Wednesday, 23 April 2025
จตุพร_พรหมพันธุ์

'ธนกร' แนะ 'จตุพร' หากรักประเทศ-ปชช. ควรยุติชุมนุม ชี้!! อีกไม่นานจะมีเลือกตั้ง อย่าสร้างความวุ่นวายให้สังคม

นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนระบุว่า ประเทศนี้จะไม่มีการเลือกตั้งก็เพราะ 3 ป. ออกแบบไม่ให้มีการเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าเราออกไปชุมนุมว่า เป็นการชิงออกตัวแบบปัดความรับผิดชอบอย่างชัดเจน เมื่อคิดที่จะปลุกปั่นให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุม ก็ควรแสดงภาวะผู้นำด้วยการรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองด้วย ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ แต่พอเกิดความผิดพลาดขึ้นก็โยนความผิดให้คนอื่น พฤติกรรมแบบนี้ใช้ไม่ได้สำหรับคนที่คิดจะเป็นแกนนำ 

ดังนั้น เมื่อประชาชนทราบเช่นนี้แล้ว ก็อยากจะขอร้องให้ทุกคนรู้เท่าทัน และอย่าหลงออกไปร่วมชุมนุมด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การเมืองเดินไปตามขั้นตอนอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ ดังนั้น นายจตุพรควรสงบจิตสงบใจ กลับไปทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาว่าตัวเองได้ทำอะไรกับประเทศไทยไว้บ้างให้ตกผลึกเสียก่อน เผื่อจะตาสว่างและเลิกจัดการชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ต้องสัญจรไปมา วันนี้วิกฤตเศรษฐกิจโลกก็แย่พอแล้ว อย่าซ้ำเติมสถานการณ์อีกเลย

‘ตู่ - จตุพร’ ลากไส้ ‘ทักษิณ’ หลอกใช้คนเสื้อแดง จวกเละ พอหมดประโยชน์ถีบหัวเรือส่ง

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก ประชาชนคนไทย (ปท.) เผยแพร่คำกล่าวของ ‘ตู่ - จตุพร พรหมพันธุ์’ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน โดยระบุว่า

“ผมมักพูดเสมอว่า การซื่อสัตย์กับคนไม่ซื่อสัตย์ ถ้าเป็นเรื่องเฉพาะตัว ก็ยอมรับกันได้ เมื่อรักเองต้องเจ็บเอง ให้ถูกใช้เอง ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ จะนำพาสู่ความหายนะ เกิดความเสียหาย เพราะชัยชนะที่ได้มันสั้นทุกครั้งคราว และต้องแลกกับการถูกล้มกระดานแล้วแพ้ระยะยาว และสู่ความพินาศย่อยยับทุกครั้ง”

แม้ปัจจัยการยึดอำนาจเป็นสิ่งภายนอก ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถป้องกันได้ โดยผู้มีอำนาจต้องไม่โกง ไม่ลุแก่อำนาจ และต้องไม่คิดว่าประเทศนี้เป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้ ยิ่งได้รับคะแนนมากเท่าไรก็หลงใหล ว่า ตนเองมีอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า อำนาจมากก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น

แม้วันนี้ประชาชนสิ้นหวัง แต่ยังคาดหวังว่า เมื่อมีเลือกตั้งจะยังไปเลือกตั้ง ผมจึงมาบอกให้สงสารประชาชนบ้างกับการพาประชาชนไปแพ้ทุกครั้ง แล้วโทษแต่การยึดอำนาจอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม หากเป็นรัฐบาลไม่โกง และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ทหารหน้าไหนจะกล้ามายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ยึดอำนาจปี 2557) และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ยึดอำนาจปี 2549) ก็ไม่มีวันมายึดอำนาจได้เลย

การย้ายขั้วสลับข้างมาสังกัดพรรคเพื่อไทย แล้วมีการแถลงขอโทษนายทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า เรื่องแรกถ้าไม่สถาปนาตัวเองว่าเป็นเจ้าของประชาธิปไตย ลำพังด้วยการประกาศว่า ย้ายออกเพื่อไทยเป็นคนทรยศ เป็นพวกงูเห่า ไปไล่หนูตีงูเห่า ที่ศรีสะเกษ จนทำให้สังคมประจักษ์กับพฤติกรรมนักการเมืองย้ายพรรคไม่ได้นั้น หากทำได้ตามที่พูดแล้ว คนจะสรรเสริญว่า เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง และประชาชนก็ไม่อาจยอมรับพฤติกรรมนักการเมืองแบบนี้ได้

