Monday, 21 April 2025
จีนเทา

ผบ.ตร.สั่ง บช.ก. ตรวจสอบเพิ่มกรณี เพจ 'ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' เปิดภาพส่งท้ายปี แฉบ่อนทุนจีนสีเทา ลั่นหากพบเกี่ยวข้องกับผู้ใด จะดำเนินการเด็ดขาดทุกราย

วันที่ 3 ม.ค. 66 เวลา 09.00 น. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยถึงกรณี เพจ 'ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' มีการโพสต์ภาพ พร้อมข้อความเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 “ไม่มีบ่อนในกรุงเทพ? ภาพภายในบ่อน หนึ่งในสี่ ภายใต้เครือข่าย 'จีนเทา' ของนายตู้ห่าว มีเงินไทยกองเต็มเคาน์เตอร์แลกชิพ กล้องระบุวันที่ก่อนเกิดเหตุที่ 'จินหลิง' เพียง 1 อาทิตย์ โดยระบุว่า “กรณีดังกล่าว เป็นข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับการโพสต์ภาพบ่อนครั้งก่อนๆ ของนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ซึ่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ บช.ก.ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงให้ทราบโดยเร็วแล้ว 

โดยภาพและข้อความเกี่ยวกับบ่อนการพนันนายทุนจีนสีเทาเพิ่มเติมที่โพสต์ล่าสุดในช่วงวันที่ 31 ธ.ค.2565 นั้น ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ บช.ก.ตรวจสอบเพิ่มเติมทุกภาพ ทุกข้อความ ทุกประเด็น เพื่อทำความจริงให้ปรากฎ ให้ได้ความชัดเจน และพิสูจน์ทราบว่ามีการกระทำความผิดทางอาญาใด ๆ หรือไม่

ศาลรับคดี ‘สว.อุปกิต’ ฟ้อง ‘โรม’ หมิ่นประมาท  ปมอภิปรายในสภาฯ เรื่อง ‘เช็กบิลไทยดำ-จีนเทา’

(11 ก.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีดำอ.468/2566 ที่นายอุปกิต ปาจริยางกูร วุฒิสมาชิก (ส.ว.) ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ

กรณีช่วงคืนวันที่ 15 ก.พ. 2565 ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีนายรังสิมันต์ ได้อภิปรายในหัวข้อ ‘เช็กบิลไทยดำ-จีนเทา’ โดยมีเนื้อหาพาดพิง ใส่ความให้ผู้อื่นเข้าใจว่า นายอุปกิต มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งล้วนเป็นเท็จทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทด้วย

โดยวันนี้ทั้งนายอุปกิต ปาจรียางกูร และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โจทก์และจำเลยไม่ได้มาศาล แต่มอบหมายให้ทนายความมาฟังคำสั่งแทน

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การอภิปรายและนำคลิปวิดีโอมาเปิดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ของนายรังสิมันต์ โรม จำเลยซึ่งมีหน้าที่และเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่การที่จำเลยนำคลิปวิดีโอในการอภิปรายดังกล่าวนั้น ออกมาเผยแพร่ทางช่องทั้ง YouTube และ Facebook ซึ่งเป็นสื่อโซเชียล ถือว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา คดีมีมูลจึงมีคำสั่งประทับรับฟ้อง พร้อมให้เจ้าหน้าที่ศาลมีหมายแจ้งให้จำเลยทราบนัด เพื่อมาสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 21 ส.ค. เวลา 09.00 น.

รวบ 3 จีนเทาผู้ร้ายข้ามแดนแปลงสัญชาติวานูอาตูหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติและเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เงินหมุนเวียนกว่า 55,000 ล้านบาท

กก.4 บก.สส.สตม. ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ ตม.จว.ชลบุรี จับกุมคนต่างด้าว จำนวน 3 คน ได้แก่ นายซู (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติจีน/วานูอาตู ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 407/2567 ลงวันที่ 18 มิ.ย.2567 ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชนและความผิดฐานเปิดบ่อนการพนัน (คาสิโน) (ออกหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน) นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการตามกฎหมาย และจับกุมนางจาง (นามสมมติ) อายุ 46 ปี สัญชาติจีน/วานูอาตู และนายซู เจียง (นามสมมติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน/วานูอาตู โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านพักภายในซอยทุ่งกลม-ตาลหมัน 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

สืบเนื่องจาก สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ นำส่งคำร้องขอให้ทางการไทยจับกุมตัวชั่วคราวนายซู (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติจีน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อไปดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชนและความผิดฐานเปิดบ่อนการพนัน(คาสิโน) ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอออกหมายจับชั่วคราวนายซู และได้ส่งหมายจับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สืบสวนจับกุม

