Monday, 20 May 2024
กฎหมายไทย

‘เพจดัง’ งัดหลักฐานแฉ ‘แอมเนสตี้’ หนุนม็อบประท้วงป่วนช่วง APEC 2022

(12 พ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความว่า #เรื่องใหญ่แล้วนะวิ สรุปพวกมรึงจะไม่ให้ประเทศสงบสุขบ้างเลยเลยใช่ไหม? ได้! งั้นเดี๋ยวจัดให้ หลังจากเก็บมือเก็บเท้า เจี๋ยมเจี๊ยมมาพักใหญ่ จนกระแสไล่แอมเนสตี้เริ่มซาลง นั่นล่ะฮะ คุณผู้ชม มันก็มากวนตีนเราอีกครั้ง

ล่าสุดแบบสด ๆ ร้อน ๆ มี เอกสารฉบับหนึ่ง ถูกเผยแพร่ออกมาโดยแอมเนสตี้เอง เอกสารนี้ชื่อว่า “PROTECT THE PROTEST - FLAGSHIP CAMPAIGN ON THE RIGHT TO PROTEST AND PEOPLE’S MOVEMENTS, OPERATIONAL PLAN JUNE 2022-DECEMBER 2023”

เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรน่ะเหรอ ข้อมูลชุดนี้คือ เอกสารที่แอมเนสตี้ได้กำหนดการแทรกแซงในหลายประเทศ โดยมีการกำหนดเป้าประสงค์ กำหนดวิธีการ และตั้งปฏิทินไทม์ไลน์ตั้งแต่กลางปี 2022 ไปจนถึงปลายปี 2023

และไทยก็เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ตกเป็นเป้าหมาย ในการปฏิบัติการเคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยในทุกโอกาส โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง ‘สิทธิเสรีภาพ’

นั่นหมายความว่า ทุกกลุ่มทุกก๊วนที่ออกมารวมตัวประท้วงช่วง APEC ก็อาจจะมีองค์กรอีแอบ หรือ แอมเนสตี้ ที่ช่วยสนับสนุนการเคลื่อนไหว เพราะตัวแอมเนสตี้ ร่างเป้าประสงค์ออกมาเองเลยว่า ต้องเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ทุกกลุ่มในการประท้วง แล้วพวก ‘เครือข่ายราษฎร’ และ ‘Amnesty International Thailand’ ก็ทำตามตำราของมันจริงๆ ด้วย

ฉะนั้น เครือข่ายคนรุ่นใหม่ กลุ่มทะลุแก๊ส ทะลุฟ้า ทะลุแก๊ซ เครือข่ายพีมงพีมู๊ฟ หรือราษฎรหยุด APEC 2022 ไม่ว่ามรึงจะใช้ชื่อบ้าบออะไรก็ตาม มาก่อม็อบป่วนการประชุม APEC ก็เชื่อได้ว่า มาจากการสนับสนุน จากองค์กรต่างชาติเหล่านี้แน่นวลจ้ะพี่จ๋า

ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด เกมหักเหลี่ยมเฉือนคม สะท้อนนิยาม 'การเมือง' ผลประโยชน์ที่ไม่เข้าใครออกใคร

เริ่มจากร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดที่เข้าสู่รัฐสภา เป็นการประชุมร่วมกันระหว่างส.ส. และส.ว. ได้เสนอมาตอนนั้นในร่างมาตรา 29 มันไม่มีคำว่า 'กัญชา' อยู่ตั้งแต่ร่างมาแล้ว ทั้งๆ ที่กัญชาประเภท 5 เป็นยาเสพติดที่ถูกให้ความสำคัญมาตลอด ในพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ

ต่อมารัฐสภาได้ทำการพิจารณาร่างประมวลกฎหมาย ยาเสพติด ซึ่งเสนอโดยรัฐบาล 
ในมาตรา 29 ประเภท 5 มันไม่มีคำว่า 'กัญชา' อยู่ ซึ่งมีคำว่าพืชฝิ่น กับเห็ดขี้ควาย 2 อย่างเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ประเภท 5 มันมีคำว่ากัญชา ยาฝิ่น กระท่อม แล้วก็ถอดกระท่อมออกเหลือ 2 อย่าง 

