Tuesday, 22 April 2025
คอลัมนิสต์

สังคมแตกเป็นสองฝ่าย หนุนกฎหมายใหม่จัดหนักพวกหมิ่นพุทธ

ในประเทศไทยดูเหมือนการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของศาสนาพุทธจะเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มแนวคิดเดิมกับอีกกลุ่มคือกลุ่มแนวคิดใหม่ ซึ่งแนวทางของกลุ่มแนวคิดใหม่นั้นมองว่าการกระทำใดๆก็ตามของกลุ่มแนวคิดเดิมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ได้ระบุไว้ในพระธรรมวินัยและพยายามทำตัวเองให้กลายเป็นอินฟลูด้านศาสนาขึ้นมาด้วย วิธีการแบบนี้สามารถใช้ได้ในประเทศไทยเพราะถ้าหากเราดูถึงการนับถือศาสนาพุทธในปัจจุบันแล้วก็จะเห็นเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแรกคือนับถือพุทธเพราะที่บ้านนับถือสืบต่อกันมา ส่วนอีกกลุ่มนับถือพุทธด้วยถูกจริตต่อจิตใจของตน  

หากมองดูทั้งสองกลุ่มจะเห็นถึงความแตกต่างของคน 2 ประเภทนี้กล่าวคือคนกลุ่มแรกจะสามารถถูกชักจูงง่ายโดยใช้หลักการทางการตลาดใด ๆ ก็ตาม แต่อีกประเภทหนึ่งจะต้องหาเหตุผล หลักฐานมาหักล้างความเชื่อนั้นเพื่อสร้างความเชื่อใหม่ให้เกิดขึ้น เอย่าได้ไปคุยกับผู้สันทัดด้านศาสนาของไทยและเมียนมาและเห็นว่าศาสนาพุทธใน 2 ประเทศนี้มีความคล้ายและต่างกันบางอย่าง ส่วนที่เหมือนกันคือ การผสมผสานของศาสนาพุทธให้เข้ากับลัทธิดั้งเดิมที่มีมาอยู่ก่อนทั้งในไทยและเมียนมานั้น ศาสนาพุทธได้ประสบความสำเร็จจากการเผยแผ่ศาสนาแบบนี้  แต่คน  2 ประเทศนี้มีหลายอย่างต่างกันกล่าวคือ คนเมียนมาส่วนหนึ่งแม้จะบูชาผีนัตก็ตามแต่การบูชาผีนัตก็เพื่อขอความคุ้มครองต่อตัวเขา ครอบครัวและธุรกิจ อันแตกต่างจากของไทยซึ่งส่วนใหญ่การสักการะใดๆก็ตามจะเน้นการขอลาภ ยศเสียมากกว่า

เอย่าถามว่าทำไมคนพม่าถึงนับถือศาสนาพุทธอย่างเหนียวแน่น กูรูศาสนาพุทธชาวเมียนมาให้คำตอบกับเราว่าส่วนใหญ่คนเมียนมานับถือพุทธมากกว่านับถือนัต และระลึกว่าการกราบไหว้บูชาพระพุทธเป็นการสักการะเพื่อต้องการสืบต่อพระศาสนาให้ต่อเนื่องเฉกเช่นเดียวกันกับศาสนาอื่นๆอาทิเช่นชาวมุสลิมในเมียนมาก็พยายามที่จะมาทำพิธีละหมาดวันละ 5 ครั้งในสุเหร่า นั่นก็เพราะชาวเมียนมาส่วนใหญ่มีความเชื่อและความศรัทธาฝังแน่นแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ได้ประสบพบในชาตินี้ชีวิตนี้แต่คนพม่าส่วนใหญ่ก็มองว่าการนับถือศาสนาของเขาจะส่งผลกรรมดีต่อเขาในโลกหน้าด้วย  หันกลับมาไทยเมื่อมาถามกูรูด้านศาสนาฝั่งไทยเขาบอกว่าคนไทยยุคใหม่นับถือศาสนาเพื่อให้ศาสนาบันดาลในสิ่งที่ตนอยากได้ โดยเฉพาะได้ในชาตินี้และนั่นทำให้คนไทยเรากลายเป็นผู้นับถือทุกสิ่งที่สามารถบันดาลให้เราได้ ทั้ง ผี ยักษ์ นาค ครุฑ หมาสองหัววัวหกขา กูรูฝั่งไทยกล่าวว่าอีกฝั่งหนึ่งของคนไทยคือผู้ไม่นับถืออะไรเลย  เพราะไม่คิดว่าทำไปแล้วจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ไม่คิดว่าการสืบต่อพระศาสนานั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างไรคนกลุ่มนี้จะไปเสพติดไอดอล อินฟลูต่าง ๆ ที่ถูกกับจริตและจิตใจของเขา ดังนั้นทำให้สังคมไทยจึงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย

เมื่อความแตกต่างนำมาซึ่งความแตกแยก กฎหมายจึงเข้ามาเพื่อเป็นข้อกำหนดไม่ให้มีการบั่นทอนความสำคัญของศาสนา ในหลายประเทศมีกฎหมายศาสนาอยู่ไม่ได้มีเพียงเมียนมาแต่ในหลายประเทศก็จะกฎหมายศาสนาเช่นกัน อาทิเช่น มาเลเซียที่มีกฎหมายของชุดคือ กฎหมายฆราวาสและกฎหมายอิสลาม ส่วนในเมียนมามีกฎหมายพุทธศาสนาอยู่เช่นกัน และหลายครั้งในเมียนมาก็มีผู้กระทำผิดต่อกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำผิดต่อศาสนา ในเมียนมามีคดีที่เป็นคดีที่หมิ่นศาสนาอยู่จำนวนมาก อาทิเช่น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ศาลเมืองมัณฑะเลย์ตัดสินจำคุก Kyaw Win Thant แพทย์ชาวเมียนมา วัย 31 ปี เป็นเวลา 21 เดือน ในความผิดฐานดูหมิ่นศาสนา สืบเนื่องจากการที่จำเลยโต้เถียงกับบรรดาพระสงฆ์เรื่องการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน แล้วมีการโพสต์ข้อความเชิงประชดเสียดสีพระสงฆ์ดังกล่าว หรือในกรณีของ นายฟิลิป แบล็ควูด ผู้จัดการบาร์ชาวนิวซีแลนด์ในเมียนมาและชาวเมียนมาอีก 2 คน ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนา จากการโพสต์รูปโฆษณาทางออนไลน์ เป็นรูปพระพุทธรูปสวมเฮดโฟน เพื่อเชิญชวนให้คนมาเที่ยวสถานบันเทิง หรือล่าสุดคือ นายดิดีเยร์ นุสเบาเมอร์ อายุ 52 ปี ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา เขียน ถ่ายทำ และตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง 'Don’t Expect Anything' ที่มีความยาว 75 นาที และโพสต์ลงบนสื่อออนไลน์

ในประเทศไทยแม้ในไทยจะมีกฎหมายหมิ่นศาสนาก็ตามแต่ตัวกฎหมายกลับไม่ได้ครอบคลุมและถูกนำมาใช้อย่างที่มันควรจะเป็น โดยมีระบุหลัก ๆ ไว้แค่ 3 มาตราคือ มาตรา 206  ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 207 ผู้ใดก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 208  ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ล่าสุดปีที่ผ่านมามีการดำเนินการให้แก้ไข โดยท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กมลศักดิ์  ลีวาเมาะ และคณะได้นำเสนอให้แก้ไขกฎหมายศาสนา โดยอ้างว่าประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับศาสนายังไม่ครอบคลุม การกระทำของบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาสนา เกิดการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือทำให้รู้สึกเกลียดชัง โดยกระทำการใด ๆ เช่น การบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของศาสนา รวมถึงการปลุกระดม การเผยแพร่เพื่อให้เกิดการเกลียดชัง การรบกวนการประกอบพิธีกรรม การวิพากษ์วิจารณ์โดยมิใช่ทางวิชาการ รวมถึงการทำลายหรือทำให้สกปรกซึ่งคัมภีร์หรือวัตถุที่เป็นที่สักการะของ ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง  ซึ่งทางท่าน สส. ได้ให้มีการระบุรายละเอียดเข้าไปเพิ่มในมาตรา 206 เพื่อให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เอย่าหวังว่าไหน ๆ ก็มีการระบุถึงความผิดให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นแล้วควรจะเพิ่มโทษให้สาสมด้วยว่าการดูหมิ่นให้ร้าย ต่อคนต่างความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม คงต้องดูว่าพรรครัฐบาลชุดนี้จะเห็นด้วยกับประเด็นเหล่านี้หรือไม่   คงต้องติดตามดูกันต่อไป

สุดแปลกใจผ่านไป 6 ปี ‘ประชากรเมียนมา’ ยังเท่าเดิม สวนทางตัวเลขทะลักเข้าไทยกว่า 10 ล้านคน บางส่วนรอลุ้นโอนสัญชาติ

