Monday, 21 April 2025
USELECTION

'ทรัมป์' ลั่นสร้างยุคทองของอเมริกา ประกาศชัยชนะเหนือแฮร์ริส คว้าเก้าอี้ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47

(6 พ.ย.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังผลการนับคะแนนเบื้องต้นชี้ว่า เขาในฐานะผู้สมัครจากพรรครีพับลิกกันมีคะแนนนำนางกมลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตแบบทิ้งห่างกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยนายทรัมป์ได้กวาดคะแนนเสียงในรัฐสำคัญทั้ง จอร์เจีย เพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา และฟลอริด้า ได้ทั้งหมด ทำให้คามาลา แฮร์ริส แคนดิเดตพรรคเดโมแครตเหลือโอกาสน้อยลงทุกทีในการคว้าชัยชนะ เนื่องจากขณะนี้ทรัมป์มีคะแนนนำในสะวิงสเตตอีก 3 รัฐที่เหลือ ขณะที่คะแนนรวมขณะนี้อยู่ที่ 195 ต่อ 266 เรียกได้ว่าทรัมป์ใกล้คว้าชัยเต็มทีที่ต้องการคะแนน 270 เสียง

ในการขึ้นเวทีอ้างชัยชนะ นายทรัมป์กล่าวกับบรรดาผู้สนับสนุนเขาที่มารวมตัวกันที่ศูนย์ประชุมปาล์มบีช เคาน์ตี้ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ในรัฐฟลอริดา ว่า

“ผมขอขอบคุณประชาชนชาวอเมริกันสำหรับเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 และประธานาธิบดีคนที่ 45 ของท่าน” ทรัมป์กล่าวต่อผู้สนับสนุนที่ศูนย์ประชุมในเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา โดยมีครอบครัวและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทีมหาเสียงของเขายืนเคียงข้าง

“เราจะช่วยเยียวยาประเทศของเรา … เราจะแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศของเรา” ทรัมป์กล่าว และเสริมว่า “เราสร้างประวัติศาสตร์ในค่ำคืนนี้เพื่อเหตุผลบางอย่าง … นี่จะเป็นยุคทองของอเมริกาอย่างแท้จริง”

ในระหว่างที่นายทรัมป์กล่าวปราศรัย เขายังได้กล่าวยกย่องนายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เจ้าของเทสลา และสเปซเอ็กซ์ ที่ทุ่มเงินราว 120 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนการหาเสียงของนายทรัมป์ โดยนายทรัมป์กล่าวว่า เขาจะแต่งตั้งนายทรัมป์ให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการด้านประสิทธิภาพของรัฐบาล

Foxnews สื่อสายอนุรักษนิยมถือเป็นสื่อแรกที่ออกมาประกาศว่าทรัมป์เป็นผู้คว้าชัยและจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 และเป็นบุคคลที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ที่ไม่ต่อเนื่องกัน

ด้านสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าแฮร์ริสจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้สนับสนุนของเธอในคืนวันอังคารที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดในวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเธอเป็นศิษย์เก่า แต่แฮร์ริสเลือกตัดสินใจที่จะไม่กล่าวสุนทรพจน์ในวันดังกล่าว และจะเลื่อนไปกล่าวสุนทรพจน์ในวันพุธแทนเพื่อรอความชัดเจนของผลคะแนน

รัสเซียชูไอเดีย 'รีเซ็ตการทูต' ฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ หลังทรัมป์ชนะ

(6 พ.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นาย Kirill Dmitriev ผู้บริหารกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย ซึ่งใกล้ชิดทำเนียบเครมลินกล่าว ว่า โอกาสใหม่ๆ ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกและวอชิงตันได้เปิดขึ้นแล้ว หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติบั่นทอนลงอย่างมากในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่สงครามขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ปะทุขึ้นในปี 2022 ทำให้ความสัมพันธ์ของวอชิงตันกับมอสโกย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 1962

Dmitriev กล่าวว่า ชัยชนะของทรัมป์และพรรครีพับลิกันทั้งในทำเนียบขาวและวุฒิสภาสะท้อนว่าคนอเมริกันทั่วไปเบื่อหน่ายกับการโกหก ความไร้ความสามารถ และความอาฆาตพยาบาทที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของรัฐบาลไบเดน

Dmitriev  อดีตนายธนาคารโกลด์แมนแซคส์ ซึ่งเคยมีสายสัมพันธ์กับทีมงานของทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า “นี่เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการรีเซตความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ” 

ทั้งนี้ ในปี 2009 ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในขณะนั้น เคยเสนอแนวคิดการ "รีเซ็ต" ความสัมพันธ์กับมอสโก แต่เนื่องจากข้อผิดพลาดในการแปลที่ชัดเจน ประกอบกับสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นการผนวกดินแดนไครเมีย ทำให้การรีเซ็ตความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และบารัค โอบามา ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร

ผู้นำนานาชาติร่วมยินดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' คัมแบ็คปธน.สหรัฐ

(6 พ.ย. 67) ภายหลังที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ประกาศชัยชนะในศึกการเลือกตั้งเหนือนางกมลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคแดโมแครต ซึ่งนับเป็นการหวนคืนกลับทำเนียบขาวอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 4 ปี

บรรดาผู้นำจากหลากหลายประเทศเริ่มส่งข้อความแสดงความยินดีแก่นายทรัมป์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม อาทิ

โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน โพสต์ข้อความบน X ว่า "ย้อนกลับไปเดือนกันยายน ตอนที่ผมพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างยูเครนและสหรัฐ  แผนแห่งชัยชนะ และวิธียุติการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

ผมชื่นชมความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อแนวทางสันติภาพด้วยความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นหลักการนำสันติภาพอันแท้จริงมาสู่ยูเครน เรามองเห็นยุคสมัยแห่งความเข้มแข็งภายใต้ภาวะผู้นำอันเด็ดขาดของประธานาธิบดีทรัมป์ และยูเครนยังคงพึ่งพาการสนับสนุนทวิภาคีอันเข้มแข็งจากสหรัฐต่อไป
เราทั้งสองชาติยังคงสนใจที่จะพัฒนาผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจร่วมกัน ยูเครนในฐาน

ที่เป็นหนึ่งในกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของยุโรป ให้คำมั่นว่าจะรักษาความสงบสุขและความมั่นคงในยุโรป ชุมชนพันธมิตรลุ่มสมุทรแอตแลนติกต่อไป หากยังมีการสนับสนุนจากพันธมิตร"

เบนจามิน เนทันยาฮู  นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า “ถึง โดนัลด์ และเมลาเนีย ทรัมป์ ขอแสดงความยินดีกับการหวนคืนทำเนียบขาวครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอเมริกาและคำมั่นสัญญาอันทรงพลังต่อพันธมิตรอันยิ่งใหญ่ระหว่างอิสราเอลและอเมริกา ”

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย โพสต์ข้อความบน X แสดงยินดีกับทรัมป์ว่า “ขอแสดงความยินดีอย่างสุดหัวใจเพื่อนของผม @realDonaldTrump สำหรับชัยชนะการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของคุณ”

เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ส่งสารแสดงความยินดีมีใจความว่า "ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของทรัมป์ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี ผมรอคอยที่จะได้ร่วมทำงานกับคุณไปอีกหลายปีต่อจากนี้

ในฐานะพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด เราเคียงบ่าเคียงไหล่กันเพื่อปกป้องคุณค่าที่เรายึดถือร่วมกัน ทั้งเสรีภาพ ประชาธิปไตย และกิจการสำคัญต่างๆ ผมรู้ว่าสหราชอาณาจักรและสหรัฐจะยังคงเจริญไมตรีของทั้งสองฟากฝั่งของแอตแลนติกต่อไปอีกหลายปีจากนี้”

เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส โพสต์ว่า “ขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมที่จะทำงานร่วมกันเหมือนอย่างที่รู้ดีว่าจะทำอย่างไรในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อมั่นของคุณกับผม ด้วยความเคารพและความทะเยอทะยาน เพื่อสันติภาพและเจริญมากขึ้น”

จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีหญิงของอิตาลี ระบุผ่านโพสต์ว่า ขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อิตาลีและสหรัฐฯถือเป็นพันธมิตรที่มั่นคง มันเป็นสายสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งฉันมั่นใจว่าเราจะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัสเซียโพสต์ทางบัญชีเทเลแกรมว่า “ทรัมป์ มีคุณสมบัติหนึ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับเรา เขาเป็นนักธุรกิจโดยแก่นแท้ เขาไม่ชอบใช้จ่ายเงินให้กับพวกคนสอพลอ พันธมิตรสอพลอ โครงการการกุศลที่ไม่ดี และพวกองค์กรระหว่างประเทศที่โลภมาก”

