Tuesday, 22 April 2025
VIETNAM

‘เหวียน ฝู จ่อง’ บุคคลทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดในเวียดนาม เข้าสู่ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นสมัยที่ 3 แล้ว ตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มตัวอีก 24 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2588)

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

สามสมัยเสถียรภาพทางการเมืองเวียดนาม

เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม วัย 76 ปี หนึ่งในผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศในรอบหลายทศวรรษ ผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบของพรรคที่กำหนดให้ผู้ที่มีอายุเกินกว่า 65 ปี ควรเกษียณอายุ

จากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคในกรุงฮานอย ที่ผู้แทนพรรค 1,600 คน จากทั่วประเทศ เพื่อเลือกทีมผู้นำคนใหม่ ในเป้าหมายที่จะสนับสนุนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศและความชอบธรรมของการปกครองของพรรค

…เขา ก็ ได้รับเลือกในสมัยที่สาม หลังได้รับคัดเลือก เขากล่าวว่า

"เวียดนามจะตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มตัวภายในปี 2588 และการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง "

เป้าหมายที่สูงลิ่วในช่วงปี 2564 - 2568 นี้ มีขึ้นในขณะที่เวียดนามกำลังรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน เครื่องเตือนใจว่าความสำเร็จในอนาคต อย่างน้อยที่สุดในระยะสั้น ขึ้นอยู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส

แม้จะเกิดการระบาด แต่ในเดือน ม.ค. กิจการในเครือของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยีจากไต้หวัน ได้รับใบอนุญาตการลงทุนมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์ในประเทศ ที่บริษัทกำลังย้ายฐานประกอบ iPad และ MacBook จากจีน

ขณะเดียวกันผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกันอย่างบริษัทอินเทล ระบุว่า ได้เพิ่มการลงทุนในเวียดนามอีก 475 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์

การเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 2.9 ในปีก่อน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหลายประเทศในโลก แต่สำหรับเวียดนามแล้วนับเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ที่เป็นผลจากมาตรการการกักตัวที่เข้มงวด การปิดพรมแดน และมาตรการการต่อต้านไวรัสต่างๆ

เวียดนาม จะมุ่งเน้นในมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเติมเต็มองค์ประกอบของเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม และจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและตลาดและสังคมให้ดียิ่งขึ้น จะขับเคลื่อนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นกิจการที่ดำเนินงานในพื้นที่ที่เห็นว่ามีความสำคัญสำหรับความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

จะเปลี่ยนความสนใจในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากปริมาณไปสู่คุณภาพ โดยมุ่งเน้นในเรื่องความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม หลายสิบปีของการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างแข็งแกร่ง ที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการแรงงานมากและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เวียดนามจะไม่อนุมัติโครงการที่มีเทคโนโลยีล้าสมัย และเสี่ยงก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

เวียดนามให้สอนกอล์ฟเป็นวิชาพละ เรียนฟรี อุปกรณ์ฟรี มีโปรมาสอน

(21 พ.ย.67) โรงเรียนประถม To Vinh Dien ในฮานอย จะถือเป็นโรงเรียนรัฐแห่งแรกในเวียดนามที่มีการสอนกอล์ฟเป็นวิชาพื้นฐานในวิชาพละ โดยการสอนจะเริ่มต้นกับนักเรียนจำนวน 850 คน ช่วงต้นปีหน้า

Ha Ngoc Lan ผู้อำนวยการโรงเรียนประถม To Vinh Dien กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับศูนย์ส่งเสริมและพัฒนากอล์ฟเวียดนาม และสมาคมกอล์ฟเวียดนาม รวมถึงองค์กรอื่น ๆ โดยนักเรียนทั้งหมด 857 คนในโรงเรียนจะได้รับการเรียนกอล์ฟฟรี และจะมีอุปกรณ์กอล์ฟให้ใช้งาน

ผู้อำนวยการโรงเรียนประถม To Vinh Dien เปิดเผยว่า เธอต้องการให้นำกีฬากอล์ฟมาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรเพราะมันเป็นกีฬานานาชาติ ซึ่งเธอต้องการบุกเบิกในเรื่องนี้เพราะถือเป็นโรงเรียนรัฐแห่งแรกในเวียดนามที่ดำเนินการสอนกอล์ฟในวิชาพละ

"กอล์ฟไม่เพียงแต่พัฒนาความสามารถทางร่างกายของนักเรียน แต่ยังช่วยพัฒนาคุณสมบัติที่สำคัญ เช่น ความอดทน วินัย และสมาธิ"

โรงเรียนจะเริ่มสอนกอล์ฟตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงสิ้นปีการศึกษาในช่วงฤดูร้อน จากนั้นโรงเรียนจะประเมินผลการดำเนินโครงการ รับความคิดเห็นจากผู้ปกครองและนักเรียน และวางแผนสำหรับปีการศึกษาถัดไป

นาย Vu Anh Long ผู้อำนวยการโครงการพัฒนากอล์ฟเยาวชน R&A-VGA กล่าวว่ามีโรงเรียนโตวินห์เดียนเป็นโรงเรียนที่สองในเวียดนามหลังจากโรงเรียน Alpha ในกรุงฮานอย และเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการนี้ "เป้าหมายคือการทำให้กอล์ฟเป็นที่นิยมและเผยแพร่คุณค่าด้านการศึกษา รวมถึงการค้นหาดาวรุ่งที่มีความสามารถพัฒนาเป็นโปรมืออาชีพในอนาคต" Long กล่าว

