Wednesday, 23 April 2025
ควบรวมกิจการ

‘ก้าวไกล’ ค้าน ควบรวม ‘ทรู’ - ‘ดีแทค’ จี้ องค์กรกำกับดูแล กล้ายุติทุนใหญ่ผูกขาด

พรรคก้าวไกล คัดค้านการควบรวมบริษัทให้บริการเครือข่ายมือถือ ‘ทรู’ และ ‘ดีแทค’ จี้ องค์กรกำกับดูแล ต้องกล้าหาญ ยุติการผูกขาดของทุนใหญ่ ปกป้องผู้บริโภค 

ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นคัดค้านกรณีการควบรวมระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย อย่างทรูคอร์ป และ โทเทิลแอคเซสคอมมูนิเคชั่น โดยตั้งคำถามว่า การควบรวมนี้เป็นการผูกขาดหรือครอบงำตลาดหรือไม่

“การควบรวมครั้งนี้ จะทำให้บริษัทใหม่นั้นกลายเป็นผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งทันที และมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เมื่อวัดจากจำนวนเลขหมาย ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการควบรวมนี้จะทำได้โดยไม่เป็นการผูกขาด หรือครอบงำตลาดได้อย่างไร และหากดีลนี้สำเร็จจะเกิดผลอย่างไรกับผู้บริโภค และคู่แข่ง”

ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นว่า หน่วยงานใดจะเป็นผู้กำกับดูแล เพราะแม้ พรบ.แข่งขันทางการค้า จะถูกยกเว้น หากอุตสาหกรรมนั้นมีกฎหมายกำกับดูแลเฉพาะอยู่แล้ว เช่น กรณีนี้เป็นอุตสาหกรรมโทรคมนาคมย่อมจะอยู่ภายใต้กำกับของ กสทช. ซึ่งควรจะเป็นไปตามประกาศของ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ในข้อ 8

อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ถือใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเป็นบริษัทลูก (ทรูมูฟ - ดีแทคไตรเน็ต) แต่บริษัทที่จะควบรวมเป็นบริษัทแม่ (ทรูคอร์ป - โทเทิลแอคเซสคอมมูนิเคชั่น) นี่อาจกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกรณีนี้จะหลุดจากมือ กสทช. ไปสู่การขออนุญาตต่อบอร์ดแข่งขันทางการค้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะตามประกาศหลักเกณฑ์การควบรวมของ กสทช. นั้นเข้มงวดกว่าของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า แถมยังระบุหลักเกณฑ์ที่เป็นตัวเลขชัดเจนไว้อีกด้วย

‘ก้าวไกล’ ซัด!! ควบรวม ‘ดีแทค-ทรู’ สะท้อนรัฐบาลทำงานเอื้อกลุ่มทุนฯ

พรรคก้าวไกล จี้!! รัฐบาลมีหน้าที่ป้องกันการผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน หลัง รมว.ดิจิทัล แสดงความเห็นการควบรวมทรู-ดีแทค ว่าเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ รัฐบาลไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลายประเทศก็มีผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือเพียงรายเดียว

วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และโฆษกคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน กล่าวว่า ในเอเชีย มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่มีผู้ให้บริการรายเดียว 

ประเทศแรกที่เป็นต้นแบบของรัฐบาลไทย คือ ประเทศเกาหลีเหนือ ที่มีผู้ใช้มือถือเพียง 3.8 ล้านราย จากประชากร 26 ล้านราย

ประเทศที่สอง คือ หมู่เกาะโซโลมอน ที่มีประชากร 700,000 คน

คล้ายกับ 4 ประเทศในยุโรปที่มีผู้ให้บริการเพียงรายเจ้าเดียว อย่าง อันดอร์รา ที่มีประชากร 77,265 คน, ยิบรอลตาร์ ที่มีประชากร 33,691 คน, โมนาโก ที่มีประชากร 39,244 คน และ ซานมารีโน ที่มีประชากร 33,938 คน

“ประเทศไทยมีประชากร 69 ล้านคนนะครับ ตลาดโทรคมนาคมก็มีมูลค่าปีหนึ่งกว่า 600,000 ล้านบาท ถ้าไม่คิดจะปกป้องประโยชน์ของประชาชนคนที่เสียภาษีเป็นเงินเดือนให้รัฐบาล ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากการผูกขาด อย่างน้อยก็อย่าถือหางกลุ่มทุนจนออกนอกหน้าขนาดนั้น เดี๋ยวประชาชนจะสับสนว่า รัฐบาลนี้ทำงานเพื่อประชาชนหรือเพื่อกลุ่มทุนกันแน่”

