Sunday, 20 April 2025
ความมั่นคงของชาติ

‘ยุให้แตกแยกแล้วปกครอง’ กลยุทธ์เก่า!! ตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน ที่ยังใช้ได้ผลอยู่เสมอ ข้อมูลคือกระสุน ความระแวงคือเป้าหมาย และความสามัคคีคือ ‘เกราะสุดท้าย’ ของเรา

(22 ธ.ค. 67) การสร้างความแตกแยก : กลยุทธ์เก่าในสงครามใหม่ที่คมกริบ รับปี2025

ในยุคที่โลกหมุนไปตามข้อมูลและเทคโนโลยี การต่อสู้ที่เคยอาศัยกองทัพและสนามรบกลับแปรเปลี่ยนเป็นสงครามในพื้นที่สาธารณะเสมือนจริง บนจอโทรศัพท์ และผ่านข้อความไม่กี่บรรทัด หลักการ ‘สร้างความแตกแยก’ ซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่อาณาจักรโรมัน กลับมาทรงพลังขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนและยากจับต้องยิ่งขึ้น

นี่คือสงครามที่ศัตรูไม่ต้องใช้กำลัง แต่สร้างศัตรูในใจเราแทน พวกเขาใช้ข้อมูลเป็นกระสุน ปลุกปั่นความคิด ขยายความขัดแย้ง และสร้างความหวาดระแวงในสังคม หลายคนอาจมองไม่เห็นว่าอาวุธชนิดนี้อยู่ตรงหน้า เพราะมันไม่ได้แหลมคมเหมือนหอกดาบ แต่แฝงตัวในคำพูด การเล่าเรื่อง และการแบ่งแยกความคิดผ่านหน้าจอ

‘เมื่อสังคมแตกแยก ความสามัคคีที่เคยเป็นเกราะกำบังย่อมพังทลาย’ และนี่คือยุคของสงครามข้อมูลข่าวสาร หรือ Hybrid Warfare ที่ผสานการใช้เทคโนโลยี บิดเบือนข้อมูล และการบ่อนทำลายจิตใจ ด้วยการสร้างศัตรูในที่ที่ควรมีความไว้เนื้อเชื่อใจ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 7 กลยุทธ์ที่สร้างความแตกแยกในยุคดิจิทัล และยกระดับเป็นเครื่องมือทางการเมืองและสงครามที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

จาก ‘การสร้างความไม่ไว้วางใจ’ ขยายความแตกต่างเป็นปัญหา สู่การปลุกปั่นผู้คนผ่าน ‘ไมโครอินฟลูเอนเซอร์’ ผู้ทำงานอยู่เงียบ ๆ แต่ทรงอิทธิพลเกินคาด คุณจะเห็นชัดว่า การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลและเฉียบคม

ในโลกที่สงครามสนามรบถูกแทนที่ด้วยการต่อสู้ทางความคิดและข้อมูล ‘การรู้เท่าทัน’ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม ‘หากบ้านเราแตกแยกจากภายใน ประตูชัยย่อมเปิดกว้างให้ศัตรูภายนอกเสมอ’

บทความนี้จะพาคุณไปดูกลยุทธ์หลักที่ถูกขัดเกลาให้เหมาะกับยุคดิจิทัล ตั้งแต่การสร้างไมโครอินฟลูเอนเซอร์ผู้เงียบเชียบแต่ทรงอิทธิพล ไปจนถึงการบิดเบือนข้อมูลที่ใช้โจมตีสถาบันหลักในประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือ ‘ความแตกแยก’ ที่ฝังรากลึกอย่างไม่ทันตั้งตัว

• ความไม่ไว้วางใจที่ถูกหว่านลงผ่านข้อมูลเท็จ
ข้อมูลเท็จ ข่าวปลอม หรือการบิดเบือนความจริงถูกปล่อยออกไปอย่างมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความสงสัยและระแวงในหมู่ประชาชน ทำให้ความเชื่อใจที่เคยมีต่อกันและสถาบันหลักถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย จนในที่สุด ความไม่มั่นคงทางความคิดก็กลายเป็นความขัดแย้งในระดับสังคม