คุณทักษิณ จะพูดอะไรก็ได้ พูดถึงเสียงปืนนัดแรก พูดพายเรือมาส่ง ความจริงก็ถีบหัวเรือเลย แต่เราจะปล่อยให้ความผิดพลาดมันเดินต่อไปไม่ได้ เราจึงวิจารณ์ เมื่อเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ย่อมมีถูก มีผิด ไม่ใช่ถูกทุกเรื่อง กำลังสถาปนาตัวเองเป็นเทพเจ้าหรืออย่างไร คือ หมายความว่า พูดอะไรก็ถูกหมด ทั้งที่พูดผิดหลายเรื่อง ทำไม่ถูกหลายเรื่อง และทำถูกก็มีหลายเรื่อง นี่เป็นหลักมนุษย์ธรรมดา ถ้าไม่วิพากษ์วิจารณ์กันในวันที่เรากำลังวิจารณ์กันได้ เรากำลังเดินเข้าไปในวงจรเดิม ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น

อดีตประธาน นปช. กล่าวต่อไปว่า การต่อสู้ของประชาชน เมื่อปี 2553 ไม่ได้อะไรที่คุ้มค่าตามเจตนารมณ์เลย รัฐบาลในยุคนั้น (ชุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ยังไม่กล้าลงนามกับศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือที่เรียกว่า ICC (International Criminal Court) แค่กลัว พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจ แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด ถูกพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจนได้ อีกทั้งไม่สร้างขบวนการต่อสู้ของประชาชนแล้วยังไปแบ่งแยก และทำลายขบวนการของประชาชนในแต่ละที่อีกด้วย

“มีคนมาถามผมว่า ทำไมคนเสื้อแดงกลายเป็นคนเสื้อส้มจำนวนมาก ผมเล่าแบบขำ ๆ และเจ็บใจตัวเองว่า สมัยก่อนพรรคอนาคตใหม่ (ชื่อเดิมพรรคก้าวไกล ก่อนถูกยุบ) ตึกติดกับพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาเก็บเสื้อแดงที่ถังขยะหน้าเพื่อไทย ไปล้างทำความสะอาด เอาไปใส่ แล้วเอาเสื้อส้มมาให้ใส่ ซึ่งจะสังเกตว่า หลังปี 2554 มา ไม่ได้ใช้ขบวนการเสื้อแดงในการหาเสียงเลย ไม่ว่าจะไปในฐานะพรรคเพื่อไทย หรือพรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกยุบก็ตาม แต่มาครั้งนี้เพื่อไทยต้องการเสียงแลนด์สไลด์ ก็ปลุกคนเสื้อแดงขึ้นมาใหม่อีก เหมือนปลุกผีที่เคยถูกทอดทิ้งขวางไปแล้ว และคงเพิ่งนึกได้ เวลาอยากก็ต้องการ เมื่อไม่อยากก็ทิ้งขวางไป”

มีการเรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงในเหตุการณ์ชุมนุม เมื่อปี 2553 ว่า คุณไม่ได้กระทำเลย ตนทนเยอะแยะมากมาย ความจริงคดีก่อการร้ายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องนั้น จำเลยที่หนึ่งคือ ทักษิณ ส่วนผมเป็นจำเลยที่สาม แต่อัยการไม่สั่งฟ้องทักษิณ ซึ่งต่อมาอัยการคนนี้ก็เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเป็น รมต. หมายความว่าอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องไม่อดทนไปตลอดชีวิต เราต้องอธิบายถูกเป็นถูก ผิดก็เป็นผิด

“วันนี้ ใครวางแผนที่จะมาตอบโต้ผมนั้น ให้ลองนึกกันช้า ๆ ว่า มีตรงไหนไม่เป็นความจริงบ้าง ขณะเดียวกันผมขอสงวนสิทธิ์ตอบโต้ทุกกรณี และจะหนักมากกว่านี้อีก วันนี้ผมไม่ได้ขัดขวางชัยชนะของเพื่อไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับการชนะด้วยท่วงทำนองการสถาปนา ว่า ตนเองเป็นนักประชาธิปไตย”

นั่นเป็นคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. หรือคนเสื้อแดง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำการชุมนุมคนเสื้อแดงมาอย่างยืดเยื้อยาวนานนับปี ซึ่งในตอนนั้นหลายคนมองว่า มีเป้าหมายเพื่อทวงคืนอำนาจให้กับนายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาให้กลับมาเป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายในบั้นปลายบรรดาแกนนำหลายคน รวมทั้งตัวเขา (จตุพร) ต้องติดคุก และยังมีคดีความเหลืออยู่ ขณะเดียวกัน ด้วยการมีประวัติต้องคดีอาญาดังกล่าว ทำให้เขาขาดคุณสมบัติทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ

'จตุพร' สวนไอโอหน้าโง่ งัดรูปร่วมโต๊ะ 'เทพเทือก' ปมยัดเยียดใส่ร้ายรับงานถล่ม ‘ทักษิณ’