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. พบข้อมูลว่านายซูได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศวานูอาตูเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแทนการใช้หนังสือเดินทางสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ยังพบว่า นางจาง และนายซู เจียง ซึ่งเป็นเครือญาติของนายซูได้ถือหนังสือเดินทางประเทศวานูอาตูเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้วย 

จึงได้ประสานสอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เพื่อตรวจสอบประวัติของนางจาง และนายซู เจียง รับแจ้งว่า บุคคลทั้งสองมีสัญชาติจีน โดยนางจาง มีประวัติกระทำผิดในข้อหา ฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชนและความผิดฐานเปิดบ่อนการพนัน (คาสิโน) ส่วนนายซู เจียง มีประวัติกระทำผิดในข้อหา เปิดบ่อนการพนัน (คาสิโน) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้สืบทราบว่าทั้ง 3 คน มักจะมีพฤติการณ์ในการย้ายที่อยู่เพื่อให้ยากต่อการจับกุมตัว และหลังสุดได้ย้ายหลบหนีไปอยู่บ้านพักหรูภายในซอยทุ่งกลม-ตาลหมัน 2 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกันนำหมายค้นของศาลจังหวัดพัทยาเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบคนต่างด้าวทั้ง 3 คน พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว และพบโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหลายรายการ และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสัญชาติของบุคคลทั้งสามและบุตร ซึ่งจากการสอบถามนายซู ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนจริง และจากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 3 คน ได้เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยหนังสือเดินทางประเทศวานูอาตู โดยนางจาง และนายซู เจียง การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว จึงได้จับกุมทั้ง 3 คน ดังกล่าว

สำหรับพฤติการณ์กระทำความผิดของนายซู และนางจางได้ร่วมกันกับพวกจัดตั้งองค์กรชื่อ หญิงฟา ซึ่งจัดให้มีการเล่นคาสิโนออนไลน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีบุคคลจำนวนเข้าเป็นสมาชิกในการเล่นการพนัน มีเงินหมุนเวียนกว่า 55,000 ล้านบาท โดยนายซู เป็นหัวหน้าแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกหลวงผู้อื่นทางระบบโทรคมนาคม โดยได้ทำการจัดตั้งระบบเว็บไซต์ และระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบหลังบ้านของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานอยู่ที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สอท. ร่วมกับ กสทช. จับคอลเซ็นเตอร์จีนเทาตลอบฝังตัวเช่ารีสอร์ทหรูเชียงใหม่ ตั้งฐานหลอกลวงเหยื่อ

วันนี้ (4 ธ.ค. 67) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล  รักษาการ เลขาธิการ กสทช., พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ  รักษาราชการแทน ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. และ เจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมแถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวลอบตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย หลังตำรวจร่วมมือกับ กสทช. ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตในหลายพื้นที่ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานเข้ามายังประเทศไทยเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและเสถียรกว่าฝั่งประเทศเพื่อนบ้านโทรหลอกลวงเหยื่อคนไทย การจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนหาข่าว กระทั่งพบรีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งได้ปิดการให้บริการไปในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แต่กลับมีการให้เช่ารีสอร์ททั้งรีสอร์ท  โดยไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก และมีคนต่างชาติเข้าออกสถานที่ดังกล่าวอย่างผิดสังเกต ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษ พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก อาจมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้น ผลจากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมด้วยของกลางเป็นจำนวนมาก

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า ในห้วงหลายเดือนที่ผ่าน กสทช. ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขันจับกุม ซิม เสาสัญญาณ, สถานีโทรคมนาคม และสายเคเบิลข้ามแดนผิดกฎหมาย ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจำเป็นต้องย้ายเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย การจับกุมนี้ครั้ง ถือเป็นทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือ เป็นความผิดฐานรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุโทรคมนาคม อันเป็นความผิด ตาม ม.26 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม พ.ศ.2498 ซึ่งต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายปราบปรามแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชติ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. 4 ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ได้สืบสวนการกระผิดในพื้นที่ จนกระทั่งพบรีสอร์ทเป้าหมายใน ต.บ้านปง อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเคยปิดให้บริการช่วงโควิด ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพัก แต่มีชาวต่างชาติเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดปกติ ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษของ กสทช. พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชา และขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าทำการตรวจค้น โดยพบว่า ผู้ต้องหาชาวจีนแอบลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ ปิดบังการใช้สัญญาณของคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยงกับแก็งค์ที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา โดยพบคนต่างชาติ สัญชาติจีน 9 คน ตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้เป็นจำนวนมาก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี โดยจะได้ขยายผลถึงผู้บงการเพื่อปราบปรามให้สิ้นซากต่อไป

ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนว่า หากพบเห็นสถานที่แห่งใด มีความผิดปกติ เช่นเคยร้างไป แต่กลับมีคนเข้าออกอย่างผิดปกติ หรือมีการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า หรือขอใช้อินเทอร์เน็ตมากผิดปกติ  สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โทร.191 หรือ กสทช. 1200 ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจสอบ ป้องกันมิให้คนร้ายเข้ามาตั้งฐานหลอกลวงคนไทยต่อไป

จีนเริ่มแคนเซิลทัวร์มาไทยช่วงตรุษจีน หวั่นถูกจีนเทาลักพาตัวเหมือนกรณีซิงซิง

(10 ม.ค.68) เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อฮ่องกงรายงานว่า นักท่องเที่ยวจีนหลายคนที่วางแผนจะเดินทางไปประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ได้แสดงความกังวลผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมตั้งคำถามตรงไปตรงมาหลังเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงจีน 'หวังซิง' (Wang Xing) ซึ่งหายตัวไปหลังจากเดินทางมาถึงประเทศไทยจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายฝ่ายจับตาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

หวังซิง ก่อนหน้านี้เขาเป็นนักแสดงที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งเหตุการณ์หายตัวไปของเขากลายเป็นข่าวดัง ชื่อของเขาได้ปรากฏในการค้นหาอันดับต้น ๆ บนสื่อโซเชียลมีเดียของจีน

แม้การหายตัวไปของเขา ทางด้านเจ้าหน้าที่ไทยได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วท่ามกลางการจับตามองจากสาธารณะ โดยสามารถช่วยเหลือหวังซิงออกมาจากกลุ่มขบวนการสแกมเมอร์ ในเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกับเมียนมาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เขาถูกมองว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และถูกพบในสภาพอิดโรย พร้อมถูกโกนหัวตามภาพที่ถูกเผยแพร่

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังจะเดินทางมาประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังใกล้เข้ามาเป็นอย่างมาก

บนแพลตฟอร์ม Xiaohongshu หรือ 'Little Red Book' หรือที่รู้จักกันในฐานะ Instagram ของจีน มีการค้นหาคำว่า 'How do I cancel my Thailand trip?' พบโพสต์มากกว่า 380,000 โพสต์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

ชาวนา หลี่ (Shawna Li) หญิงสาวจากมณฑลเจ้อเจียงในจีน กล่าวว่าตนเองและเพื่อนหญิงสามคนวางแผนจะเดินทางไปประเทศไทยในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 28 มกราคมถึง 4 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ แต่เมื่อทราบข่าวเกี่ยวกับหวังซิง พวกเธอจึงตกลงใจที่จะยกเลิกการเดินทาง

"เราเปลี่ยนใจเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อเราทั้งสี่เป็นผู้หญิงที่เดินทางไปด้วยกัน" เธอกล่าว "ฉันไม่เคยไปประเทศไทยมาก่อน เคยได้ยินว่ามีราคาถูกและสนุก ฉันเคยคิดว่าอาจจะไม่ปลอดภัยบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดนี้"

ผู้จัดการของตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของจีนอย่าง Ctrip สาขาในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า ประสบการณ์ของหวังซิงส่งผลให้จำนวนการจองเที่ยวบินไปประเทศไทยลดลง

ผู้จัดการ Ctrip เผยว่าจนถึงขณะนี้ มีทัวร์ไปประเทศไทยเพียงทริปเดียวที่กำหนดจะออกเดินทางก่อนสิ้นเดือนนี้ โดยมีผู้ร่วมทริปเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น "ในระยะสั้น เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการเดินทาง" ผู้จัดการกล่าว

สื่อฮ่องกงยังตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการอย่างรวดเร็วของตำรวจไทยต่อกรณีหวังซิง มีขึ้นหลังการเรียกร้องของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ให้ปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้และจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการท่องเที่ยวของไทย หลังจากที่ข่าวเกี่ยวกับการหายตัวของหวังซิงเผยแพร่ไปทั่ว