• ความแตกต่างเล็ก ๆ ที่ถูกขยายให้กลายเป็นขั้วความขัดแย้ง
ความแตกต่างทางความคิด ชนชั้น ศาสนา หรือภูมิภาค ที่เคยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ ถูกหยิบยกขึ้นมาขยายความ ให้กลายเป็น ‘ประเด็นใหญ่’ จนประชาชนแบ่งฝ่าย และมองอีกฝ่ายเป็น ‘ศัตรู’ อย่างไม่รู้ตัว

• ผลประโยชน์ที่ถูกบิดเบือนให้เป็นเชื้อไฟของความไม่พอใจ
การจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมถูกนำมาเป็นเครื่องมือปลุกปั่น โดยบิดเบือนให้เห็นว่า ‘มีใครบางคนได้มากกว่า’ หรือ ‘นี่คือความไม่ยุติธรรม’ ทำให้ฝ่ายหนึ่งรู้สึกถูกเอาเปรียบและเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นเชื้อไฟที่พร้อมลุกลาม

• ตัวแทนปลอมที่ถูกส่งมาบ่อนทำลายจากภายใน
คนกลุ่มนี้มักถูกสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ตัวแทนของประชาชน’ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่ปลุกปั่นความขัดแย้ง บ่อนทำลายความสามัคคี และสร้างความวุ่นวายจากภายในสังคมทีละน้อย

• ไมโครอินฟลูเอนเซอร์: นักรบยุคใหม่ในสนามความคิค
อย่าคิดว่าใครจะต้องมีชื่อเสียงระดับประเทศถึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะในสงครามยุคนี้ ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลขนาดเล็ก ถูกสร้างขึ้นมาเป็นหัวหอกในการปลุกปั่นความคิด พวกเขาทำงานเงียบ ๆ แต่สร้างกระแสความแตกแยกได้อย่างทรงพลัง ด้วย 4 ขั้นตอนที่แยบยลสุดขีด

1. การสร้างผู้นำความคิดเห็นแบบแฝง ดูเหมือนเป็นกลาง แต่แท้จริงกำลังชี้นำสังคมให้เดินตามแผนที่ถูกวางไว้

2. ปลุกปั่นผ่านข่าวลือ ข่าวเท็จและข้อมูลบิดเบือนถูกแพร่กระจาย ราวกับโรคระบาดที่หยุดไม่อยู่

3. ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ขุดคุ้ยเรื่องราวส่วนตัวมาขยายผล กลายเป็นเครื่องมือทำลายชื่อเสียงอย่างไร้ความปรานี

4. สร้างความหวาดระแวงและแบ่งขั้ว เมื่อคนเริ่มไม่เชื่อใจกันเอง สังคมก็ไม่ต่างจากเรือที่รั่วรอวันจม

‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ : ตำราที่ใช้ได้เสมอ

หากย้อนกลับไปในยุคโรมัน จักรวรรดิเคยทำให้ชนเผ่าต่าง ๆ แยกจากกันได้อย่างไร? 

คำตอบคือการบ่มเพาะความหวาดระแวงและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ให้มีใครรวมพลังกันได้ นั่นคือ ‘Divide and Rule’ กลยุทธ์แสนคลาสสิกที่ยังคงถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวทีการเมืองโลก

หลายพันปีผ่านไป เครื่องมือในการแบ่งแยกอาจเปลี่ยนจากคำสั่งทหารเป็น ‘คำพูด’ และ ‘ข่าวสาร’ แต่เป้าหมายยังเหมือนเดิม คือทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาตั้งแง่ระแวงซึ่งกันและกัน ขัดแย้งกันเองโดยไม่ต้องรบสักนัด ลองสังเกตดูสิว่า ทุกครั้งที่สังคมเกิดประเด็นร้อน ๆ ทำไมเราถึงรีบจัดฝ่าย จัดขั้ว ยืนอยู่ตรงข้ามกันอย่างรวดเร็วราวกับถูกวางหมากเอาไว้?
พวกเขาอาจสร้างศัตรูขึ้นมาสักคน สร้างปัญหาขึ้นมาสักอย่าง และชี้นิ้วว่า ‘นั่นแหละคือสาเหตุ’ เราเองก็หลงติดกับดัก ด่าทอกันจนลืมไปว่า ศัตรูที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เป็นคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยล

ที่เจ็บปวดยิ่งกว่า คือการบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นสายใยผูกพันให้สังคมมั่นคงกลับกลายเป็นเครื่องมือสร้าง ‘ความเกลียดชัง’ นำเรื่องเล่าผิด ๆ มาเติมเชื้อไฟจนผู้คนหันมารบราฆ่าฟันกันเอง ทั้งที่เราควรเรียนรู้จากอดีต แต่กลับถูกหลอกใช้ให้ทำลายอนาคตของตัวเอง

สงครามสมัยใหม่ : การต่อสู้ที่มองไม่เห็น
สงครามไฮบริดในปัจจุบันผสมผสานการบ่อนทำลายจากภายใน ผ่านจิตวิทยาและเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย หรือกลยุทธ์แบบ Hun Sen Model ที่ใช้การควบคุมกองทัพและแทรกแซงสถาบันหลักในประเทศ คุณจะเห็นชัดว่า การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลและเฉียบคม

นี่ไม่ใช่สงครามที่มีรถถังประจันหน้า หรือเสียงปืนดังสนั่น แต่มันคือสงครามที่เล่นกับความคิดของเราโดยไม่รู้ตัว เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับทหารที่ยกพลมาหน้าประตูเมือง แต่กำลังเผชิญกับเกมจิตวิทยาผ่านข่าวปลอม โพสต์ที่ชวนขบคิด และการปลุกปั่นให้สังคมแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

สงครามไฮบริดในปัจจุบันคือการสอดแทรกความขัดแย้งในทุกมิติ จากเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงความเชื่อและวัฒนธรรม สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ควันปืน แต่คือความร้าวฉานที่แผ่กระจายไปทั่ว ราวกับไฟลามทุ่งที่ไม่มีใครหยุดได้

สิ่งที่น่ากลัวคือ เราทุกคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนี้อย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่แชร์โพสต์ ปล่อยความเกลียดชังให้แพร่กระจาย หรือเลือกยืนขั้วใดขั้วหนึ่งโดยไม่ทันได้คิดว่า 

‘แล้วสุดท้ายใครได้ประโยชน์’

สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การชนะสงครามในสนามรบ แต่คือการเห็น ‘เราต่อสู้กันเองจนหมดแรง’ แล้วในวันที่ความสามัคคีของเราสูญสิ้น นั่นแหละคือ ‘วันที่พวกเขาชนะอย่างสมบูรณ์แบบ’

บทสรุป : แพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของเราเอง
‘การแตกแยกจากภายใน’ เป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ หากประชาชนไม่ตระหนักรู้และร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิด การล่มสลายของชาติย่อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะในสงครามยุคนี้ ‘ข้อมูลคือกระสุน ความระแวงคือเป้าหมาย และความสามัคคีคือเกราะสุดท้ายของเรา’

ถ้าเรารู้เท่าทัน ตื่นตัว และไม่ปล่อยให้ใครมาปลุกปั่นความเกลียดชังได้ง่าย ๆ ความสามัคคีก็จะกลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

สตูล ประชุมติดตามผลการดำเนินงานในการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมความมั่นคงของชาติในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570)

(14 ก.พ.68) ที่ห้องประชุมโต๊ะหยงกง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดสตูล นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล มอบหมายให้นาวาเอก แสนไทย บัวเนียม รอง ผอ.ศรชล.จว.สต. ร่วมประชุมติดตามผลการดำเนินงานในการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมความมั่นคงของชาติในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570) พร้อมด้วยคณะพัฒนาเพื่อความมั่นคงในเขตพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 3 ปกครองจังหวัดสตูล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยมีพล.ร.ต.พงษ์มิตร ณรงค์กูล เสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานในการประชุม

โดยก่อนการประชุมพล.ร.ต.พงษ์มิตร ณรงค์กูล เสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 3 และคณะฯ ขอเข้าเยี่ยมคำนับ นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เพื่อหารือข้อราชการในการเสริมสร้างความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ ตามวัตถุประสงค์ และแนวทางที่กำหนด ตลอดจนให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. 2558 และเพื่อรองรับการเสนอโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่เป้าหมายและภารกิจที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการประชุมครั้งนี้จังหวัดสตูลได้นำเสนอความคืบหน้าในการดำเนินการตามนโยบายและแผนความมั่นคงที่ 17 (การเสริมสร้างความมั่นคงเชิงพื้นที่) และบรรยายสรุปแผนงาน/โครงการ ในพื้นที่เป้าหมาย ที่จังหวัดประกาศ 

