Sunday, 20 April 2025
กวิลนาวานุเคราะห์

เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบแน่ เมื่อ ‘ทรัมป์’ คัมแบค ชี้!! หนัก - เบา อยู่ที่การสร้างสมดุล ‘ไทย - จีน – สหรัฐ’

สรุปสั้น ๆ จากนโยบายต่างประเทศและวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียของ ทรัมป์ในอดีต  เมื่อทรัมป์ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 จะมีผลกระทบที่สำคัญกับประเทศไทยยังไงบ้างในด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ พอสรุปได้กว้าง ๆ ในมิติสำคัญ ๆ ได้ประมาณนี้ครับ 

1. ความสัมพันธ์ด้านการค้าและผลกระทบกับไทยด้านเศรษฐกิจการส่งออก: 
ด้วยความที่ทรัมป์ชูนโยบาย 'America First' มาโดยตลอด ทำให้ดีลข้อตกลงการค้าขายกับประเทศต่างๆที่ผ่านมารวมถึงไทยด้วยนั้นคงจะโดนตรวจสอบใหม่ทั้งหมดโดยดีลไหนที่เห็นว่าทางอเมริกาเสียเปรียบหรือไม่ได้ประโยชน์ที่เหมาะสมในปัจจุบันก็คงต้องเจรจากันใหม่ ซึ่งภาคธุรกิจส่งออกไทยที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในอเมริกาก็คงจะโดนผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ ซึ่งที่ผ่านมาการส่งออกไทยไปอเมริกาก็เติบโตเกินดุล (ไทยส่งออกไปอเมริกามากกว่านำเข้า) มาโดยตลอด ซึ่งก็อาจจะไปเตะตาและดึงความสนใจจากคณะทำงานของทรัมป์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านอกเหนือจากจีนที่ ทรัมป์มองว่าเป็นภัยคุกคามเบอร์หนึ่งแล้วทรัมป์จะมองว่าประเทศไหนที่มีความสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับรอง ๆ ลงมาอีก 

2. ความร่วมมือทางด้านการทหารและความมั่นคง: 
ที่ผ่านมาไทยกับอเมริกามีความร่วมมือทางการทหารมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ที่ทุกคนคุ้น ๆ กันคือการฝึก Cobra Gold ซึ่ง ณ ตอนนี้คงต้องรอดูท่าทีว่าทรัมป์จะเอายังไงต่อ จะเพิ่ม, จะลด หรือคงความร่วมมืออยู่ในระดับเดิมก็คิดว่าทรัมป์น่าจะรอดูท่าทีในระดับภูมิภาคโดยมีตัวแปรสำคัญคือท่าทีของเราว่าจะเอายังไงกับจีน อาจมีการพยายามดึงให้ไทยมาอยู่ฝั่งอเมริกาในกรณีที่ความสัมพันธ์ อเมริกา-จีนมีความตึงเครียด (ซึ่งมีแน่ ๆ เมื่อทรัมป์กลับมาสมัยที่ 2) สรุปก็คือในด้านการทหารและความมั่นคง อเมริกาจะเอายังไงกับไทย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอายังไงกับจีนนั่นเอง (งูกินหางเลยทีเดียวเชียว ไม่งงเนอะ 😅)

3. การกดดันเรื่องความสัมพันธ์กับจีน: 
ต่อเนื่องจากข้อ 2 ด้วยความทรัมป์ ลุงแกก็อาจมีการกดดันไทยให้ลดความสัมพันธ์และจำกัดความร่วมมือต่างๆจากจีน ไม่ว่าจะด้านเทคโนโลยี, โครงสร้างพื้นฐานต่างๆและ ความร่วมมือทางทหาร ซึ่งอันนี้ทางเราก็ต้องหาทางบาล้านซ์และหลบหลีกหลีกหนีให้ดีว่าระหว่างอเมริกากับจีนเราจะเลือกใคร (แต่ถ้าให้เดา ทางเราคงอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ฝีมือของรัฐบาลเราครับ) 

4. ผลกระทบกับไทยในฐานะสมาชิก ASEAN: 
อันนี้ก็เหมือนกับข้อ 2,3 แต่ขยายขึ้นเป็นระดับทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ (ที่เน้นเรื่องการต่อต้านจีน) อาจจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในชาติสมาชิกของ ASEAN ซึ่งอาจนำมาซึ่งการต้อง “เลือกข้าง” ว่าจะไปทางจีนหรืออเมริกาของแต่ละประเทศ รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์แบบ “เฉพาะตัว” ของแต่ละประเทศกับอเมริกา ซึ่ง again อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลของประเทศเล็กๆ น้อยๆ ตะมุตะมิ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงแต่ละประเทศแถวนี้ๆ ว่าสุดท้ายจะเอายังไงกันดี 

5. ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และ การปกครอง: 
โดยทั่วไปทรัมป์ถือคติว่าจะ 'ไม่ยุ่ง' การเมืองภายในประเทศอื่นๆ แต่ก็ต้องขีดเส้นใต้หนัก ๆ ด้วยว่า “ที่ไม่ส่งผลเกี่ยวข้องกับอเมริกา” ซึ่งก็คงทำให้ไทยถูกจับตาน้อยลงในประเด็นเรื่อง ความเป็นประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน และการคุกคามเสรีภาพของประชาชน ซึ่งต่างจากรัฐบาลของไบเดนที่ผ่านมา ซึ่งไทยก็โดนตรวจสอบ โดนเตือน โดนแซะจากทำเนียบขาวเป็นระยะๆ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คงต้องรอดูผลกระทบในระยะยาวต่อไปครับ 

6. ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว: 
เมื่อทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวได้สำเร็จ จะมีการปรับนโยบายการเดินทางเข้า-ออกประเทศ, การขอ Visa และเพิ่มข้อจำกัดต่างๆ (เพื่อจัดการกับคนเข้า-ออกอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย) ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจส่งผลกระทบทางอ้อมกับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่มีนักท่องเที่ยวอเมริกันเป็นหนึ่งในลูกค้าสำคัญด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นนโยบายเศรษฐกิจของ ทรัมป์ ก็อาจส่งผลถึงเม็ดเงินที่ลดลงจากนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เดินทางมาเที่ยวในเมืองไทยด้วยในที่สุด

สรุปในสรุปอีกที ไทยจะได้รับผลกระทบยังไงถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับท่าทีและปฏิสัมพันธ์ของเรากับจีนในเรื่องต่างๆและฝีมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการแรงกดดันจากลุงทรัมป์กับลุงสี จิ้น ผิงโดยที่ต้องหาสมดุลของความสัมพันธ์ไทย-จีน และ ไทย-อเมริกาให้ได้เป็นที่น่าพอใจของทั้งสองลุงนั่นเองครับ

ทำความรู้จัก ‘เดนนิส ลอว์’ ราชันย์สตั๊ดเหินหาวแห่ง ‘โอลด์แทรฟฟอร์ด’ หนึ่งในตำนาน ‘United Trinity’ คนสุดท้ายที่เพิ่งลาลับตลอดกาล

(19 ม.ค. 68) หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักในเกมฟุตบอล ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานถึงความเก่งกาจของชายผู้เป็นตำนานสุดยอดดาวยิงคนหนึ่งเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของลีลาถล่มประตูที่ดุดัน ถึงลูกถึงคน ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะท่าไม้ตายการกระโดดวอลเลย์ลูกกลางอากาศอย่างสวยงาม รวมไปถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการยกแขนขวาเหยียดตรงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นภาพคุ้นตาของแฟนบอลในยุค 60’s ต่อ 70’s และเป็นหนึ่งในสามประสาน ‘United Trinity’ ร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบส อดีตขุนพลเอกแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างถล่มทลาย สถิติมากมายได้ถูกสร้างขึ้นและคงอยู่อย่างยาวนาน บางสถิติก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปได้จนถึงปัจจุบัน 

เนื่องในโอกาสการจากไปของเดนนิส ลอว์ ใดใด Digest ขอน้อมคารวะชายผู้เป็นตำนานท่านนี้ด้วยการบันทึกเรื่องราวของเขาไว้ ณ ที่นี้ครับ 

เดนนิส ลอว์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1940 ณ เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ ในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ฐานะไม่สู้ดีนัก โดยเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน และในความยากจนนี่เองที่เด็กน้อยเดนนิสได้ค้นพบความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของตัวเองจากการเตะลูกฟุตบอลทำเองจากเศษผ้าเล่นกับบรรดาพี่น้องและเพื่อนฝูง และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเดนนิส ทำให้เขาฉายแสงออกมาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชัดเจนและในไม่นานก็ถูกค้นพบโดยแมวมองจากสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทำให้เดนนิสได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพด้วยอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยสโมสรที่ค้นพบเดนนิสและเซ็นสัญญาอาชีพด้วยเป็นทีมแรกคือสโมสรฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ (อ่านมาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกคุ้นๆชื่อสโมสรนี้ ใช่ครับ! นี่คือสโมสรที่หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลชาวไทยอย่างพี่ซิโก้ เกียติศักดิ์ เสนาเมืองของเราเคยบินมาค้าแข้งด้วยเป็นเวลาสั้นๆนั่นเอง) ในเวลานั้นกุนซือของฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ได้แก่ บิลล์ แชงค์ลี่ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับอภิมหาตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง ตลอด 4ปีที่ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์นี่เองที่เดนนิสได้เริ่มเปล่งประกายความเป็นสุดยอดดาวยิงฟ้าประทานออกมา และทำให้ตัวเขากลายเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสรในอังกฤษ จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นเวลาสั้นๆแค่ 1 ปีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้นที่ 55,000 ปอนด์ ก่อนที่จะถูกสโมสรโตริโน่จากอิตาลีซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงที่สุดเป็นสถิติโลกในเวลานั้นที่ 110,000 ปอนด์ และทำให้เดนนิสเป็นนักเตะจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ย้ายมาเล่นในภาคพื้นยุโรป แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปรับตัวหลายๆอย่างในสมัยนั้น ทำให้เดนนิสย้ายกลับมายังเกาะอังกฤษ และสโมสรที่ซื้อเขากลับมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกอีกเช่นกันที่ 115,000 ปอนด์ ก็คือสโมสรที่ส่งให้เขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาลในเวลาต่อมาซึ่งก็คือสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั่นเอง

