Wednesday, 23 April 2025
การเมืองโลก

ส.ส.หัวเสรีนิยมจากพรรคเดโมแครตโดนถล่มเละ หลังเรียกร้องยุติสงครามยูเครนด้วยการเจรจา

รอยเตอร์ส - เมื่อ (25 ต.ค.) ที่ผ่านมากลุ่มส.ส.หัวเสรีนิยมจากพรรคเดโมแครต ตัดสินใจถอนหนังสือฉบับหนึ่งที่ส่งถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้หาทางคลี่คลายวิกฤตสงครามในยูเครนด้วยการเจรจา หลังจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนในพรรคของพวกเขาเอง

พรามิลา จายาปาล ส.ส.จากพรรคเดโมเครต ประธานกลุ่ม ส.ส.หัวก้าวหน้าในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ (Congressional Progressive Caucus) กล่าวว่า "ทางกลุ่มได้ถอนหนังสือในเรื่องเกี่ยวกับยูเครน ที่ส่งถึงทำเนียบขาวเมื่อเร็ว ๆ นี้" พร้อมระบุว่า "หนังสือฉบับนี้ร่างไว้ตั้งแต่หลายเดือนก่อน เคราะห์ร้ายที่มันถูกเผยแพร่โดยเจ้าหน้าที่โดยไม่ผ่านการตรวจสอบ"

หนังสือฉบับนี้ที่ลงนามโดยสมาชิกหัวก้าวหน้า 30 คน ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนเมื่อวันจันทร์ (24 ต.ค.) และทำให้ส.ส.ของพรรคเดโมแครตคนอื่น ๆ รู้สึกเหมือนถูกเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว ราว 2 สัปดาห์ ก่อนถึงศึกเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าพรรคจะยังคงครองเสียงข้างมากในสภาคองเกสไว้ได้หรือไม่

ขณะเดียวกันหนังสือฉบับนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกมา ในช่วงเวลาที่สมาชิกรีพับลิกันก็มีเรื่องให้กังวลเช่นกัน หลังมีข่าวว่าทางพรรคอาจปรับลดเงินช่วยเหลือทางทหารและมนุษยธรรม ที่มอบให้แก่ยูเครนนับตั้งแต่ถูกรัสเซียเปิดฉากรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

หลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก สมาชิกของกลุ่มส.ส.หัวก้าวหน้าในสภาคองเกรสหลายคน เผยแพร่ถ้อยแถลงแสดงจุดยืนสนุบสนุนยูเครน เน้นย้ำว่าที่ผ่านมา พวกเขาก็ให้ความร่วมมือกับสมาชิกเดโมแครตคนอื่นๆ ในการลงมติเห็นชอบมอบเงินช่วยเหลือหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ยูเครน

บางส่วนในนั้นอ้างว่าพวกเขาลงนามในหนังสือดังกล่าวตั้งแต่หลายเดือนก่อน และตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว 

"จังหวะเวลาของการเจรจาคือทุก ๆ อย่าง ฉันลงนามในหนังสือนี้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน แต่หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไปแล้วนับตั้งแต่นั้น ถ้าเป็นวันนี้ ฉันจะไม่ลงนามมัน" ส.ส.ซารา จาค็อบส เขียนบนทวิเตอร์

ส.ส.เจมี ราสคิน ซึ่งลงนามในหนังสือดังกล่าวเช่นกัน ระบุในถ้อยแถลงว่า เขารู้สึกยินดีที่ได้ทราบว่ามันถูกถอนออกมาแล้ว

เปิด 10 ทิศทางของ ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ภายใต้ผู้นำที่ชื่อ ‘สี จิ้นผิง’ ตลอดทศวรรษ

การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ปิดม่านไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสี จิ้นผิง ครองอำนาจสูงสุดของพรรคเป็นสมัยที่ 3 พร้อมกับคัดเลือกทีมผู้นำระดับสูงสุดในคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองมาร่วมปกครองประเทศ โดยทั้งหมดล้วนเป็นผู้ใกล้ชิดจงรักภักดีต่อสีจิ้นผิง ดังนั้น อำนาจใหญ่ของผู้นำสีในสมัยที่ 3 จึงทรงพลังที่สุดนับจากท่านประธานเหมาเจ๋อตง ผู้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

ระหว่างช่วง 10 ปีที่สีครองอำนาจสูงสุดในพรรคนับจากสมัยแรกของการนำเมื่อปี 2012 จีนได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกล้ำทั้งภายในประเทศและกระจายไปทั่วโลก

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้นำเสนอ 10 เรื่อง หรือ 10 ทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไปของจีนภายใต้การนำของสี ดังต่อไปนี้

1.) โลกตะวันตกและเหล่าพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา มีความเข้าใจจีนในทางที่แย่ลง

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ เสื่อมถอยลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยรัฐบาลพญาเหยี่ยวของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เร่งสปีดความเสื่อมถอยดังกล่าว ความเข้าใจของโลกตะวันตกยิ่งแย่ลง ๆ จากความขัดแย้งในประเด็นสิทธิมนุษยชน และการที่จีนทวีความแข็งกร้าวต่อไต้หวัน

2.) แคมเปญปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันของสี จิ้นผิง

หลังจากที่สีได้นั่งบัลลังก์อำนาจสูงสุดของพรรค ก็บุกตะลุยกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชันภายในพรรค ซึ่งเรียกคะแนนนิยมจากสาธารณชนได้เป็นกอบเป็นกำ แต่นักวิเคราะห์บางคนมองว่า แคมเปญปราบคอร์รัปชันของสี ยังเป็นเครื่องมือขจัดปฏิปักษ์การเมืองไปด้วย

3.) สร้างระเบียบความสงบเรียบร้อยตามชายแดนที่เคยเป็นเขตมีปัญหาวุ่นวาย

ภูมิภาคทิเบต ซินเจียง ฮ่องกง ซึ่งเป็นเขตปกครองตัวเองและเขตบริหารพิเศษภายใต้อธิปไตยจีน เคยสร้างความปวดเศียรหนักให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน

สี ได้จัดปฏิบัติการปราบปรามที่เด็ดขาดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กวาดล้างเสี้ยนหนามที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของแผ่นดิน และคุมภูมิภาคชายแดนได้อยู่หมัด

ในซินเจียง ชาติส่วนน้อยมุสลิมอุยกูร์ราวหนึ่งล้าน เข้ามาฝึกฝนอาชีพในค่ายอาชีวศึกษา

ในฮ่องกง ทางการจีนได้จัดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติมาปราบกลุ่มที่ออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 จนดินแดนเข้าสู่ภาวะสงบเรียบร้อยโรงเรียนจีน

4.) อุณหภูมิขัดแย้งไต้หวันสูงขึ้น

กลุ่มผู้นำสูงสุดของจีนทุกคนจากยุคเหมาเจ๋อตง ล้วนย้ำนักย้ำหนาถึงความสำคัญของการ “รวมชาติจีน” กับเกาะที่จัดตั้งรัฐบาลปกครองตัวเองแห่งไต้หวัน

ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันร้อนกระฉูดภายใต้การนำของสี กองทัพปลอดแอกประชาชนจีนเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวรอบ ๆ เกาะในไม่กี่ปีมานี้ ทั้งหมั่นซ้อมรบ ไปยันรุกล้ำเข้าไปท้าทายในเขตป้องกันภัยทางอากาศ

ในเดือนสิงหาคม ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ นางแนนซี โพโลซี ยังมาเยือนไทเป กระตุ้นหนวดพญามังกรอย่างย่ามใจยิ่ง และจีนก็ตอบสนองโดยจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ปิดล้อมเกาะไต้หวัน 3 วัน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! ‘ชนชั้นปกครอง’ เดินเกม ‘พาไทยให้รอดจากศึกช้างชนกัน’ มองการเมืองโลกในความเป็นจริง ละทิ้ง ‘ความรัก-ความชัง’ มุ่งพาชาติพ้นภัย