(31 ม.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน 'ความคับแค้น แปรเปลี่ยนเป็นพลัง' มี อรุโณทัย ศิริบุตร ดำเนินรายการ โดยตอบโต้ขบวนการไอโอปกป้องเพื่อไทย นำรูปถ่ายกับสุเทพ เทือกสุบรรณ มายัดเยียดใส่ร้ายว่า รับงานวิพากษ์วิจารณ์ถล่มทักษิณ ชินวัตร

นายจตุพร ประเมินถึงวิกฤตในอนาคตว่า ว่า จะเกิดขึ้นจาก 2 เรื่องสำคัญคือ กรณีตะวัน-แบม และคำประกาศกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร โดยวิธีพิเศษ ในส่วนการอดอาหารของตะวัน-แบมนั้น เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงจุดตรึงเครียดยิ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนสำคัญในการสร้างปัญหาให้ ม.112 ขยายตัวมากขึ้น จึงต้องเป็นผู้ดึงฟืนออกจากไฟ เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่า พระราชประสงค์ของ ร.10 ไม่ต้องการดำเนินคดีกับใคร ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นคนสร้างความเดือดร้อนให้ ร.10

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประมุขฝ่ายบริหารกับประมุขฝ่ายตุลาการต้องหารือหาทางออกร่วมกัน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่คาดคิด จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ซึ่งเป็นความรู้สึกและอารมณ์ที่ไม่ต้องการอธิบายด้วยเหตุผลจากฝ่ายใด ๆ สถานการณ์แบบนี้ยากที่ใครจะควบคุมอยู่ได้ 

"ตะวัน-แบม อดอาหารเดิมพันชีวิตอย่างเอาจริง ฝ่ายรัฐจะประเมินด้วยเหตุการณ์อดอาหารแบบเดิม ๆ ไม่ได้ และเรื่องนี้จะอาศัยความสะใจหรืออคติหรือความเป็นการเมืองไม่ได้เลย แต่แก้ไขได้อย่างเดียวคือให้คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่จะดึงไฟออกจากฟืนก่อนที่จะเกิดวิกฤตรุนแรง จนลุกลามเป็นไฟลามทุ่งอย่างที่คาดไม่ถึง"

กรณีการประกาศกลับบ้านของทักษิณนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ใครอาจจะคิดว่าไม่มีอะไร เนื่องจากประกาศมาหลายครั้งก็ไม่ได้กลับและไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ประกาศในช่วงเวลาที่กำลังจะได้เสียทางการเมือง และยิ่งมาประกาศไม่ใช้กฎหมาย ไม่พึ่งเพื่อไทยหรือรอมชอมกับพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้น ในทางกฎหมาย คดีที่มีโทษจำคุกเป็นที่สุดแล้ว ทักษิณต้องเข้าเรือนจำอย่างเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ใครจะไปดีลโดยไม่สมควรดีล ซึ่งได้เริ่มต้นดีลแล้วยิ่งจะทำให้กลายเป็นชนวนใหญ่ เท่ากับปลุกผี พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาหลอกหลอนสังคมไทย จนกลายเป็นชนวนเผชิญหน้าของฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์และฝ่ายทักษิณ อีกครั้งหนึ่งอย่างไม่จำเป็นเลย

"เมื่อเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และทักษิณกลับบ้านจะกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก แล้วนำไปสู่การล้มกระดานทั้งปวง ดังนั้นพวกเราจึงตอกย้ำเตือนให้ยึดประเทศไทยต้องมาก่อน เพราะความแตกแยกรุนแรงท่ามกลางการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้ประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือนักการเมืองก็ตาม"

นายจตุพร กล่าวถึงการแตกหักกับทักษิณ และถูกขบวนการไอโอระบาดทำลายมากขึ้นว่า ที่ผ่านมาตนเจอปฏิบัติการไอโอจากทั้งฝ่ายเสมอ ขณะนี้ฝ่ายทักษิณได้แพร่รูปตนกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งร่วมโต๊ะอาหารในงานเลี้ยงแต่งงานลูกของชาดา ไทยเศรษฐ์ นักการเมืองคนสำคัญขณะสังกัดพรรคชาติไทย โดยมีเจตนาทำให้เข้าใจผิดแล้วหวังทำลายตน

ก่อนจะชี้แจงรูปนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับนายสุเทพ นายจตุพร กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณกับสุเทพว่า ข้อเท็จจริงแรก สุเทพเป็นเพื่อนทักษิณ ในช่วง 4 ปีแรกที่ทักษิณเป็นนายกฯ แต่สุเทพนั่งเลขา ปชป. เป็นฝ่ายค้าน และไม่เคยอภิปรายทักษิณสักครั้งเดียว สามารถตรวจค้นความจริงกันได้ทั่วไป