เดนนิสค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรวมแล้วทั้งหมด 11 ปี ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1973 ซึ่งตลอดระยะเวลานี้ เขาได้สร้างความสำเร็จและสถิติต่างๆฝากไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น

1. สถิติยิงประตูให้สโมสรสูงที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยลงเล่นทั้งหมดให้กับยูไนเต็ด 404 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 237 ประตู 

2. ได้รับการขนานนามจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งเสตร็ทฟอร์ดเอ็นด์’ ซึ่งมีที่มาจากการฉลองการทำประตูของเดนนิสร่วมกับแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ทีมเหย้าของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นภาพชินตาของแฟนบอลในยุคนั้น 

3. เดนนิสเป็นสมาชิกคนสำคัญที่นำถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมายได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 สมัย, แชมป์สโมสรยุโรป 1 สมัย (แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นผู้มีความสำคัญในการพาทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ), แชมป์ FA Cup 1 สมัย

4. ในด้านรางวัลส่วนตัว เดนนิส ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลระหว่างเล่นให้ยูไนเต็ดด้วยการได้รับรางวัล Ballon D’Or หรือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1964 และเป็นนักเตะชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคงจะเป็นหนึ่งเดียวจากสก็อตแลนด์ไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป 

ในช่วงปลายอาชีพเดนนิสได้ย้ายกลับไปเล่นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้อีกครั้งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 1 ปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ เดนนิสเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นให้แมนเชสเตอร์ซิตี้เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ในนัดท้ายๆของฤดูกาล 1974 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกชั้นในปีนั้นในที่สุด ซึ่งเดนนิสก็ได้แสดงความเคารพอย่างสูงต่ออดีตสโมสรของเขาด้วยการไม่แสดงการดีใจและมีสีหน้าเสียใจหลังยิงประตูนั้นได้ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคเหตุการณ์หนึ่งของโลกฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบัน

ในด้านเกียรติประวัติกับทีมชาติสก็อตแลนด์นั้น เดนนิสลงสนามรับใช้ชาติไปทั้งหมด 55นัด โดยยิงไปได้ 30 ประตู รวมถึงการพาสก็อตแลนด์เข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด 2 สมัย

ภายหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1974 เดนนิสก็ยังคงมีส่วนร่วมกับวงการฟุตบอลที่เขารักอย่างต่อเนื่องด้วยการรับตำแหน่งเป็นทูตฟุตบอลให้กับสโมสรที่เขาผูกพันที่สุดอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และออกงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ 

เดนนิส ลอว์ จากไปอย่างสงบในคืนวันที่ 17 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาด้วยวัย 84 ปีจากอาการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง โดยฝากผลงานและตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลกฟุตบอลและโดยเฉพาะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฐานะ ‘United Trinity’ คนสุดท้าย โดยรูปปั้นของเดนนิสในท่าเหยียดแขนขวาขึ้นสุดพร้อมชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเป็นท่าฉลองประตูประจำตัวอันคุ้นชินขนาบข้างด้วยสองสหายรักและเพื่อนร่วมทีมอย่างเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบส หันหน้าเข้าสู่สนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน รวมถึงความสามารถอันเป็นตำนานและคุณูปการต่างๆที่เดนนิส ลอว์สร้างขึ้นและฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็จะถูกจดจำและกล่าวขานไปอีกนานแสนนานเช่นกัน 

ด้วยจิตคารวะ

จากชายขอบสู่เบอร์ 2 ทำเนียบขาว เตรียมก้าวสู่ผู้นำการเมืองอเมริกาคนต่อไป

(21 ม.ค. 68) ทำความรู้จัก JD Vance ชายผู้ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการและถูกคาดหมายว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองอเมริกาต่อจากทรัมป์