ไม่นานมานี้ พลเอก อาวุโส มินอ่องหล่าย ประกาศออกสื่อในที่ประชุมของ SAC ว่า ได้สำรวจสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นแล้ว และประชากรทั้งหมดมีเพียง 51 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งก่อนของเมียนมาในปี 2019 พบว่าในปี 2019 ก็มีประชากรเพียง 51.4 ล้านคนเท่านั้น ที่น่าสนใจประการแรกคือ ประชากรไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้พอเข้าใจได้ เพราะจากข้อมูลที่เอย่ามีในมือตอนนี้นับได้ว่าน่าจะชาวเมียนมาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ทั้งเข้ามาแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย รวมถึงพวกที่มาแบบถูกกฎหมายครึ่งเดียวอย่างเช่น ทำวีซ่ามาเรียนแต่ความจริงคือหนีมาอะไรแบบนี้

คำถามคือ คนที่อยู่นอกประเทศเหล่านี้ยังถือว่าเป็นคนสัญชาติเมียนมาไหม

เอย่าได้คำตอบว่าสำหรับคนที่อยู่ต่างประเทศอย่างถูกต้องไม่น่าเป็นห่วงเพราะคนเหล่านี้ได้มีการขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว แต่สำหรับคนที่หนีออกไปนอกประเทศนั้น ที่หลายกระแสอ้างว่าคนกลุ่มดังกล่าวจะถูกยกเลิกสัญชาติ และกลายเป็นคนไร้สัญชาติในที่สุด

สุดท้ายคนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่พยายามที่จะดิ้นรนเพื่อให้ได้สัญชาติในไทย และกลายเป็นปัญหาของประเทศไทยที่ต้องมาโอบอุ้มคนเหล่านี้ เอย่าก็ต้องถามว่ามันใช่เรื่องไหม  และประเทศไทยได้อะไรจากการให้สัญชาติคนเหล่านี้

ล่าสุดมีการเปลี่ยนเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ท่านทูตคนก่อนเคยเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่ไทยก่อนจะไปใหญ่โตที่อเมริกาและกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทูตครั้งนี้อาจจะมีนัยยะด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ เพราะท่านทูตคนเก่ารู้จักคุ้นเคยกับวิถีไทยเป็นอย่างดี ในขณะที่ท่านทูตคนใหม่นั้นดูทรงแล้วไม่เคยสัมผัสกับวิถีไทยมาก่อน 

เราคงต้องดูว่าการเปลี่ยนผ่านทูตครั้งนี้จะส่งผลอะไรกับเมืองไทยหรือไม่ แต่ดูแล้วเหมือนรัฐบาลไทยขณะนี้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะก็ตั้งหน้ารับคนต่างด้าวให้ได้สัญชาติไทยถึงขนาดที่คุณเต้ อาชีวะ แฉว่ามีต่างด้าวบางคนที่เคยโดนขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศมาแล้วแต่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในไทยอย่างสะดวกสบายกับชื่อใหม่ จนน่าสงสัยว่าทั้งตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ดี ฝ่ายปกครองก็ดีไม่มีการตรวจคนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศกันเลยหรือไง

แก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ไม่ตรงจุด เผย 2 วิธีปราบจากปากนายทหารประสบการณ์สูง

(5 ก.พ.68) ข่าวช่วงนี้คงไม่มีข่าวไหนดังเท่าข่าวตัดไฟเมืองสแกมเมอร์อีกแล้ว  แถมคนเชียร์ก็เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูด้วย เอาว่าวันนี้เอย่าจะมาเล่าให้ทุกคนได้ทราบกันดีกว่าว่าตัดไฟใครลำบาก และทางแก้ปัญหาที่แท้จริงที่เคยมีนายทหารแก่ๆท่านหนึ่งบอกเอย่าไว้ถึงวิธีจัดการเมืองสแกมเมอร์คือยังไง

ก่อนอื่นทุกคนต้องควรรู้ก่อนว่าเมียนมาซื้อไฟจากไทยใช้โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้ไฟคือชาวบ้านตามชายแดนฝั่งเมียนมา  ดังนั้นหากตัดไฟกลุ่มที่ลำบากก่อนเลยคือชาวบ้านตามริมชายแดน  ส่วนคาสิโนนั้นมีบางส่วนดึงไฟที่มาจากไทยมาใช้แต่ฝั่งนั้นทุกคาสิโนมีเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่หลายเครื่องใช้ปั่นไฟในกรณีที่ไฟดับ  ดังนั้นต่อให้ไทยตัดไฟไปเมืองเขาก็ปั่นไฟใช้กันเองอยู่ดี