สองทักษิณ เคยไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้านสุเทพถึง อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี และเครือข่ายยังซื้อหุ้นสหกรณ์โคออฟร่วมลงทุนกับสุเทพด้วย นอกจากนี้ลูกน้องมือทำงานคนสำคัญของสุเทพ ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารระดับรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกทั้งถึงการเลือกตั้งปี 2548 สุเทพเริ่มมีปัญหาขัดแย้งกับทักษิณ แล้วนัดเจรจากันที่บ้านพิษณุโลก ตอนนั้นตนอยู่ในทีมโฆษกพรรคได้ แถลงข่าวเสนอให้ทักษิณเลิกคบกับสุเทพ

อีกอย่างในบทบาททางการเมือง ตนกับสุเทพต่างทำหน้าที่อยู่กับคนละฝายกันทั้งในการอภิปรายฟาดฟันในสภา และต่อสู้กันยิบตาบนท้องถนน ไม่มีอะไรลดราวาศอกกันเช่นเดิม กระทั่งได้มาคุยกันตัวต่อตัวในวันเจรจาก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งเป็นการคุยกันครั้งสุดท้ายและไม่ได้คุยกันอีกเลย

ส่วนกรณีรูปภาพถ่ายกับนายสุเทพนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ชาดา เป็นนักการเมืองใจนักเลง มีมิตรอยู่แทบทุกพรรค ซึ่งตนชอบนักเลงการเมืองมากกว่านักธุรกิจการเมือง เพราะพูดคำไหนคำนั้น ไม่ว่าอยู่ซีกไหน ไม่มีอะไรซับซ้อน จึงได้คบค้าสมาคมกัน แต่นักธุรกิจการเมืองพูดวันนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกอย่าง

จากนั้น ชาดา ชวนไปงานแต่งงานลูกในเดือนมกราคม ปี 2559 ตนก็ไปและเจอสุเทพ ก็เดินดิ่งเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ จึงมีภาพถ่ายปรากฎ สิ่งสำคัญ เมื่อเป็นงานแต่งงานก็ต้องมีมารยาทกันตามประเพณีต้องให้เกียรติเจ้าภาพ จะฟาดฟันกันยับเยินได้อย่างไร อีกอย่างถ้าตนหลบหนีสุเทพไปนั่งโต๊ะอื่น ก็จะถูกอีกฝ่ายด่าอยู่ดี พวกไอโอจะให้ตนไปรบกันในงานแต่งงานหรือ?

นอกจากนี้ ในงานแต่งบางงานของอดีต ส.ส.เพื่อไทย สุเทพก็ไปเช่นกัน เพราะเขามีเพื่อนมากทุกพรรค เมื่อครั้งงานแต่งของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งจัดทั้งที่บ้านเจ้าบ่าวและเจ้าสาว กรณีงานจัดที่บ้านเจ้าสาวนั้น สุเทพเป็นประธานจัดงาน เพราะสนิทกับพ่อเจ้าสาว ช่วงนั้นเสื้อแดงสู้กันเต็มบ้านเมือง ตนจึงไม่ได้ไป แต่เมื่อจัดบ้านณัฐวุฒิ มีจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธาน ตนก็ไป เมื่อสุเทพไปงานแต่งงานณัฐวุฒิได้ ก็ไม่เห็นขบวนการไอโอทั้งสองฝ่ายรุมถล่มว่าอะไร

นายจตุพร กล่าวว่า แต่อยู่ดีๆ ตนไปนั่งร่วมโต๊ะกินช้าวกับสุเทพในงานแต่งเมื่อปี 59 ผ่านมา 7 ปีแล้ว ขบวนการไอโอก็เอามาปั่นกระแส โยงถึงการถล่มทักษิณก็ว่ากันไป แต่ตนถล่มทักษิณเพราะมาดูถูกกันเมื่อเร็วๆ นี้เอง จะให้รอจนกว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วจะตอบโต้หรืออย่างไรกัน

‘จตุพร’ เชื่อ!! หากก้าวไกลถูกยุบ ปชช. ‘เฉยชา-ไม่ปกป้อง’ ชี้!! ไม่แตกต่างจากการยุบพรรคการเมืองที่ผ่านมาในอดีต

(13 มี.ค. 67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยเชื่อว่า หากการยุบพรรคก้าวไกลเกิดขึ้นจริงแล้ว ความตื่นตัวของประชาชนคงยังนิ่งเงียบ เฉยชาทางการเมืองไม่แตกต่างการยุบพรรคการเมืองที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งไม่มีประชาชนจำนวนมากออกมาพิทักษ์สิทธิเพื่อปกป้องพรรคที่ลงคะแนนเสียงให้ด้วยความศรัทธาเลย 