เวียดนามอนุมัติสร้างรถไฟความเร็วสูงสายแรก เชื่อมฮานอย-โฮจิมินห์ คาดเสร็จใน 11 ปี

(2 ธ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สภาแห่งชาติเวียดนาม ชุดที่ 15 ได้ลงมติผ่านนโยบายการลงทุนโครงการทางรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ มูลค่ารวม 1.7 พันล้านล้านดอง (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) เมื่อวันเสาร์ (30 พ.ย.) ที่ผ่านมา

โครงการข้างต้นมีวงจรงบประมาณระยะกลาง 3 รอบ ได้แก่ รอบปี 2564-2568 รวม 5.38 แสนล้านดอง (ราว 725 ล้านบาท) รอบปี 2569-2573 รวม 841.7 ล้านล้านดอง (ราว 1.13 พันล้านบาท) และรอบปี 2574-2578 รวม 871.3 ล้านล้านดอง (ราว 1.17 พันล้านบาท)

ทางรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ของเวียดนามจะมีระยะทางรวม 1,541 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสถานีหง่อกโห่ยในกรุงฮานอย ตัดผ่าน 20 เมืองและจังหวัด และสิ้นสุดที่สถานีถูเตี๊ยมในนครโฮจิมินห์ซิตี

หวู่ ฮง แท็ง ประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจประจำสภาฯ กล่าวว่า โครงการนี้มีความเป็นไปได้ในบริบทปัจจุบันของเวียดนาม หลังจากเตรียมงานและศึกษาต้นแบบรถไฟความเร็วสูงทั่วโลกมานาน 18 ปี

บุกซื้อกิจการ-ลงทุน เวียดนามต่อเนื่อง 10 เดือนแรกปีนี้ ทุ่มแล้วกว่า 4,800 ล้านบาท

(2 ธ.ค. 67) สำนักข่าวบีบีซีภาคภาษาเวียดนาม รายงานว่าบรรดานักวิเคราะห์บางส่วนกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของบรรดามหาเศรษฐีนักลงทุนจากไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบว่าตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทกลุ่มทุนใหญ่จากไทยหลายรายแห่เข้าไปลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บีบีซีระบุว่า ช่วงเดือนกันยายน 2024 รัฐบาลเวียดนามและไทยประกาศแผนปฏิบัติการภายใต้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง เพื่อผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้ถึง 25,000 ล้านดอลลาร์  ข้อมูลจากกระทรวงแผนและการลงทุนเวียดนามเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 มีนักลงทุนไทยลงทุนในเวียดนามกว่า 141.42 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,800 ล้านบาท) ทำให้ไทยอยู่อันดับที่ 15 จาก 106 ประเทศที่นิยมลงทุนในเวียดนาม  

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา บริษัท WHA ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเวียดนามให้ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดทัญฮว้า ด้วยเงินทุน 55 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน บริษัททานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาเช่าโรงงานในเตยนินห์เป็นเวลา 30 ปี  

ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เวียดนามรับเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากกลุ่มทุนไทยที่มักใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการในเวียดนามเพื่อทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เช่น ช่น บริษัท SCBX เข้าซื้อ Home Credit Vietnam ในราคา 860 ล้านดอลลาร์ และ SCG ลงทุนในโครงการปิโตรเคมี Long Son มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์  ทั้งยังถือหุ้นอีก 55% ในบริษัท Binh Minh Plastic หนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกพลาสติกรายใหญ่ของเวียดนาม

ขณะที่ภาคธุรกิจอาหารและค้าปลีก ในปี 2015 กลุ่ม  Central Group ขยายการลงทุนในเวียดนามกว่า 1.45 พันล้านดอลลาร์ และดำเนินธุรกิจค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีก 41 แห่งทั่วเวียดนาม เช่น Big C และ อีคอมเมิร์ซ Nguyễn Kim และในปีเดียวกันนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบิ๊กซีเวียดนามจากกลุ่มคาสิโน (ฝรั่งเศส) ด้วยมูลค่าข้อตกลงมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2017 กลุ่มไทยเบฟเวอเรจของมหาเศรษฐีเจริญ สิริวัฒนภักดีใช้เงินเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อบริษัท Saigon Beer Alcohol Beverage Corporation (Sabeco) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 54% เช่นเดียวกับบริษัทในเครือสองแห่งของ Fraser & Neave Ltd. (F&N) ในเครือของเจ้าสัวเจริญ  ปัจจุบันถือหุ้นมากกว่า 20% ใน Vinamilk ผู้ผลิตนมสัญชาติเวียดนาม 

เช่นเดียวกับกลุ่ม TCC Group ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ดำเนินงานในภาคการค้าปลีก ในปี 2016 ได้ทุ่มเงิน 655 ล้านยูโรเพื่อซื้อกิจการค้าส่ง Metro Cash & Carry Vietnam ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น MM Mega Market ขณะที่บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส แห่งประเทศไทย ถือหุ้นประมาณ 98% ใน Ngoc Nghia Plastic

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเข้าซื้อกิจการของกลุ่มบริษัทไทยในภาคการผลิตและการค้าส่งของเวียดนาม อาจทำให้บริษัทเวียดนามเสียเปรียบในตลาด อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่านี่เป็นแนวโน้มปกติของโลกธุรกิจที่บริษัทเวียดนามต้องพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งขันต่อไป  อีกทั้งมีความเห็นในแนวโน้มที่ว่า การเข้ามาของทุนใหญ่ไทยเป็นสถานการณ์ทางธุรกิจแบบ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตามโลกทุนยิม ซึ่งบริษัทท้องถิ่นในเวียดนามมีทางเลือกไม่มากนอกจากต้องหาทางดิ้นรนด้วยตนเองในแบบเท่าที่จะทำได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top