นายศุภชัย ใจสมุทร เฝ้าเกาะติด มาตรา 29 มาตลอด มีคนเสนอว่า ควรจะต้องมีคำว่ากัญชาด้วยไหม ในการประชุม นายศุภชัย ใจสมุทร เข้าร่วมประชุมด้วย บอกว่า ไม่ มันไม่มาตั้งแต่แรก นายศุภชัยเป็นรองประธาน ในเวลานั้น บอกว่าไม่ต้องมีคำว่ากัญชา นี่คือที่มาทั้งหมด 

>>พฤศจิกายน 2564
-รัฐสภาทำการพิจารณาแล้วเสร็จ จึงมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้หลังจากนั้นอีก 30 วัน

>>8 ธันวาคม 2564
-จุดเริ่มต้นของการปลดล็อกกัญชา
-ประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลใช้บังคับ โดยการลงมติเห็นชอบ พร้อมทั้ง ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นกัญชาไม่ได้เป็นยาเสพติดนับตั้งแต่วันที่ 8/12/2564 จนถึงปัจจุบัน

>>มกราคม 2565
-คณะกรรมการ ป.ป.ส.ได้มีการจัดประชุม คือตามกฎหมายมาตรา 29 กำหนดว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้ประกาศระบุประเภทของยาเสพติดแต่ละประเภท 

-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการป.ป.ส. ว่าสิ่งที่เป็นยาเสพติด คือ 1 คือ พืชฝิ่น 2 คือเห็ดขี้ควาย 3 คือสารสกัดจากกัญชา มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนาบินอล (tetrahydrocannabinol – THC) เกิน 0.2 % ที่ยังเป็นยาเสพติด

-พรรคภูมิใจไทย ขอให้มีการประกาศบังคับใช้ โดยมีการนับไปอีก 120 วัน ก็คือวันที่ 8 มิถุนายน 2565

-นายศุภชัย เสนอ จะต้องมีกฎหมายพ.ร.บ. กัญชา กัญชง มาอีกฉบับหนึ่ง 

-ที่ประชุมมอบให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฉบับร่างอยู่แล้ว นำฉบับร่างพ.ร.บของพรรคภูมิใจไทย ที่เกี่ยวกับการทำเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์นั้นมายื่น เพื่อให้ทันภายใน 120 วัน โดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ไปยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาเองโดยตรง 

-นายชวน หลีกภัย ประธานสภา พิจารณาบรรจุเข้ามาเป็นร่างพระราชบัญญัติต่อไปได้ และนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติรับรองให้ทันทีทันใด

>>9 มิถุนายน 2565
-วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 25 คน และทำการพิจารณากันจนแล้วเสร็จ ผ่านไป 19 วันมีการประชุมรัฐสภาอีกครั้ง ปรากฏว่า มีการเสนอเข้าที่ประชุมแล้ว การเปิดเสรีกัญชานั้นได้ถูกตีตก จากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติ ไม่ยอมให้กฎหมายผ่านมติการประชุม

-พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เข้าสู่วาระที่ 2  มีส.ส.จากพรรค ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ ยืนยันจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จน ณวันนี้สภาปิด พ.ร.บ.กัญชา ก็ค้างในสภา พรรคภูมิใจไทย เดินหน้าต่อ เพื่อจะทำกัญชาทางการแพทย์ตั้งแต่หาเสียง และเศรษฐกิจ จะไม่เอานันทนาการ พรรคภูมิใจไทย จะเอากัญชาทางการแพทย์เท่านั้น แต่โดนบิดเบือนจากพรรคการเมืองตรงข้ามพรรคภูมิใจไทย  

>>10 มิถุนายน 2565
-อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อกกัญชา ประชาชนได้อะไร” พร้อมแจกต้นกล้ากัญชา 1 พันต้น ณ จังหวัดบุรีรัมย์ 

>>16 มิถุนายน 2565
-กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ สธ. มีผลบังคับใช้วันที่ 17 มิ.ย 2565 เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 4, 44, 45(3), 45(4) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 กำหนดให้กัญชา หรือสารสกัดกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม

>>18 มิถุนายน 2565
-อนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แจง ประกาศ สธ. กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม มีผลตามกฎหมายแล้ว

การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กว่า 1 ปี ในช่วงแรกเน้นให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ ที่ได้มาตรฐานจากสถานพยาบาลใกล้บ้านกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ 

‘สาวจีน’ เข้าขอบคุณ ‘สนง.กฎหมายดีทีแอล’ ช่วยทวงความยุติธรรม หลังถูกสามีผลักตกหน้าผา หวังฮุบสมบัติ เมื่อ 5 ปีก่อน

(27 เม.ย. 67) คุณมัทนา มูลจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสำนักงานกฎหมายดีทีแอล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Matthana Moonjan’ ถึงกรณีหญิงนักท่องเที่ยวชาวจีน เข้ามาแสดงความขอบคุณที่เคยได้ช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย หลังรอดชีวิตจากการถูกสามีผลักตกหน้าผา โดยระบุว่า...

“ดีใจที่เขายังจำเราได้ และกลับมาขอบคุณเราอีกครั้ง เนื่องด้วยคดีนี้เราทำตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา ต่อสู้เอาความยุติธรรมมาให้เขาให้ได้มากที่สุด ๆ ตื้นตันมากที่เขากลับมาขอบคุณพร้อมทั้งมอบ ธงเชิดชูความดีให้กับทางสำนักกฎหมายดีทีแอลของเรา”

คุณมัทนา ระบุอีกว่า “วันนั้นกับสภาพจิตใจของคนต่างชาติที่ถูกกระทำแล้วไม่ไว้ใจใครเลย ระแวงไปหมดทุกอย่าง หาที่พึ่งไม่ได้ สุดท้ายมาขอความช่วยเหลือจากสำนักงานกฎหมายดีทีแอล เราทำให้เขาไว้ใจ ทำให้เขาอุ่นใจ ทำให้เขาสบายใจ และเชื่อมั่นกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกับเขาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลชั้นฎีกาสุดท้าย ได้ผลที่ตัวคุณหวางหนานเอง พอใจกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และชื่นชมกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยที่ให้ความยุติธรรมและช่วยเหลือเขา”

“ในครั้งนี้เขายังพูดอีกว่าสิ่งที่เขาอยากจะทำคืออย่าให้ข่าวสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอาไปแปดเปื้อนกับความดีของประเทศไทยที่มีอยู่ เพราะในประเทศไทยก็ยังมีความยุติธรรมและก็มีคนเชื่อถือได้ คนที่ช่วยเหลือคนที่มีจิตใจดีถึงทำให้เขาได้ความยุติธรรมมาจนถึงทุกวันนี้” คุณมัทนาระบุ

คุณมัทนาระบุทิ้งท้ายว่า “ยืนหยัดในการเรียกร้องชื่อเสียงของประเทศไทยในด้านบวกกลับขึ้นมา เพราะเราคือคนไทยคนหนึ่งและเป็นสิ่งเดียวที่เราคนไทยทุกคนสามารถช่วยกันทำได้” 

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน นางหวาง ชาวจีนจากเมืองเจียงซู ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนมาเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พร้อมกับนายยู เสี่ยวตง ผู้เป็นสามี เช้าวันที่ 9 มิ.ย. 2562 ได้พลัดตกหน้าผาอเล็กซานเดอร์มหาราช ความสูง 34 เมตร ลงไปถูกต้นไม้เบื้องล่าง ก่อนร่างกระแทกพื้น ทำให้กระดูกต้นขาซ้ายหัก กระดูกเข่าแตกทั้งสองข้าง แขนซ้ายหัก ไหปลาร้าซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ตาขวาช้ำ และมีบาดแผลตามใบหน้า ส่วนบุตรในครรภ์เสียชีวิตในเวลาต่อมา เพราะผลกระทบจากการที่นางหวางกินยาระหว่างรักษาตัว 

ทีแรกนางหวังยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกับสามี แต่ที่ตกลงไปเพราะหน้ามืดจากอาการตั้งครรภ์ ขณะที่นายยูอ้างว่าได้แยกตัวไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็ไม่พบภรรยา และได้ยินเสียงรถพยาบาล จึงตามมาดูและรู้ว่าภรรยาตกลงไปแล้ว