หน่วยบัญชาการทหารไซเบอร์ หน่วยรบที่มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับสงครามสมัยใหม่

แม้ว่าการรบที่เกิดในปัจจุบันที่เราท่านได้เห็นกันตามสื่อต่าง ๆ ยังคงเป็นการรบด้วยกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมรภูมิที่มองไม่เห็นและมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่แพ้กันเลยก็คือ 'สมรภูมิไซเบอร์' ซึ่งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้นยังที่การสู้รบที่เป็น 'สงครามไซเบอร์' อีกด้วย 

สงครามไซเบอร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและยูเครนตั้งแต่ “การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี หรือการปฏิวัติไมดาน หรือการปฏิวัติยูเครน” ซึ่งเกิดขึ้นในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 โดย Uroburos อาวุธไซเบอร์ของรัสเซียซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2005 อย่างไรก็ตาม การโจมตีระบบสารสนเทศเป็นครั้งแรกต่อหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของยูเครนถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นระหว่างการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2013 

ปฏิบัติการ Armagedon (เป็นการสะกดคำว่า Armageddon ผิดโดยตั้งใจ) ซึ่งเป็นปฏิบัติการจารกรรมทางไซเบอร์อย่างเป็นระบบของรัสเซียต่อระบบสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ หน่วยบังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานป้องกันประเทศของยูเครน ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2013 โดยรัสเซียเชื่อว่าจะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนปฏิบัติการในสนามรบได้ ระหว่างปี 2013 และ 2014 ระบบสารสนเทศบางส่วนของหน่วยงานของรัฐบาลยูเครนได้รับผลกระทบจากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันในชื่อว่า Snake หรือ Uroborus หรือ Turla 

ในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2014 ขณะที่กองทหารรัสเซียเข้าสู่ไครเมียศูนย์สื่อสารและสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกของยูเครนถูกโจมตีและถูกแทรกแซงรบกววนสัญญาณทำให้การเชื่อมต่อระหว่างคาบสมุทรและแผ่นดินใหญ่ยูเครนถูกตัดขาด นอกจากนี้ เว็บไซต์ของรัฐบาลยูเครน ข่าว และโซเชียลมีเดียก็ถูกปิดหรือตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี ขณะที่โทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภาของยูเครนหลายคนถูกแฮ็ก หรือรบกวนสัญญาณ ผู้เชี่ยวชาญของยูเครนจึงได้ระบุถึงจุดเริ่มต้นของสงครามไซเบอร์กับรัสเซีย บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เริ่มบันทึกจำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบสารสนเทศของยูเครนที่เพิ่มขึ้น 

เหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ของรัสเซีย ได้แก่ หน่วยงานของรัฐบาลยูเครน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา หน่วยงานด้านการป้องกันประเทศ องค์กรด้านการป้องกันประเทศ และองค์กรทางการเมืองระดับนานาชาติและระดับภูมิภาค สถาบันวิจัย สื่อมวลชน และนักต่อต้านรัฐบาล ในปี 2015 นักวิจัยได้ระบุกลุ่มแฮกเกอร์ชาวรัสเซียสองกลุ่มที่เคลื่อนไหวในสงครามไซเบอร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน ได้แก่ กลุ่มที่เรียกว่า APT29 (Cozy Bear, Cozy Duke) และ APT28 (Sofacy Group, Tsar Team, Pawn Storm, Fancy Bear) และตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน รัสเซียได้ทำการโจมตีทางไซเบอร์ต่อบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink ที่ยูเครนใช้งานเรื่อยมาจนทุกวันนี้