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยื่นยุบพรรคก้าวไกลนั้น แนวโน้มศาล รธน.จะรับพิจารณาถึง 99 % แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ การดีลกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ไปฮ่องกงพบทักษิณ ชินวัตร เพราะคนเชื่อถึงการจับมือกันในการร่วมรัฐบาล ดังนั้น การยุบพรรคแสดงถึงการดีลเป็นรัฐบาลจะพังย่อยยับไปทันที

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าการยุบพรรคก้าวไกลจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะการยุบพรรคการเมืองผ่านมา ทั้งยุบไทยรักไทย, พลังประชาชน และอนาคตใหม่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นการยุบพรรคก้าวไกลคงไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเช่นกัน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งขาดจิตวิญญาณสัมพันธ์ผูกพันต่อกัน จึงไม่เกิดแรงเหวี่ยงทางการเมือง แต่มีความระส่ำระสายของสมาชิกพรรคจะตามมาเท่านั้น

อีกอย่าง การยุบพรรคการเมืองไม่ได้ทำให้สภาพนักการเมืองหมดไป เพราะได้เตรียมชุดหนึ่ง-สอง-สาม ไว้ทำงานรับผิดชอบนำพาพรรคกันใหม่อยู่แล้ว รวมทั้งกล่าวว่า การเมืองรอบนี้หาสาระไม่ได้ และไม่มีหลักการจับยึดมาพูดวิเคราะห์กันเลย จึงได้แต่ติดตามอย่างใกล้ชิด ยิ่งยุบพรรคก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนเช่นกัน

ที่สำคัญหลักคิดความแตกต่างทางความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม ประชาธิปไตย อำนาจนิยม และฝ่ายก้าวหน้า ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่มีประชาชนตื่นตัวออกมาเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น อดีตบอกไว้อย่างนั้น โดยเล่าถึงความเชื่อศรัทธาของประชาชนทางการเมืองที่หยุดนิ่งเฉยเงียบ อนาคตของประเทศจึงเป็นเช่นนี้ ดังนั้น การยุบพรรคก้าวไกลหนนี้ถ้าเกิดขึ้นจริง ย่อมไม่แตกต่างการยุบพรรคที่ผ่านมาเช่นกัน คือ ประชาชนนิ่งเฉย ไร้การตื่นตัวเพื่อพิทักษ์สิทธิ์ของตัวเอง

“อย่าหวังว่าการยุบพรรคจะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือกับสถานการณ์คนไทยเป็นอยู่เหมือนเดิมแบบนี้ จึงยากสุดที่จะเกิดการตื่นตัว และไม่ได้มีหลักยึดมั่นทางการเมืองกับพรรคใดอย่างมั่นคง โดยพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ในการตั้งรัฐบาลเป็นสิ่งสะท้อนอารมณ์ทางการเมืองและความเชื่อในพรรคการเมืองเป็นอย่างไรได้ดีที่สุด คือ เงียบและไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แล้วทุกฝ่ายทั้งอนุรักษ์นิยม ประชาธิปไตยและฝ่ายก้าวหน้ายอมให้เกิดขึ้น และยังไม่ได้ประโยชน์อะไรสักอย่างเลย”

ประเทศไทยต้องมาก่อน 

'จตุพร' ยกคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ จุดตาย 'นายกฯอิ๊งค์' เย้ย! คนได้รางวัล 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

‘จตุพร’ ซัดนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ขายชาติ อ้างประชาชนแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ ชี้จุดตาย ‘นายกฯอิ๊งค์’ คือสนามกอล์ฟอัลไพน์ ย้อนถามสื่อไม่เข้าใจอีกหรือ คนได้รางวัลไทม์ 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

(5 ต.ค.67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมรัฐบาลแพทองธาร ว่ารัฐบาลนี้จะล้มได้ จะจุดม็อบติดได้ ไม่ใช่แกนนำม็อบ แต่คือรัฐบาล ที่จะเป็นไม้ขีดไฟ เป็นน้ำมันเสียเอง ที่ผ่านมาคนเข้าใจผิดคิดว่าม็อบจุดไม่ติดอยู่ที่แกนนำหรืออยู่ที่ประชาชนไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาล ดังนั้นการอยู่หรือไป ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ในกระบวนการขององค์กรอิสระ ไม่ว่าประเด็นเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ดูเหมือนจะรอดยากที่สุด เพราะที่ดินเป็นธรณีสงฆ์ไม่สามารถซื้อขายได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้ซื้อตรง เป็นการซื้อต่อมาอีกที แต่ก็กลายเป็นกรณีรับของโจร และมีการโอนหุ้นต่อให้แม่ไม่กี่วันที่ผ่านมา