หลังจากที่หวังซิงได้รับการช่วยเหลือในวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ไทยได้ถามเขาต่อหน้าสื่อเพื่อให้แสดงความพร้อมที่จะกลับมาท่องเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง

หวังซิงซึ่งสวมหมวกสีดำปิดบังใบหน้า ยืนยันด้วยคำพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนว่า "ประเทศไทยยังคงปลอดภัย และผมจะกลับมาอีก"

มีรายงานว่า จำนวนการเยือนของนักท่องเที่ยวชาวจีนในประเทศไทยอาจลดลงระหว่าง 10 ถึง 20% ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ตามการประเมินของสมาคมตัวแทนการท่องเที่ยวไทย (ATTA)

โดยในปี 2024 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยถึง 6.73 ล้านคน ซึ่งจีนเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ตามข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีจำนวนชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่ถูกล่อลวงไปเข้าร่วมขบวนการสแกมเมอร์ที่ดำเนินการในภาคเหนือของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางการจีนเคยเผยข้อมูลเมืองปี 2023 ประเมินว่ามีชาวจีนราว 100,000 คน ที่ถูกหลอกลวงให้ไปทำงานเป็นสแกมเมอร์บริเวณชายแดนไทยเมียนมา

ท่าขี้เหล็กหันพึ่งไฟฟ้า สปป.ลาว เผยเตรียมต่อสายไฟไว้แล้ว

(5 ก.พ.68) เพจ Tachileik News Agency สื่อท้องถิ่นเมียนมารายงานว่า  หลังจากรัฐบาลไทยประกาศเตรียมตัดไฟที่ส่งไปยังเมืองท่าขี้เหล็กและเมียวดี ทางแผนกพลังงานไฟฟ้าของเมืองท่าขี้เหล็กได้เตรียมแผนสำรอง โดยจะใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ทดแทนในพื้นที่ดังกล่าว

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับระบบไฟฟ้าของเมืองท่าขี้เหล็กระบุว่า ทางคณะกรรมการได้วางแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินล่วงหน้าแล้ว โดยได้ดำเนินการสร้างสายส่งไฟฟ้าใหม่เพื่อให้สามารถรับไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ได้ทันทีหากไฟฟ้าจากไทยถูกตัดขาด

รัฐบาลไทยตัดสินใจระงับการจ่ายไฟฟ้าไปยังฝั่งเมียนมา รวมถึงเมืองท่าขี้เหล็กและเมียวดี โดยให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการดำเนินการปราบปรามการฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรมชาวจีนในพื้นที่ชายแดน การตัดไฟดังกล่าวมีผลตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025

นอกจากนี้ ทางการไทยยังมีคำสั่งระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตและการขนส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ชายแดนเมียนมาด้วย ซึ่งเป็นมาตรการที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ผลจากการตัดไฟฟ้าของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเมืองท่าขี้เหล็ก เมืองต่าแล และเมืองขอบเขต ซึ่งเดิมพึ่งพาไฟฟ้าจากไทย แม้ว่าเมืองท่าขี้เหล็กจะสามารถใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ได้ แต่ปัญหาการขนส่งเชื้อเพลิงที่ถูกระงับอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชนในระยะยาว

ในขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้ประกอบการในพื้นที่จะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร แต่คาดว่าการพึ่งพาพลังงานจาก สปป.ลาว จะเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

สื่อนอกเผยไทยตัดไฟเมียนมา ชาวบ้านเดือดร้อน แต่ธุรกิจจีนเทายังลอยตัว

(5 ก.พ.68) สื่อต่างประเทศรายงานว่า ไทยได้ดำเนินการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และเชื้อเพลิงในพื้นที่ชายแดน 5 จุดของเมียนมา เพื่อกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นปัญหาด้านความมั่นคง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับไม่สะท้อนถึงกลุ่มธุรกิจจีนเทา

รายงานจากรอยเตอร์ระบุว่า ไทยได้หยุดการส่งไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชายแดนของเมียนมาใน 5 จุด ได้แก่ เมืองพญาตองซู รัฐมอญ เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน และเมืองเมียวดี ในรัฐกะเหรี่ยง โดยการตัดไฟฟ้านี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่กำลังเติบโตขึ้น

รอยเตอร์ยังกล่าวถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การดำเนินการนี้มีจุดประสงค์ที่จะหยุดการสนับสนุนแก๊งมิจฉาชีพ และขณะนี้ไม่มีใครสามารถกล่าวหาว่าไทยมีส่วนสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม สื่อของเมียนมาได้เผยแพร่ข้อมูลว่า เมียนมามีการพึ่งพาไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากประเทศอื่น ซึ่งอาจมีการกล่าวถึงไทยอย่างไม่เป็นทางการ