ด้าน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องการควบรวมบริษัทระหว่างทรูและดีแทค โดยวิโรจน์กล่าวว่า การที่รัฐมนตรี DES กล่าวว่าการควบรวมบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือยักษ์ใหญ่ 2 เจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจการกำกับดูแลของตน และการควบรวมครั้งนี้เป็นเรื่องปกติ แสดงให้เห็นว่า รัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้มองเห็นแต่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ของตนเองว่า รัฐบาลมีหน้าที่ป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“เชื่อว่า กรณีนี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES ที่จบมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ คงจะคำนวณค่าดัชนี HHI เป็นอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้ใครมาสอนวิธีการคำนวณให้ และควรต้องรู้อยู่แล้วว่า การควบรวมกิจการเครือข่ายโทรคมนาคม นั้นเป็นหน้าที่ที่รัฐมนตรี DES ต้องเข้าไปตรวจสอบดูแล ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยอย่างนี้ ป้ายชื่อกระทรวงด้านท้ายที่ระบุว่า “เพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ก็น่าจะผ่านตานายชัยวุฒิบ้างอยู่แล้ว”

ลือดีลควบรวมนิสสัน-ฮอนด้า คว้าน้ำเหลว หลังค่ายนิสสันไม่ยอมรับเป็นบริษัทลูก

(5 ก.พ.68) สื่อญี่ปุ่นรายงานตรงกันว่า การเจรจาควบรวมกิจการระหว่าง ฮอนด้า และ นิสสัน กำลังเผชิญอุปสรรคสำคัญ หลังนิสสันแสดงจุดยืนคัดค้านข้อเสนอของฮอนด้าอย่างหนัก

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ฮอนด้าได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นของนิสสันเพื่อให้กลายเป็นบริษัทย่อย ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทว่าฝ่ายนิสสันปฏิเสธ เนื่องจากไม่ต้องการสูญเสียอำนาจบริหาร ส่งผลให้แนวโน้มการควบรวมอาจต้องยุติลง โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้บริหารของนิสสันระบุว่า "เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้การควบรวมดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยาก"

ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม 2023 ฮอนด้าและนิสสันประกาศแผนจัดตั้ง บริษัทโฮลดิ้งร่วม ภายในเดือนสิงหาคม 2026 พร้อมถอดหุ้นของทั้งสองบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แผนปรับโครงสร้างของนิสสันที่ล่าช้าสร้างความไม่พอใจให้กับฮอนด้า จึงเป็นเหตุให้บริษัทเปลี่ยนแนวทางจากการร่วมมือ มาเป็นการเข้าซื้อหุ้นนิสสันแทน เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารและเร่งเดินหน้าแผนปรับโครงสร้าง

ขณะนี้ นิสสันยังคงประชุมภายในอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ยอมรับเงื่อนไขการเป็นบริษัทย่อย ขณะที่ฝั่งฮอนด้าก็ส่งสัญญาณว่า หากนิสสันปฏิเสธ ข้อตกลงนี้อาจต้องยุติลงในที่สุด

แต่มีข้อแม้ซีอีโอนิสสันต้องลาออก ดีลควบรวม 5.8 หมื่นล้านยังมีลุ้น

(18 ก.พ. 68) ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า ฮอนด้า อาจกลับมาเจรจาควบรวมกิจการกับ นิสสัน อีกครั้ง หาก มาโกโตะ อูชิดะ ซีอีโอของนิสสัน ตัดสินใจลงจากตำแหน่ง

ก่อนหน้านี้ การเจรจาควบรวมระหว่าง ฮอนด้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น และ นิสสัน ผู้ผลิตอันดับสาม ต้องยุติลง ทำให้แผนสร้างบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสี่ต้องล้มไป

อุปสรรคในการควบรวมครั้งนี้ส่งผลให้ นิสสัน ตกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน และสะท้อนถึงความกดดันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมกำลังเผชิญจากคู่แข่งจีนที่กำลังมาแรง

ตามรายงานของ FT ฮอนด้า พร้อมพิจารณากลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา หาก นิสสัน มีผู้นำคนใหม่ที่สามารถจัดการปัญหาภายในได้ดีกว่าเดิม

แม้ว่าตัว อูชิดะ เองจะเคยประกาศว่าจะดำรงตำแหน่งซีอีโอไปจนถึงปี 2026 แต่แรงกดดันให้เขาก้าวลงจากตำแหน่งกลับทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากคณะกรรมการบริษัทและ เรโนลต์ พันธมิตรสำคัญของนิสสัน หลังจากเขาล้มเหลวในการเจรจาควบรวมมูลค่า 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ รายงานยังระบุว่า คณะกรรมการนิสสันได้เริ่มหารือกันอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนตัวผู้นำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top