นายจตุพร กล่าวว่าในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกอดีตปลัดกระทรวง ที่เคยเซ็นอนุญาตให้มีการซื้อขาย สุด ๆ ไปถึง 2 ปี ดังนั้น ที่ดินตรงนี้จะต้องกลายเป็นของวัด เพราะเป็นที่ดินที่ได้รับบริจาคมาไม่สามารถที่จะนำไปทำเป็นสนามกอล์ฟหรือทำการซื้อขายได้ ฉะนั้นนางสาวแพทองธาร ก็ต้องอยู่ภายใต้กลไก ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า และประเด็นที่จะทำให้เรื่องนี้เดินเร็วขึ้น อย่างรวดเร็วคือผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน เพราะการแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้นเป็นมติพรรคเพื่อไทย ซึ่งนางสาวแพรทองคำเป็นหัวหน้าพรรค เรื่องนี้อาจจะมี การสั่งให้ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ อาจถูกดำเนินคดีทางอาญาเพราะผู้สมัคร อบจ.พรรคเพื่อไทยถูกใบเหลือง เนื่องจากจัดมหรสพ ซึ่งภายในงานก็มีแกนนำพรรคเพื่อไทยอยู่กันครบ นี่คือการอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกมาขับไล่ของประชาชน

ส่วนเหตุผลที่ภาคประชาชนจะลงท้องถนนได้นั้น เพราะมีการขายแผ่นดิน 99 ปีให้กับต่างชาติ แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าครบ 99 ปีแล้วจะคืนที่ดินให้กับกรมธนารักษ์ ไปสร้างบ้านให้กับคนจน

"ที่วัดคุณ ยังไม่เว้น 99 ปี คนพูดวันนี้ก็ตายแล้ว คนฟังก็ตายแล้ว ลูกคนพูดก็ตายแล้ว ลูกคนฟังก็ตายแล้ว สิ่งที่ประจักษ์ชัดยังโกหก ในอดีตทำไมให้ 30 ปี เพราะรู้ว่านี่กระทบต่อดินแดน ที่มาขยายเป็น 99 ปี ในอดีตทำไมถึงเอา 49% นี่มาขยายเป็น 75% ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร ยังกล่าวต่อว่าวันนี้การอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธาร คือกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์และคุณสมบัติต้องห้ามอย่างอื่น นี่คือการอยู่เรือไปเหมือนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการโยกย้ายถวิลเปลี่ยนสี

"การที่ประชาชนออกท้องถนนไปขวาง ถ้าวันหนึ่งเดินไปถึง การขายแผ่นดิน 99 ปี การทำบ่อน ประชาชนต้องออกไปขวางเพราะเท่ากับ รัฐบาลเป็นผู้จุดม็อบเอง ไม่มีแกนนำหน้าไหนประชาชนหน้าไหนในประวัติศาสตร์ ที่จะจุดม็อบติด คนจุดม็อบติดคือรัฐบาล ไม่ว่าตัวนายกรัฐมนตรีหรือพ่อของนายกรัฐมนตรีก็ตาม" นายจตุพรกล่าว

เมื่อถามว่าหากใช้กลไกองค์กรอิสระ อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน จะทำให้คนต้องลงถนนก่อนหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า มันเป็นรอยต่อ เพราะในบางเรื่องทาง กกต. ก็ทำหน้าที่เหมือนไปรษณีย์ ไม่มีหน้าที่วินิจฉัย นายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ถึงมือประชาชนถ้าวันนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ก็ไม่ถึงมือประชาชน ใครจะอยากลงถนน แต่เราเห็นว่าถ้ามีการขายชาติ ต้องเสียดินแดนถึง 99 ปี รวมถึงทำบ่อนการพนัน เราก็ยอมไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางข้างหน้าตัว นายกรัฐมนตรีหรือพ่อนายกรัฐมนตรีที่เงียบหายไปหลายวันคือผู้จุดม็อบ ไม่ใช่ประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นางสาวแพทองธาร ได้รับกระแสนิยมเป็นอันดับ 1 ของนิด้าโพลรายไตรมาส และติด 1 ใน 100 อันดับ ผู้นำที่ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์ จะทำให้คนลืมเรื่องไม่ดีหรือไม่ นายจตุพร ถามกลับสื่อมวลชนทันทีว่า ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ว่าใครที่ติดอันดับนิตยสารไทม์ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พร้อมยกตัวอย่าง 3 รายก่อนหน้า ได้แก่ ปี 2019 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังจากนั้นก็ถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์ทางการเมือง และถูกดำเนินคดี ม.112 เรื่องวัคซีน , ต่อมาปี 2021 นายอานนท์ นำภา ตอนนี้อยู่ที่ไหน , คนที่ 3 ปี 2023 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล วันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และกำลังถูกดำเนินคดีจาก ป.ป.ช. เรื่องจริยธรรม อาจถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต

"ผู้ที่ได้รับรางวัลทรงอิทธิพลแห่งอนาคตทั้ง 3 คน หลังจากนั้นไม่เหลือในปัจจุบัน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งภาคภูมิใจอะไรนักหนา คุณก็คือคิวต่อไป" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ต่อมาโพลนิด้า ก่อนที่นางสาวแพทองธารได้ ใครได้อันดับ 1 มาก่อน นั่นคือนายพิธา แล้วตอนนี้นายพิธาอยู่ไหน ต้องเขียนจดหมายจากฮาเวิร์ด แล้วนางสาวแพทองธารจะเขียนจดหมายจากไหนมายังประเทศไทย เห็นอยู่แล้วว่าเป็นบันไดเข้าสู่ลานประหาร เมื่อเป็นที่ 1 แล้วก็ถูกจัดการหมด ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้มีความดีใจ เพราะดีใจกันมาทุกคน หลังจากนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถ้าในทางการแพทย์เขาเรียกว่ามะเร็งระยะสุดท้าย ร่างกายจะสวยงาม เปล่งปลั่งเสมอ

“นายณัฐวุฒิ ต้องออกมาชี้แจง (เรื่องเงินบริจาค 42 ล้าน) เพราะการชุมนุมเมื่อปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 ณัฐวุฒิ รับผิดชอบทางการเงิน โดยผมกับพี่วีระ ยินยอมโดยดุษฎี”

'จตุพร' สาปแช่งคนเลวอมเงินบริจาคขอให้ฉิบหาย เปิดชื่อ 'ณัฐวุฒิ' ดูแลเงินม็อบปี 52-53 บี้รีบแถลงอธิบายให้สิ้นกังขาเพื่อหยุดปลุกปั่นคนอม 42 ล้าน ระบุไม่เคยยุ่งเงินม็อบ ชี้เลิกชุมนุมไม่เคยมีรายงานให้รับรู้ใช้จ่ายอะไร ลั่นให้เวลาติ่งเพื่อไทยลบโพสต์ 7 วัน ถ้าเมินเฉยเจอฟ้อง ถึงเป็นร้อยเป็นพันคดีก็จะฟ้อง

เมื่อวันที่ (9 ต.ค. 67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ระบุ 'นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' เป็นแกนนำ นปช. มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคม็อบปี 52-53 ส่วนมีใครอมเงิน 42 ล้านหรือไม่ ควรออกมาอธิบายข้อเท็จจริง ให้พวกติ่งพรรคเพื่อไทยหยุดพฤติกรรมก่อกวนใส่ร้าย

นายจตุพร กล่าวว่า พวกติ่งเพื่อไทยนำคำพูดของ 'หนุ่มโคราช' มาขยายความถามถึงเงินบริจาค 42 ล้านช่วงคนเสื้อแดงชุมนุมหายไปไหน ซึ่งตนเคยบอกให้ไปถามทักษิณ ชินวัตรว่า มอบหน้าที่ให้ใครดูแล และยังบอกเป็นนัยอีกว่า ตนกับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีต ประธาน นปช. ไม่ได้ดูแลเรื่องเงิน แต่ตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมายังถูกยัดข้อหา กล่าวร้าย รุมยำกินฟรีตนอยู่ทุกวัน

"ผมอยากบอกว่า หลายวันที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ต้องออกมาชี้แจง (เรื่องเงินบริจาค 42 ล้าน) เพราะการชุมนุมเมื่อปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 ณัฐวุฒิ รับผิดชอบทางการเงิน โดยผมกับพี่วีระ ยินยอมโดยดุษฎี ไม่มีใครไปติดใจอะไร อีกอย่างตลอดการชุมนุมไม่เคยถามว่า ใช้จ่ายเรื่องอะไร ไม่ว่าเงินจะมาในรูปแบบใดก็ตาม และหลังการชุมนุม (ณัฐวุฒิ) ก็ไม่เคยมารายงานว่าใช้จ่ายเรื่องอะไรบ้าง ผมกับพี่วีระ ไม่เคยไปสอบถาม ข้อเท็จจริงมีอยู่เท่านี้"

นายจตุพร กล่าวว่า ถึงวันนี้พวกติ่งเพื่อไทยไปขุดเรื่องราวเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาร่วม 14 ปี แล้วแต่งเสริมเป็นนิยายว่า ตนเอาเงิน 42 ล้านไป ซึ่งตนหวังให้นายณัฐวุฒิ คนดูแลเงินได้ชี้แจงติ่งเพื่อไทยให้รับรู้ เพราะตนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเงินบริจาคด้วย แต่พวกติ่งยังเหิมเกริมอีก ดังนั้น ตนให้เวลา 7 วันลบโพสต์ต่าง ๆ ที่กล่าวหาตน ถ้าไม่ทำจะฟ้องทุกคนเป็นร้อยเป็นพันคดีก็จะทำ

