Tuesday, 22 April 2025
กรมการค้าต่างประเทศ

‘ส่งออกไทย’ 7 เดือนแรก โกยมูลค่าทะลุ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ชี้ ‘ถุงมือกีฬา’ โตแกร่ง!! หลังการแข่งขันกลับมาคึกคักต่อเนื่อง

(30 ต.ค. 66) นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยสถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ที่ไทยได้รับในปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช โดยใน 7 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่ารวม 2,017.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ ประมาณ 53% และตลาดที่ไทยมีการใช้สิทธิ GSP ส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่า 1,854.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 91.90% ของมูลค่าการส่งออกรวมที่ใช้สิทธิ GSP

สำหรับการใช้สิทธิ GSP ในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ที่มีความน่าสนใจและมีอัตราการเติบโตได้ดีตามปริมาณความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากรายการแข่งขันกีฬาที่กลับมาคึกคักอย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือ สินค้าถุงมือสำหรับกีฬา อาทิ กอล์ฟ เบสบอล และการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 26.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยมากเป็นลำดับที่ 3 รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้า 16.33% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าเดียวกันจากทั่วโลก ซึ่งการนำเข้าที่ใช้สิทธิ GSP ทำให้ไทยได้รับการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จากเดิมที่ต้องเสียภาษี 4.9% (MFN Rate) ลดลงเหลือ 0% นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำคัญอื่นๆ ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ส่งออกไปสหรัฐฯ สูง โดยสินค้าอันดับ 1 ยังคงเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และสินค้าอื่นๆ อาทิ กรดมะนาวหรือกรดซิทริก อาหารปรุงแต่ง กระเป๋าเดินทาง ถุงมือยางเพื่อการแพทย์ และเลนส์แว่นตา เป็นต้น

สำหรับโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ที่สินค้ามีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ เพชรพลอยรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่า (สวิตเซอร์แลนด์) ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอมชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหรือเครื่องดื่ม (สวิตเซอร์แลนด์) หน้าปัดนาฬิกาชนิดคล็อกหรือวอตซ์ (สวิตเซอร์แลนด์) ข้าวโพดหวาน (นอร์เวย์) สูทของสตรีหรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะหรือขนละเอียดของสัตว์ (นอร์เวย์) เนื้อสัตว์แปรรูป (นอร์เวย์) สับปะรดกระป๋อง ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนิโตชนิดซาร์ดา (CIS) เป็นต้น

‘กรมการค้าต่างประเทศ’ คิกออฟ!! งานใหญ่เสริมแกร่ง SME 8-9 พ.ค.นี้ เอื้อโอกาส SME ไทยก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้าต่างแดน

(4 พ.ค.67) กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดงานใหญ่ให้ความรู้ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปต่อยอดและขยายโอกาสธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการ SME รวมถึงผู้สนใจทั่วไป ภายใต้โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่อง “FAST, FUTURE, FREE TRADE ขยายโอกาส SME ไทยก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้า” ในวันที่ 8, 9 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 – 16.30 น. ณ โรงแรม The Tide Resort Bangsaen Beach, Thailand จังหวัดชลบุรี

งานนี้ กรมการค้าต่างประเทศ นำขบวนทัพนักวิชาการให้ความรู้ด้านสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมกับความตกลงใหม่ล่าสุด กับความตกลงการค้าเสรีไทย - ศรีลังกา 🇹🇭รวมถึงการสมัครบัญชีผู้ใช้งานผ่านระบบ DFT SMART – I และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยระบบ DFT SMART C/O รวมถึงการตรวจคุณสมบัติของสินค้าทางด้านถิ่นกำเนิดผ่านระบบ ROVERs PLUS 

เพราะสิทธิประโยชน์ทางการค้า คือ กุญแจสำคัญในการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจสู่ตลาดการค้าต่างประเทศ

พร้อมแล้วหรือยังกับการไขกุญแจเพื่อเปิดรับความรู้ดี ดี สิทธิประโยชน์ทางการค้า อย่าลืม อย่าพลาด...โอกาสดี ดี รีบลงทะเบียนด่วน

ฟรี...ฟรี มีที่นี่ กรมการค้าต่างประเทศ

‼️สนใจลงทะเบียนได้ที่ ‼️

วันที่ 8 พฤษภาคม 2567  https://forms.gle/LKVmVNc5Wf8YyjpN6

วันที่ 9 พฤษภาคม 2567  https://forms.gle/Ud74PVMatyrejQ5V7

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 
📞 081-701-4654 , 063-792-4412
📞สายด่วน 1385
👉🏻Facebook กรมการค้าต่างประเทศ DFT
💻 www.dft.go.th

‘กรมการค้าต่างประเทศ’ นำทัพผู้ค้าข้าวไทยลุย ‘ฟิลิปปินส์’ ลงนาม MOU ซื้อ-ขาย 1.3 แสนตัน มูลค่า 2,800 ล้านบาท

(11 ก.ค. 67) นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้แทนการค้าข้าวไทย เดินทางไปฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ร่วมกับภาคเอกชน โดยมี ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสมาชิกเข้าร่วม ว่า ในการเดินทางไปครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถลงนาม MOU การซื้อ-ขายข้าวระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ จำนวน 9 ฉบับ ปริมาณรวม 130,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในฟิลิปปินส์ได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ กรมยังได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา เชิญผู้นำเข้าผู้ค้าข้าว ห้าง ร้านค้าปลีกผู้ประกอบการค้าข้าวรายสำคัญและผู้แทนหน่วยงานภาครัฐของฟิลิปปินส์ รวมถึงสื่อและอินฟลูเอนเซอร์กว่า 70 ราย เข้าร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ข้าวไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘PremiumThai Rice with Authentic Thai Food’ ณ ร้าน Mango Tree Manila ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับตรา Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ โดยได้สาธิตการปรุงอาหารพร้อมเสิร์ฟกับข้าวไทย 3 รายการ ได้แก่ แกงเขียวหวานไก่ ผัดกะเพราหมู และข้าวเหนียวมะม่วง โดยเสิร์ฟทั้งข้าวหอมมะลิไทย ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ได้เข้าพบหน่วยงาน National Food Authority (NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการบริหารจัดการสต๊อกข้าวของฟิลิปปินส์ โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าว รวมถึงนโยบายการลดภาษีนำเข้าข้าวจาก 35% เหลือ 15% ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2567 ไปจนถึงสิ้นปี 2571 โดยจะมีการทบทวนอัตราภาษีนำเข้าข้าวทุก 4 เดือน และยังได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแก้กฎหมายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ NFA สามารถนำเข้าข้าวในภาวะฉุกเฉินได้ ซึ่งขณะนี้กฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา โดยในโอกาสนี้ ฝ่ายไทยได้ให้ความเชื่อมั่นว่าไทยมีความพร้อมในการส่งออกข้าวเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์

สำหรับสถิติการส่งออกข้าวไทยไปยังฟิลิปปินส์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - มิถุนายน) ประมาณ 299,787 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 381.66% และมีมูลค่าประมาณ 5,978 ล้านบาท (ประมาณ 167 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 558.97%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top