(20 ส.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ การจับมือกันเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’ ระบุว่า…

ถ้ามองหมากทั้งกระดานจากสายตาของ ผู้คุมเกม ไม่มีเรื่องราวใดสำคัญไปกว่าความอยู่รอดของบ้านเมือง ท่ามกลางบริบทของสงครามใหญ่ (ช้างชนกัน) หรือ ‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ ที่เริ่มต้นแล้วในทางพฤตินัย จากสงครามยูเครน (NATO) กับรัสเซีย และสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและฝ่ายต่อต้านที่มีอิหร่านเป็นแกนนำ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าในระดับชนชั้นปกครอง ได้มีการ ‘แบ่งงาน’ และ ‘แบ่งอำนาจ’ กันระหว่างทหารกับทักษิณและอนุทิน อย่างค่อนข้างชัดเจนและลงตัวแล้ว

'ทหาร' สร้างสัมพันธ์อันดีกับทางจีน รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย

'ทักษิณ' สร้างสัมพันธ์อันดีแบบแน่นปึ้กกับทางตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา

'อนุทิน' รับงานทำหน้าที่ปรับสมดุลแห่งสมการทางอำนาจ ปิดทางทักษิณจับมือกับธนาธร

นี่คือความเป็นจริงของ Real Politics ที่นักยุทธศาสตร์และนักกลยุทธ์ทั้งหลายไม่ว่าสังกัดค่ายพรรคใด จะต้องก้าวข้ามอคติความเกลียดชังส่วนบุคคลที่มีต่อทหาร หรือต่อทักษิณให้จงได้

เพราะเกมยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ช้างกำลังชนกัน ... เกมมันต้องเดินทรงนี้ทรงเดียวเท่านั้น เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของคนไทยทั้งประเทศ

การที่ทักษิณหวนกลับมาสู่สมการอำนาจไทยอย่างเท่ ๆ ได้อีกครั้ง มันย่อมมีราคาที่ทักษิณต้องจ่ายหรือต้องเสี่ยงเช่นกัน

สั้น ๆ 'ทักษิณ' ยังเป็นหมากที่มีคุณค่าสำหรับชนชั้นปกครองไทย ในยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’

ทั้งทหาร ทักษิณ และอนุทินต้องอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างยุทธศาสตร์เอาตัวรอดจากช้างชนกัน

ฝ่ายหนึ่งกุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้เพื่อต่อรองและป้องกันการหักหลัง แล้วจึงปล่อยให้เจ้าตัวสนุกกับการเล่นเกมบนเวทีอำนาจอีกครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต ขณะที่อีกฝ่ายซุ่มซ่อนตัวอยู่หลังฉากในฐานะที่เป็นรัฐพันลึก (deep state)

ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ปี ค.ศ. 2030 หรืออีกหกปีข้างหน้า โลกจะดำดิ่งเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) และสงครามใหญ่ที่เป็นสงครามโลกครั้งที่สาม

อนาคตอันรุ่งโรจน์ของไทยย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของชนชั้นปกครองไทยในการนำพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’ ที่กำลังดำเนินอยู่ผ่านหมากทหาร หมากทักษิณ และหมากอนุทิน

ตราบใดที่มวลชนไม่ว่าสังกัดค่ายพรรคสีใด ยังมอง ‘การเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง’ ด้วยสายตารักหรือชังอยู่ ตราบนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถมองเกมแห่งอำนาจให้ทะลุอย่างมองเห็นหมากทั้งกระดานได้

หากยังทำใจให้มองความเป็นจริงอย่างเยือกเย็นและไร้อารมณ์ไม่ได้ ก็จงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อเอาตัวรอดให้ได้จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยืดเยื้อและสงครามใหญ่ต่อจากนี้เถิด

...เพราะมันมาแน่และเกิดขึ้นแน่

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top