"ผมหวังให้คนมีหน้าที่ดูแลเงินได้อธิบาย แต่ไม่อธิบาย ส่วนการชุมนุมปี 2557 เป็นอีกคนดูแลเรื่องเงิน ซึ่งไม่ใช่ผมอีก แต่ที่ผมจะบอกว่า ถ้าข้อมูลพวกเวรชาติชั่วพวกนี้เป็นจริง ทำไม บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยจึงไม่พูดตอบโต้ เพราะทุกคนรู้เต็มอก แล้วผมไม่เคยติดใจและยังไม่เคยสอบถามด้วยว่า ใช้อะไรไปบ้าง เพราะ (การชุมนุม) มีความตายมากขนาดนั้น จึงไม่มีอารมณ์ไปสนใจอะไรอื่น"

อีกทั้งกล่าวว่า ถึงวันนี้พวกคนอุบาทว์นำเรื่องเงิน 42 ล้านมาปั่นสนุกสนานกันใหญ่ ส่วนอีกคนหนีไปอยู่ลาว แล้วท้าตีท้าต่อยกับตน ดังนั้น ตนให้เวลา 7 วันลบโพสต์และใครยังปั่นความเท็จเรื่องเงินบริจาคจะถูกฟ้องให้หมด เพราะเรื่องอื่นวิจารณ์ตนได้ แต่เรื่องอมเงินบริจาคเป็นคนเลวที่สุด

นายจตุพร ย้ำว่า นายณัฐวุฒิ ที่มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคต้องออกมาชี้แจง ซึ่งไม่เกี่ยวกับตนหรือพี่วีระ แล้วยังไม่เคยสงสัยอะไร และไปเกี่ยวข้องเรื่องเงินด้วย ดังนั้น ต้องไปถามที่ปรึกษานายกฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าแกนนำพรรคเพื่อไทยโผล่ออกมาอธิบายด้วยแล้ว ตนจะได้อธิบายให้หนักกว่านั้นอีก แม้ตนจะมีขีดเส้นไว้ว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูดก็ตาม

"ผมบอกได้เลยว่า คนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินบริจาคคือ ณัฐวุฒิ ไม่ใช่ผมและพี่วีระ เหตุที่ระบุชื่อพี่วีระ เพราะวันนั้น สามเกลอแทบจะเบ็ดเสร็จการชุมนุมในทางปฏิบัติ แต่เรื่องผ่านมา 14 ปี พวกชาติชั่วหนีคดีมาสร้างเรื่องเท็จปลุกปั่นใส่ร้าย โดยคนมีหน้าที่เรื่องเงินกลับไม่ออกมาอธิบายเลย"

นายจตุพร สาปแช่งคนอมเงินบริจาคช่วงชุมนุมคนเสื้อแดงว่า ขอให้ฉิบหาย อีกทั้งเรื่องนี้ตนเคยฟ้องอดีตดาราเป็นคดีหมิ่นประมาท ใส่ความเป็นตัวอย่างมาแล้วและชนะคดีในศาล นอกจากนี้ ถ้ามีข้อเท็จจริงว่า ตนอมเงินจริงแล้ว พวกแกนนำเพื่อไทยต้องเรียงหน้าออกมาถล่มตนตลอดเวลา 14 ปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว

"พวกเขารู้กันหมดเรื่องเงินบริจาค ใครมาเบิกก็ไปที่ณัฐวุฒิคนเดียว ไม่ได้มาเบิกที่ผมเลย ซึ่งเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่ผ่านมา 14 ปีโยนใส่เฉยเลย แล้วผมไปยุ่งอะไร แต่คนที่รับผิดชอบกรณีชุมนุมก็มีชีวิตอยู่ทั้งนั้น ย่อมรู้ถึงการอมเงินที่เป็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่วนี้

นายจตุพร เรียกร้องว่า หากเรื่องราวไม่ได้เป็นตามที่ตนพูด และถ้านายณัฐวุฒิ ไม่ได้รับผิดชอบ มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคจากการชุมนุมแล้ว ต้องออกมาแถลงเรื่องราว โดยตนไม่ได้ใส่ร้ายอะไรใคร ดังนั้น หากเห็นว่า ไม่ใช่ให้ออกมาเถียง

“เมื่อวันนี้ พะ-นะ-ท่าน เป็นที่ปรึกษานายกฯ แล้ว ช่วยอธิบายให้พวกบรรลัย คนพวกนี้ที่ปั่นเรื่องเท็จใส่ร้ายด้วย” นายจตุพร บี้ให้นายณัฐวุฒิ ไม่ควรนิ่งเงียบ ต้องแถลงชี้แจงความจริงให้ปรากฏด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top