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา พรรคประชาชนได้แฉเอกสารลับที่เกี่ยวข้องกับ “ปฏิบัติการ IO หรือ ปฏิบัติการการข้อมูลข่าวสาร” โดยพยายามตีความให้สังคมไทยเห็นว่า “กองทัพกำลังคุกคามประชาชน ล้ำเส้นประชาธิปไตย และควรถูกจำกัดบทบาทให้เหลือแค่ ‘ยามเฝ้าประตู’ เท่านั้น” แต่เรื่องพรรคประชาชนที่เปิดเผยนั้นกลับไม่ได้ทำให้กองทัพดูน่ากลัวแต่อย่างใด และทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้เห็นว่า “กองทัพไทยมีศักยภาพเชิงลึกในการเฝ้าระวังภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทั้งในมิติของข้อมูล ข่าวสาร” และมีขีดความสามารถในการควบคุมทิศทาง “การรับรู้” ซึ่งนั่นก็คือ “การทำสงครามอย่างมีพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) อย่างเต็มรูปแบบ (พุทธิพิสัยเป็นเรื่องของการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ สติปัญญา ความรู้ ความคิด หรือพฤติกรรมทางด้านสมองที่ทำให้มีความเฉลียวฉลาด มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงถึงความสามารถทางด้านสติปัญญา) 

เอกสารดังกล่าวทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยได้เห็นในอีกแง่มุมว่า “กองทัพไทยไม่ได้ล้าหลัง แต่กลับมีความเข้าใจในบริบทของโลกสมัยใหม่มากกว่าที่สังคมไทยคิด!” โดยเอกสารนั้นได้ระบุว่า “กลุ่มเป้าหมายของการเฝ้าระวังส่วนหนึ่งคือ กลุ่มนักการเมือง นักเคลื่อนไหว และเครือข่ายที่รับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ เช่น USAID และ NED (องค์กรที่มีบทบาทแทรกแซงนโยบายภายในของประเทศต่าง ๆ มาแล้วทั่วโลก และเคยถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าใช้ประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างในการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐในประเทศที่เห็นต่างหรือขั้วตรงข้ามมาแล้ว) และกองทัพไทยไม่ได้แค่ใช้ปฏิบัติการ “IO” เพื่อทำงานแบบเก่าและโบราณ เช่น การส่งข้อความปลุกใจ แต่ปรากฏว่าเป็นการทำงานอย่างเป็นระบบ มีกลไกที่ทำงานเป็นโครงข่าย มี Node มีความเชื่อมโยง มีระบบติดตามพฤติกรรม และมีการวิเคราะห์ปฏิกิริยาในเชิงจิตวิทยา

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการตอกย้ำว่า “ทหารไทยในยุคปัจจุบันเข้าใจดีว่า โลกไม่ได้รบกันแค่ในสนามรบ แต่รบกันในหัวสมองประชาชน และรบด้วยการมี “พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)” การอภิปรายของพรรคประชาชนในกรณีนี้จึงทำให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า เมื่อสงครามสมัยใหม่สู้รบด้วยข้อมูล และใช้ความคิดลวง เพื่อทำให้คนไทยสับสนและหมดศรัทธาในสถาบันหลักของชาติ ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่กองทัพไทยจะต้องมี “หน่วยรบไซเบอร์” อย่างเป็นทางการ เป็นหน่วยปฏิบัติการหลักที่มีโครงสร้างชัดเจนและสามารถปฏิบัติการร่วมกับเหล่าทัพต่าง ๆ ทั้ง กองทัพบก-กองทัพเรือ-กองทัพอากาศ-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้ 

หลายฝ่ายได้มีการเสนอให้ตั้ง 'กองทัพไซเบอร์' เป็นเหล่าทัพใหม่ แต่อันที่จริงแล้ว 'หน่วยรบไซเบอร์' ของกองทัพไทยควรจะเป็นหน่วยปฏิบัติการภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ในลักษณะและโครงสร้างที่มีความคล้ายคลึงกับหน่วยงานที่มีอยู่ เช่น “หน่วยบัญชาหารทหารพัฒนา” เนื่องจากการตั้งเหล่าทัพใหม่นั้นต้องใช้เวลาทั้งการศึกษา เตรียมการ และจัดตั้ง ค่อนข้างยาวนาน และต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาล ดังนั้นการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย น่าจะเป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมและรวดเร็วกว่า จึงขอใช้โอกาสนี้ให้กองทัพไทยได้จัดตั้ง 'หน่วยบัญชาการทหารไซเบอร์' โดยเร็วที่สุด เพื่อให้กองทัพไทยมีความพร้อมและสามารถรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ทุกรูปแบบและทุกมิติ เพราะ “ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการธำรงและรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติบ้านเมือง

“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ ศัตรูกล้ามาประจัน จะอาจสู้ริปูสลาย” 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top