หลังจากที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของไทยเริ่มตัดการจ่ายไฟฟ้าไปยัง 5 จุดที่กล่าวถึง ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการขาดไฟฟ้าในช่วงเช้าของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยชาวบ้านในเมืองพญาตองซูกล่าวว่ากับรอยเตอร์ว่า ธุรกิจของชาวจีนยังสามารถดำเนินการได้จากเครื่องปั่นไฟ ขณะที่ธุรกิจท้องถิ่นได้รับผลกระทบอย่างหนัก

“ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เราเห็นเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่มาถึงเมือง และตอนนี้เครื่องปั่นไฟเหล่านั้นกำลังทำงาน ธุรกิจของพวกเขา รวมถึงฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงดำเนินการได้ แต่ธุรกิจของชาวบ้านท้องถิ่นต้องหยุดลง” ชาวบ้านในเมืองพญาตองซูรายหนึ่งกล่าว

จีนแถลงชื่นชมไทยตัดไฟ-เน็ตเมียนมา เดินหน้าทุบขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(6 ก.พ.68) นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวแสดงท่าทีสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลไทยในการระงับการจ่ายไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และการส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ต้องสงสัยว่าเป็นฐานปฏิบัติการของขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ในเมียนมา 

โดยในการแถลงข่าวประจำวันที่กระทรวงการต่างประเทศจีนเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับมาตรการของไทยที่มีขึ้นก่อนการเยือนจีนของนางแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย  

นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ข้ามพรมแดนบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเป็นเรื่องร้ายแรง ทางการจีนให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำว่าจีนยินดีให้ความร่วมมือกับไทยและประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว  

“จีนสนับสนุนมาตรการที่เด็ดขาดของไทยและพร้อมขยายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปกป้องความปลอดภัยและสิทธิตามกฎหมายของพลเมืองจีนในต่างแดน รวมถึงรักษาความเป็นระเบียบในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประชาชนจีนและประเทศต่าง ๆ” นายหลินเจี้ยนกล่าว

‘Mr. S - Miss W’ นร.นอกที่จบจากตะวันตก ปั่นกระแส ทำลายความสัมพันธ์ ‘ไทย - จีน’ ใส่ร้าย!! สร้างวาทกรรม ‘จีนเทา’ ทั้งที่จริงนักลงทุนจีน 99% ดำเนินกิจการ อย่างโปร่งใส

(7 เม.ย. 68) มองให้ลึก ก่อนเหมารวม : เมื่อความเงียบกลายเป็นพลังบ่อนทำลาย

ช่วงนี้ในแวดวงความคิดเห็นและการเมืองระหว่างประเทศ เริ่มมีกระแสบางอย่างที่น่าสนใจและควรค่าแก่การจับตา

มีกระแสหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างเงียบเชียบ มีทิศทางชัดเจน และใช้กลวิธีที่แนบเนียน

เบื้องหลังของกระแสดังกล่าว มีบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะสองคนที่รู้จักกันในวงในชื่อย่อว่า Mr. S และ Miss W สองนักเรียนนอกจากโลกตะวันตก ผู้ร่วมกันผลักดันวาทกรรมในเชิง “ป้ายสีจีน” ด้วยการหยิบยกข้อมูลบางด้าน และใช้เทคนิคทางภาษาเพื่อชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด เหมารวมว่านักลงทุนจีนทั้งหมดเป็น “ทุนสีเทา”

หลายฝ่ายในวงการเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นการ “ปั้นกระแส” อย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่สังคมไทยควรตั้งสติและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ—เราไม่ควรเหมารวมบริษัทจีนทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มทุนสีเทา

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนจีนกว่า 99% ที่เข้ามาในประเทศไทย ล้วนเป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และสร้างงานให้กับคนไทยอย่างจริงจัง อาทิ :
 • GWM
 • Haier
 • Midea
 • Hisense
 • BYD
 • GAC AION
 • Longi
 • MG
 • ChangAn
 • CATL
 • SVOLT

บริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

แม้จะไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเบื้องหลังของกระแสนี้คืออะไรแน่ แต่ในโลกของการทูต “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

ทุกกระแสที่ถูกจุดขึ้น ล้วนมีที่มา

และทุกความเคลื่อนไหว ย่อมมี “ราคา” ที่ตามมาเสมอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top