ทั้งนี้ นายทรัมป์ วัย 78 ปี เคยกล่าวให้คำมั่นในหลายครั้งว่า เขาจะยุติสงครามในยูเครนอย่างรวดเร็วหากได้รับการเลือกตั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อธิบายว่าเขาจะทำได้อย่างไรก็ตาม

อเมริกันหาทางย้ายประเทศ!!! หลังทรัมป์คัมแบ็กทำเนียบขาว หาข้อมูล 'แคนาดา-ออสเตรเลีย' พุ่ง

(8 พ.ย.67) หลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาออกมาชัดเจนว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในสมัยที่ 2 ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ

ข้อมูลจากบริษัทกูเกิลเผยว่า การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการย้ายไปแคนาดาเพิ่มขึ้นถึง 1,270 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ ขณะเดียวกัน การค้นหาคำว่า 'ย้ายไปนิวซีแลนด์' เพิ่มขึ้นเกือบ 2,000 เปอร์เซ็นต์ และ 'ย้ายไปออสเตรเลีย' เพิ่มขึ้น 820 เปอร์เซ็นต์

เจ้าหน้าที่กูเกิลระบุว่า ในช่วงค่ำของวันพุธ การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการย้ายไปทั้ง 3 ประเทศนี้ทำสถิติสูงสุด ขณะที่เว็บไซต์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนิวซีแลนด์พบว่า มีผู้ใช้งานใหม่เข้าล็อกอินจำนวน 25,000 คนในวันที่ 7 พฤศจิกายน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 1,500 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ทนายความด้านการเข้าเมืองยังเผยว่าได้รับคำถามเกี่ยวกับการย้ายประเทศมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ความสนใจในการย้ายประเทศนี้มีลักษณะคล้ายกับเมื่อครั้งที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 โดยชาวอเมริกันหลายคนกังวลเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ สิทธิในเรื่องเพศ และการศึกษาของเด็ก ๆ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียเสรีภาพที่อาจเกิดขึ้นในสมัยที่เขากลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง

ย้ายประเทศหลังทรัมป์คัมแบ็ก ยกย่อง 'วัฒนธรรม-การแพทย์' โดดเด่น

(13 พ.ย. 67) หลังการเลือกตั้ง สหรัฐฯ พบกระแสการย้ายถิ่นฐานในกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกันที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน 10 ประเทศยอดนิยมที่พวกเขาต้องการย้ายไปมากที่สุด

บริษัท Henley & Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อขอพลเมืองและถิ่นพำนักในต่างประเทศ สำหรับบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals) รายงานว่า ความต้องการหนังสือเดินทางที่สองหรือการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยในครั้งนี้หลายคนได้เริ่มดำเนินการจริง

Dominic Volek หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners เผยว่า ขณะนี้ชาวอเมริกันที่มีฐานะมั่งคั่งได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วน 20% ของธุรกิจบริษัท และเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน

David Lesperance ผู้บริหาร Lesperance and Associates ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ติดต่อเขาเพื่อเตรียมโยกย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

การสำรวจจาก Arton Capital พบว่า 53% ของเศรษฐีชาวอเมริกันมีแนวโน้มย้ายออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง โดยเศรษฐีวัยหนุ่มสาวสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่ง 64% สนใจโปรแกรมถิ่นพำนักผ่านการลงทุนในต่างประเทศ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศน่าลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยข้อมูลจาก Henley & Partners ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนเพื่อขอวีซ่าผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นประมาณ 900,000 บาท หรือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าระยะยาว

ในกลุ่มประเทศยอดนิยมที่เศรษฐีอเมริกันสนใจย้ายไป ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส โดยใน 25 อันดับแรกยังมีประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (อันดับ 21), ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22), ไทย (อันดับ 23), สิงคโปร์ (อันดับ 28), เวียดนาม (อันดับ 29) และอินโดนีเซีย (อันดับ 33)

เหตุผลหลักในการเลือกประเทศใหม่ คือ "วัฒนธรรม" ตามด้วย "โอกาสการทำงาน" และ "ระบบเฮลท์แคร์" โดยมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ภาษี" และ "ระบบการศึกษา" อยู่ที่ประมาณ 3%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top