แต่ภายหลังนางหวางให้การกับตำรวจว่า นายยู สามีตั้งใจจะฆ่าโดยผลักตกมาจากหน้าผาเพราะหวังจะฮุบสมบัติ แต่ที่ไม่บอกแต่แรกเนื่องจากเกรงว่าสามีจะทำร้ายตนและลูกในท้อง และยังให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนอย่าง เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ระบุว่า ระหว่างที่ยืนบนหน้าผา นายยูค่อย ๆ หอมแก้ม นางหวังหลับตาเคลิ้ม ก่อนที่นายยูจะกล่าวว่า "ลงนรกไปซะ" แล้วผลักนางหวังลงจากหน้าผา ที่ผ่านมานายยูแสร้งทำเป็นร่ำรวย แต่กลับสร้างหนี้สินมากมายเพราะติดการพนัน เคยให้นางหวางช่วยใช้หนี้ 2 ล้านหยวน แต่นางหวางให้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้หามาเอง เพื่อนเคยเตือนให้ระวังตัว แต่ด้วยรักและไว้ใจจึงมาเที่ยวด้วยกัน

‘กมธ.อุตฯ’ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา ยัน!! มีนักลงทุนไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมายไทย

กมธ.อุตฯ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา หนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด สร้างแพลตฟอร์มเพื่อหนุนการใช้ซัพพลายเชนของไทย จ่อหารือพาณิชย์ก่อนรับจดทะเบียนบริษัทจีน ต้องมีใบรับรองจากสถานทูตจีน

(16 พ.ค.67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ กับ นางสาวจาง เซียวเซียว (Ms. Zhang Xiaoxiao) อุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมว่า ในการหารือครั้งนี้ ได้เน้นในเรื่องของการสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างสถานทูตจีนกับคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ซึ่งจะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันในการค้าการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ทางฝ่ายจีนได้ขอให้ไทยสนับสนุนการสร้างซับพลายเชน เพื่อให้จีนและไทยได้มีโอกาสสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งเป็นความต้องการของไทย เพราะปัจจุบันนักลงทุนของจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังมีการใช้ทรัพยากรในไทยค่อนข้างน้อย จึงเป็นไปตามความคิดเห็นร่วมกันที่ทั้ง 2 ฝ่าย เสริมสร้างการลงทุนด้วยการ สร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาในการใช้ซับพลายเชนของไทยมากขึ้น

นายอัครเดช บอกอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลจีน ยังต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเพิ่มเติม ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ปัจจุบันนี้ พลังงานสะอาดยังมีส่วนที่ต่ำอยู่เพียง 10% โดยรัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาดมากขึ้น ถือว่าจะช่วยลด PM 2.5 ในไทยด้วย

ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้หารือในเรื่องของแรงงาน โดยต้องการให้มีการเพิ่มความสะดวกในการขยาย หรือขอใบอนุญาตการทำงานของผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งเครื่องจักร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันนี้ใบอนุญาต จะต้องใช้เวลาในการขอค่อนข้างนาน โดยตนได้รับเรื่องมาปรึกษากับทางกรรมาธิการแรงงานและกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้การค้า การลงทุนราบรื่นมากยิ่งขึ้น

“นักลงทุนจากจีน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการลงทุน ที่สามารถจะพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีนักลงทุนเพียงไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมาย โดยจะได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน ในการส่งข้อมูลของนักลงทุนจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ให้ทางการจีนได้รับทราบ เพื่อร่วมกันควบคุม” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช บอกต่อว่า ในส่วนของนักลงทุนจีนที่มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎหมายไทยที่มีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมจะสนับสนุนให้มีการลงทุนมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจดทะเบียนการค้า โดยต่อไปจะให้มีการไปรับทราบนโยบายของทางสถานทูตจีนก่อน ซึ่งตนจะเชิญกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เข้าหาหรือว่าก่อนจะรับจดทะเบียนนักลงทุนจากทางจีน จะต้องมีการขอใบแนะนำหรือใบส่งตัวจากทางสถานทูตจีน เพื่อให้กรมธุรกิจการค้าพิจารณาก่อนรับจดทะเบียน เพื่อเป็นการควบคุมนักธุรกิจจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย จะทำให้การค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศราบรื่นมากยิ่งขึ้นในอนาคต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top