Monday, 21 April 2025
ข้อตกลงปารีส

'ไบเดน' แขวะ!! 'จีน-รัสเซีย' ไร้เงาผู้นำบนเวที COP26 ด้านจีนสวน ยังดีกว่าบางประเทศที่เคยถอนตัว

กลายเป็นดราม่าร้อนแรงกลางงานประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาเพื่อปัญหาสภาพอากาศครั้งที่ 26 (COP26) จนได้ เมื่อ 'โจ ไบเดน' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแขวะแรงถึง ผู้นำจีน 'สี่ จิ้นผิง' และ ประธานาธิบดี รัสเซีย 'วลาดิมีร์ ปูติน' ว่าขาดภาวะผู้นำในเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน เนื่องจากผู้นำทั้งคู่ไม่มาเข้าร่วมการประชุม COP26 ประจำปีนี้ 

การประชุม COP26 นับเป็นงานสำคัญที่มีผู้นำประเทศมากกว่า 120 ชาติ มาเข้าร่วมโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อถกปัญหาด้านสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-12 พฤศจิกายน ที่เมืองกลาสโกล ในสกอตแลนด์ 

แต่กลับไม่พบ สี จิ้นผิง และ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำของ 2 ชาติมหาอำนาจมาเข้าร่วมประชุม โดยทั้งจีน และรัสเซีย แจ้งว่าติดปัญหาเรื่องการระบาด Covid-19 ที่ทำให้ไม่สะดวกเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนี้ 

โดยผู้นำรัสเซียจะเข้าร่วมประชุมทางไกลผ่านสื่อออนไลน์ ส่วนผู้นำจีนได้ส่งถ้อยแถลงแสดงเจตจำนงในการเป็นส่วนหนึ่งของสมัชชาภาคีอนุสัญญาผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศของจีน

แต่ก็ไม่วายโดนผู้นำสหรัฐฯ อย่างโจ ไบเดน แขวะแรงว่า... 

"ทั้ง ๆ ที่จีนพยายามเหลือเกินที่จะให้ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นผู้นำโลก แต่ไม่ยอมมาร่วมประชุม COP26! ได้เหรอ! นี่เป็นประเด็นสำคัญของโลกเลยนะครับ แต่พวกเขา (จีน/รัสเซีย) กลับไม่มา แล้วประเทศอื่นเขาจะคิดยังไง แล้วยังจะอ้างตัวเป็นผู้นำโลกได้อีกหรือ? สำหรับจีน ผมพูดตรง ๆ เลยนะ พลาดมาก!!"

ปัจจุบัน จีน เป็นประเทศที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลก ส่วนรัสเซียอยู่ในอันดับ 4 ดังนั้นการไม่ปรากฏตัวของผู้นำทั้ง 2 ชาติอย่างกับนัดหมายในงาน COP26 นั้น จึงกลายเป็นที่สังเกต และเปิดช่องให้ผู้นำสหรัฐฯ ออกปากโจมตีเพื่อสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของจีน และรัสเซีย

นักวิชาการชำแหละ ทรัมป์บอกลา WHO ถอนข้อตกลงปารีส เปิดช่องจีนครองบทบาทผู้นำโลก

(24 ม.ค.68) หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยสองเพียงไม่นาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกใน 2 องค์กรระดับโลกคือ การถอนตัวออกจากสมาชิกองค์การอนามัยโลก และการถอนตัวสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งท่าทีทั้งสองดังกล่าว นักวิชาการจากสถาบันในรัฐแคลิฟอร์เนียมองว่า เป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น 

ศาสตราจารย์โรเดอริก เคียวเวียต (Roderick Kiewiet) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (Caltech) เผยต่อสำนักข่าวสปุตนิกว่า ในกรณีการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้น มีลักษณะเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะสหรัฐและประเทศอื่น ๆ แทบไม่มีทางบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ได้อยู่แล้ว

“การถอนตัวของสหรัฐเป็นเพียงการยืนยันว่าทั่วโลกยังคงใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในอัตราเดิมต่อไปอีกนาน” เคียวเวียตกล่าว ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับศาสตราจารย์คานิชกัน สถาสิวัม (Kanishkan Sathasivam) จากมหาวิทยาลัยเซเลมสเตต รัฐแมสซาชูเซตส์ เห็นด้วยว่าการถอนตัวครั้งนี้เป็นเพียง 'เชิงสัญลักษณ์' และคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  

“หลายสิ่งที่สหรัฐทำในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นดำเนินการผ่านกฎหมายในประเทศ ทั้งระดับรัฐบาลกลางและรัฐ ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยลำพัง” สถาสิวัมกล่าว  

ด้าน ศาสตราจารย์ริชาร์ด เบนเซล (Richard Bensel) จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ กล่าวว่า การถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงปารีสจะลดบทบาทของประเทศในเวทีโลก ขณะเดียวกัน จีนอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มบทบาทความเป็นผู้นำของตัวเอง “ผลกระทบหลักจากการถอนตัวครั้งนี้คือการสูญเสียอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐ ขณะที่จีนจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ทรัมป์ทิ้งไว้” เบนเซลกล่าว  

ขณะที่กรณีทรัมป์สั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) สะท้อนว่าทรัมป์ละเลยความเป็นจริงของวิกฤตภูมิอากาศและผลกระทบในระดับโลก แกเร็ธ เจนกินส์ นักวิจัยอาวุโสอิสระจากโครงการศึกษาซิลค์โร้ดและศูนย์ตุรกีแห่งสถาบันนโยบายความมั่นคงและการพัฒนาในกรุงสตอกโฮล์มกล่าวว่า 

"ทุกประเทศจำเป็นต้องดำเนินมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิก เช่นเดียวกับที่เราทุกคนต้องรับผลกระทบ หากสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันมากขึ้น ก็จะสร้างมลพิษมากขึ้น และเช่นเดียวกับที่การแพร่ระบาดของโควิดแสดงให้เห็นว่าโรคระบาดเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน แน่นอนว่า WHO จะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งหากสหรัฐยังเป็นสมาชิกอยู่ ดังนั้นการถอนตัวจาก WHO จะจะยิ่งทำให้องค์กรนี้อ่อนแอลง" เจนกินส์กล่าว 

อย่างไรก็ตาม เจนกินส์ เห็นพ้องกับนักวิชาการคนอื่นๆ ว่า การที่สหรัฐถอนตัวจาก WHO จะเป็นโอกาสทองที่จีนจะก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกนี้มากขึ้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top