเด็น ขณะที่แฮร์ริสเลือกที่จะตอบคำถามอย่างมั่นใจมากกว่า หากแตกประเด็นลงไปดูการสำรวจความเชื่อมั่นด้านการแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ แล้วนั้น ด้านปัญหาการป้องกันชายแดนและแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย  ทรัมป์ยังเอาชนะแฮร์ริสได้กว่า 56%

รวมถึงประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่า ทางด้านแฮร์ริส ได้รับความเชื่อมั่นในด้านการปกป้องประชาธิปไตย และการดูแลสิทธิสตรีให้เข้าถึงการทำแท้งถูกกฎหมาย

‘ทรัมป์’ ยัน!! ไม่ดีเบต 'กมลา' อีกรอบ ลั่น!! มีแต่ผู้แพ้เท่านั้นที่ขอโอกาสล้างตา

(13 ก.ย. 67) อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความลงบน ทรูธ โซเชียล ระบุว่า การประชันวิสัยทัศน์หรือดีเบตครั้งที่ 3 กับตัวแทนพรรคเดโมแครตจะไม่เกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ขึ้นเวทีมาแล้ว 2 ครั้ง ในเดือน มิ.ย.67 กับประธานาธิบดี โจ ไบเดน และครั้งล่าสุดกับรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส เมื่อวันที่ 10 ก.ย.67 ที่ผ่านมา

ในโพสต์ดังกล่าว ทรัมป์ยืนยันว่าตนเองเป็นฝ่ายเอาชนะแฮร์ริส และมีเพียงผู้แพ้เท่านั้นที่เรียกร้องขอโอกาสแก้มือหรือล้างตากันอีกรอบ โดยทรัมป์แนะนำว่าแฮร์ริสควรมีสมาธิกับการทำหน้าที่รองประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะเปลี่ยนใจ เพราะก่อนการดีเบตกับแฮร์ริส ทรัมป์แทบไม่เคยให้ความชัดเจนเลยว่าจะขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์หรือไม่ ขณะที่แกนนำพรรครีพับลิกันหลายคนต้องการให้ทรัมป์ขึ้นดีเบตกับแฮร์ริสอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ได้เชิญทรัมป์และแฮร์ริสขึ้นเวทีดีเบตกันในเดือน ต.ค. 67 นี้

ส่วนความเคลื่อนไหวการหาเสียงเลือกตั้งภายหลังการดีเบต  เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เลือกลงพื้นที่เมือง ‘ทูซอน’ รัฐ ‘แอริโซนา’ 1 ใน 6 รัฐสำคัญที่คะแนนเสียงสูสีและจะเป็นปัจจัยชี้ขาดผลแพ้ชนะ โดยทรัมป์ได้ย้ำถึงปัญหาการควบคุมพรมแดนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันปล่อยให้ผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากและก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น

ด้านแฮร์ริสเดินทางไปยังเมือง ‘ชาร์ลอต’ รัฐ ‘นอร์ทแคโรไลนา’ โดยระหว่างการปราศรัย แฮร์ริสระบุว่า เธอและทรัมป์ยังต้องทำหน้าที่รับใช้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วยการขึ้นเวทีดีเบตกันอีกครั้ง เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 67 นี้ คือเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดของสหรัฐฯ 

ขณะที่ทีมหาเสียงของแฮร์ริสเปิดเผยว่า ยอดเงินบริจาคในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังจากการดีเบต มีตัวเลขอยู่ 47 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500  ล้านบาท จากจำนวนผู้บริจาคเกือบ 600,000 คน ทำให้ขณะนี้ แฮร์ริสมียอดเงินบริจาคสะสมสำหรับการหาเสียงเพิ่มเป็น 360 ล้านดอลลาร์ หรือ 12,000 ล้านบาท ส่วนทรัมป์มียอดบริจาคสะสมอยู่ที่ประมาณ 130 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท

'จักรภพ' แง้ม!! จังหวะดีๆ อยากดีเบตกับ ‘ธนาธร-ปิยบุตร’ ชี้!! เป็นอาหารสมองให้คนไทย ดีกว่าการก่นด่ากันไปวันๆ

(23 ก.ย. 67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ดีเบต! ดีใจที่การเมืองไทยมีคนดีเบตครบสองข้างเสียที ผมยินดีจะเข้าร่วมในจังหวะดี ๆ เสมอครับ หวังช่วยผลักสาระในการเมืองเราให้กระเถิบสูงขึ้นกว่าอารมณ์ให้มากที่สุด 

ส่วนผู้เล่นหลักที่ผมหวังว่าจะให้เกียรติมาดีเบตกันสักครั้งก็คือ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ คุณปิยบุตร แสงกนกกุล ส่วนท่านอื่น ๆ ก็ยินดีครับ เพียงแต่ดูให้ได้จังหวะและมีหัวข้อดี ๆ หน่อย ผมคิดว่า อาหารสมองคือสิ่งที่พี่น้องประชาชนของเราควรจะได้รับมากกว่าการก่นด่ากันไปวัน ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top