ประการต่อมาคือต้องเข้าใจว่าการที่เป็นศูนย์สแกมเมอร์ได้  เขาไม่ได้ใช้ไฟแค่ 220 โวลต์เหมือนบ้านเรือนประชาชนนะ  เพราะไหนจะต้องมีไฟเลี้ยงระบบ ตลอด เอาเป็นว่าหากใครเคยขุดบิทคอยน์จะเข้าใจเลย  ว่าใช้ไฟจำนวนมหาศาล  ดังนั้นกลุ่มสแกมเมอร์พวกนี้เลือกจะลักไฟจากไทยโดยการต่อสายไฟตรงข้ามประเทศไปยังฝั่งเมียนมาตามที่เอย่าเคยบอกไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้

สุดท้ายรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ในเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้กำลังสร้างโรงไฟฟ้าเองโดยมี โรงไฟฟ้าผลิตจากแก๊ส 2 โรง โรงไฟฟ้าผลิตจากน้ำมัน 1 โรงและโรงไฟฟ้าถ่านหินอีก 1 โรง ไม่นับฟาร์มโซลาร์เซลล์​ที่ขึ้นเป็นดอกเห็ดในฝั่งเมียนมาหากโรงไฟฟ้าเหล่านี้สำเร็จ  เมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งพาไฟจากไทยอีกต่อไป  ดังนั้นถามว่าการตัดไฟยังใช่วิธีแก้ไขไหม..?

นายทหารแก่ท่านหนึ่งที่เอย่ารู้จักเคยเล่าให้เอย่าฟังว่าวิธีปราบกลุ่มสแกมเมอร์ให้ได้ผลชะงักมี 2 วิธีวิธีแรก  คือโมเดลแบบเมืองเล้าก์ก่าย ซึ่งสิ่งที่เอย่าจะเล่าของปฎิบัติการ 1027 นี้ อาจจะต่างไปจากสื่อื่นสักเล็กน้อยตรงที่ ตามที่ข้อมูลที่ท่านลุงทหารเล่ามานั้นปฎิบัติการ 1027 เป็นปฏิบัติการที่ใช้กองกำลังชนกลุ่มน้อย 3 กลุ่มภายใต้การสนับสนุนจากจีนและทางกองทัพเมียนมาก็ไฟเขียวให้เพราะไม่สามารถส่งกองทัพตนเองขึ้นไปจัดการได้ท  ดังนั้นสงครามที่เกิดขึ้นในเล้าก์ก่ายแท้จริงคือสงครามของกลุ่ม BGF ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มจีนเทากับกองกำลัง 3 พี่น้องที่ได้รับการสนับสนุนทั้งอาวุธและเงินทุนจากจีนนั่นเอง คุณลุงกล่าวต่อว่า  ฝั่งไทยน่าจะไม่รับวิธีนี้เพราะใช้เงินทุนมหาศาล

วิธีที่ 2 คือการทำเป็นวาระระหว่างประเทศแล้วให้ไทยประสานกับรัฐบาลเมียนมาในการเข้าไปจัดการกับต้นเหตุของปัญหา

การแก้ปัญหาโดยการตัดไฟ หรือจับเสบียงที่จะขนของไปขายให้กลุ่มจีนเทารวมถึงจัดการกับข้าราชการท้องถิ่นที่รับส่วยคนกลุ่มนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุตราบใดที่ไม่ถล่มรังก็ไม่มีวันยุติปัญหาได้และการแก้ปัญหาแบบปลายเหตุนั้นนอกจากจะกระทบคนเมียนมาทีาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วยังกระทบต่อการค้าชายแดนด้วย นั่นยิ่งทำให้กลุ่มไทยเทาฉวยโอกาสนี้ในการกอบโกยผลประโยชน์ตรงนี่ต่อไปอีก

อีกประเด็นที่น่าคิดคือการตัดไฟจะทำให้ประชาชนและได้รับผลกระทบเนื่องจากปริมาณไฟสำรองของชาติมีมากขึ้นกว่าช่วงที่ขายให้กับพม่า จึงจำเป็นให้ต้องมาคิดค่าไฟส่วนนี้ที่ไม่สามารถขายได้กับคนไทยโดยการขึ้นค่าเอฟพีหรือค่าส่วนต่างต่างๆสรุปแล้วการตัดไฟช่วยใครกันแน่ทำร้ายใครกันแน่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top