‘จตุพร’ ท้าเพื่อไทย ตอบปมดีล ‘บิ๊กป้อม’ ชี้!! ควรพูดความจริง อย่าปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง
‘อย่าปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ดิ้นหนี’ จตุพร ท้าใจเพื่อไทย กล้าๆ หน่อย ใช้ความจริงตอบคำถามวัดกันไปเลย ย้ำจับมือ พปชร.หรือไม่ อ่านไต๋พูดแต่โวหาร ตอบไม่ตรงคำถาม ซัดออกลีลาดิ้นหนี โชว์ปลิ้นปล้อน งัด ปวศ.ตลบตะแลง ยันได้เสียงมากสุดกลับเสนอแคนดิเดตนายกฯ พรรคอื่นถึงสองคราว ยันอย่างนี้จะให้เชื่อไม่จับ ‘ประวิตร’ ตามดีลนายกฯ เอื้อประโยชน์ตัวเองได้อย่างไร
(27 ก.พ.66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘วัดกันไปเลย’ โดยระบุให้แกนนำเพื่อไทยใช้ใจกล้ามาตอบคำถามด้วยความจริง จะจับมือ พปชร.หรือไม่ พร้อมติงที่ตอบมานั้นแค่โวหาร พูดกั๊ก ๆ แสดงลีลา ดิ้นหนีความจริง กลัวเสียงหาย หรือถูก พปชร.รุมย่ำความปลิ้นปล้อน
นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่ตอบคำถามว่า จะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่ แต่สิ่งที่ผู้นำของพรรคพูดมานั้นเป็นเพียงโวหาร อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยแล้ว แม้ที่ผ่านมาเป็นพรรคมีเสียงอันดับหนึ่งในสภา แต่เคยเลือกบุคคลจากพรรคอื่นเป็นนายกฯ มาแล้วถึงสองครั้ง โดยครั้งแรก ธันวาคม 2551 เลือก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก (หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน) ชิงนายกฯ กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่ก็แพ้ไป
ส่วนครั้งที่สอง หลังเลือกตั้งปี 2562 เลือกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) เป็นนายกฯ ก็แพ้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มี ส.ว.เทเสียงหนุนอย่างเป็นเอกภาพถึง 249 เสียงจากทั้งหมด 250 คน ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า พรรคเพื่อไทยทั้งที่ได้เสียงเลือกตั้งมากที่สุด ยังไม่เคยได้เลือกแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองมาเลย กลับไปลงมติเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่นแทน
ดังนั้น เมื่อมาถึงการเลือกตั้งปี 2566 กรณีแกนนำเพื่อไทยบอกต้องโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคตัวเอง ถ้าเลือกคนจากพรรคอื่นจะตอบประชาชนได้อย่างไรนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตอบตามที่เคยตอบและก็อยู่มาได้ตามที่เคยอยู่แล้วไง แต่ปัญหาทางการเมืองนั้น ถ้าไม่จับมือกัน ไม่ดีลกันก็ต้องต้องตอบให้เด็ดขาด เหมือนพรรคก้าวไกลกับไทยสร้างไทยประกาศชัดเจนไม่จับมือกับ พปชร. และรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยจะไม่จับมือกับก้าวไกล
นายจตุพร ย้ำว่า คำถามที่ตนถาม และชูวิทย์ (กมลวิศิษฎ์) นำไปถามต่อว่า จะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร และ พปชร.หรือไม่ ซึ่งไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ถ้าคนทั้งสามคนของเพื่อไทยมีความเป็นจริงในใจแล้ว ควรตอบมาง่ายๆ ว่า ไม่มีวันจับมือกับ พปชร. ก็เป็นที่ยุติแล้ว
“เพราะความตลบตะแลตั้งแต่เรื่องสุดซอย (กม.นิรโทษกรรมที่เพื่อไทยปรับเปลี่ยนไปคลุมถึงคดีทุจริต) มติพรรคเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 3 รอบ ดังนั้น ความไม่อยู่กับร่องกับรอยในทุกเรื่อง พร้อมประวัติศาสตร์ได้อธิบายอยู่ทุกวัน โดยความเป็นจริงคุณตอบคำถามเรื่องนี้ได้ง่ายที่สุด ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แล้วทำไมต้องตอบไม่ตรงกับคำถามด้วย”
อีกทั้งย้ำว่า ถ้าเพื่อไทยตอบตรงคำถามง่าย ๆ ว่า ไม่มีวันจับมือกับ พปชร.เด็ดขาดไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตามก็เท่านั้น แต่ไม่ตอบจึงทำให้นึกย้อนถึงร่องรอยสายสัมพันธ์ตั้งแต่การแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร เป็น ผบ.ทบ. รวมถึงความสัมพันธ์ช่วงก่อน และหลังวันยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งปิดบังตนไม่มิด เพียงแต่ยังไม่ได้อธิบายในรายละเอียดว่า ใครประสานกับใคร อย่างไร และวางคนของตัวเองไว้ตรงไหนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการดีลหลังวันยึดอำนาจด้วยการเจรจาเป็นตอนๆ ไป ทั้งในเรื่องกลับบ้าน หรือคดีอื่น ๆ พอไม่สำเร็จก็ดีลให้เดินทางออกนอกประเทศ
“ดีลยึดอำนาจยังดีลเลย นับประสาอะไรกับการดีล (จับมือประวิตร หนุนให้เป็นนายกฯ) ที่ตอบไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะการจับมือกับประวิตรยังมีฤทธิ์เดชอยู่ แม้ไม่มีการปฏิเสธกัน แต่มีความพยายามจะเอานายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย มากลบข่มประวิตร แต่สุรเกียรติ์ก็ไม่มา”
จุตพร กล่าวว่า เพื่อไทยยังมีสิทธิ์ตอบคำถามง่ายๆ นี้ แต่กลับเล่นลีลาลากไปลากมา ออกอาการพูดปลี้นปล้อน โยนหลักการมาอธิบาย แต่ไม่ยอมใช้ภาษาง่ายๆแบบไพร่พูดให้ชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความความ หรือพูดเปิดช่องดิ้นหนีคำถาม ถึงที่สุดก็ยังไม่ได้คำตอบที่ตรงกับคำถามจนบัดนี้ ดังนั้น จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ เพราะต้องพึ่งพา พล.อ.ประวติร กับ องค์กรอิสระทั้ง 5 และ ส.ว. ยิ่งถ้าประกาศจับมือ พล.อ.ประวิตร เสียงก็จะหายไปทันที หรือหากประกาศเด็ดขาดไม่จับมือ พปชร. ก็จะเจอสงครามและเจอปฏิบัติการกันอีกหลากหลาย จึงจำเป็นต้องอ้ำอึ้ง แล้วพูดกั๊กกันไว้เช่นทุกวันนี้ เพราะเป็นแค่ลีลา ซึ่งไม่ใช่ความจริง