James David Vance หรือ J.D. Vance เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2527 ที่เมืองมิดเดิลทาวน์ รัฐโอไฮโอ แม้ว่าปัจจุบันจะอายุแค่ 40ปี แต่พี่แว๊นซ์ก็ถือว่าผ่านงานมาอย่างหลากหลายและโชกโชนพอสมควร อาทิเช่น
- ปี 2003 ถึง 2007 ได้เข้าร่วมกับนาวิกโยธินในตำแหน่งนักข่าวสายทหารรวมถึงผ่านการถูกส่งไปทำงานภาคสนามในสงครามอิรักมาแล้วถึง 6 เดือน 
- เคยทำงานเป็นทนายความด้านกฏหมายองค์กรอยู่ระยะสั้นๆก่อนผันตัวมาเป็นนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ท-อัพในเวลาต่อมา 
- เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีติดอันดับเบสเซลเล่อร์ของนิวยอร์กไทมส์เรื่อง บันทึกความทรงจำ Hilbilly Elergy ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพสะท้อนของคนอเมริกันผิวขาวชายขอบที่เติบโต ใช้ชีวิตและสร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นในพื้นที่ห่างไกลความเจริญบริเวณเทือกเขาอัพพาลาเชียในอเมริกาเหนือซึ่งเป็นพื้นเพรากเหง้าที่พี่แว๊นซ์เติบโตขึ้นมาในวัยเด็กนั่นเอง หนังสือเล่มนี้ดังจนสุดยอดผู้กำกับหนังแห่งยุคคนหนึ่งอย่าง รอน ฮาวเวิร์ด (ดาวินชีโค้ด, อพอลโล 13) เอาไปสร้างเป็นหนังทาง Netflix มาแล้วในปี 2020
- ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐโอไฮโอ
- ได้รับการแต่งตั้งจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นผู้ร่วมรณรงค์หาเสียงในฐานะว่าที่รองประธานาธิบดีจนชนะการเลือกตั้งร่วมกับทรัมป์และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน

ในด้านการศึกษานั้นพี่แว๊นซ์ก็ถือว่าไม่ธรรมดาครับ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอเสตทและมาจบปริญญาโทจากหนึ่งในโรงเรียนกฏหมายที่ถือว่าดีที่สุดในโลกอย่างมหาวิทยาลัยเยล 

ทางด้านครอบครัวนั้น พี่แว๊นซ์แต่งงานแล้วกับ อุชา ชิลูคูรี สาวอินเดีย-อเมริกันที่มีพ่อแม่เป็นชาวอินเดียอพยพและชาวฮินดู อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เยล ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน และเมื่อพี่แว๊นซ์ของเราขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเรียบร้อยแล้ว อุชาก็ได้กลายเป็นสตรีชาวฮินดูคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะคู่สมรสของรองประธานาธิบดีและแน่นอนว่าหากจับพลัดจับผลูเกิดอะไรขึ้นกับลุงทรัมป์ทำให้อยู่ไม่ครบเทอมและพี่แว๊นซ์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี อุชาก็จะขึ้นเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งชาวฮินดูคนแรกของชาวอเมริกันทันที 

พี่แว๊นซ์ถือว่ามีความเจนจัดทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน, การระดมทุนและการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อย่างสตาร์ท-อัพ และ ไอที รวมไปถึงนโยบายประชานิยมต่างๆที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนยากจน ซึ่งตัวของเขาเองนั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนเรื่องการอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือชนชั้นแรงงาน, เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนชายขอบกับวัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากรากเหง้าอดีตแบบคนชายขอบหรือที่เรียกว่า Hilbilly แห่งเทือกเขาอัพพาลาเชียที่พี่แว๊นซ์ได้ต่อสู้ฟันฝ่า ถีบตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จได้นั่นเอง 

ทั้งนี้ทั้งนั้นนักวิเคราะห์การเมืองอเมริกันหลายสำนักได้แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า เมื่อพี่แว๊นซ์ได้เข้าไปมีบทบาทในทำเนียบขาวแล้วลุงทรัมป์ “จัดให้” มีซีนที่ฉายแสงหรือให้มีจังหวะได้เฉิดฉายบ้างเป็นระยะๆ เขาก็น่าจะทำได้ดี ด้วยความที่เป็นคนออกสื่อแล้วไม่ตายไมค์ พูดจาฉะฉานชัดเจน แถมยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย โอกาสที่จะมีอนาคตทางการเมืองสดใสยาวๆไป รวมถึงโอกาสที่จะมีโอกาสเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” เมื่อลุงทรัมป์หมดวาระลงในอีก 4 ปีข้างหน้าก็มีโอกาสไม่น้อยครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top