Monday, 21 April 2025
Ukraine

โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงประเด็นให้การสนับสนุนยูเครนเพื่อสู้ศึกรัสเซีย

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขายังคงต้องการบรรลุข้อตกลงกับยูเครนในการสนับสนุนสู้ศึกรัสเซียแต่ต้องเป็นภายใต้เงื่อนไขที่ยูเครน ต้องอนุมัติการเข้าถึงแร่หายาก  (Rare Earth) ภายในประเทศ

ขณะผู้คุยกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์กล่าวว่า ที่ผ่านมาสหรัฐส่งความช่วยเหลือยู่เครนทางด้านการททหารและเศรษฐกิจมากกว่าประเทศพันธมิตรใดๆ ในยุโรป พร้อมเสริมว่า “เรากำลังมองหาข้อตกลงที่ยูเครนจะจัดหาแร่ธาตุหายากและทรัพยากรอื่น ๆ ให้แก่เรา”  

เขายังเผยว่า ทางการยูเครนแสดงความพร้อมที่จะทำข้อตกลงเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง  

“ผมต้องการให้แน่ใจว่าเรามีแร่ธาตุหายากอย่างเพียงพอ เรามีงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยูเครนมีทรัพยากรเหล่านี้ในปริมาณมาก และพวกเขายินดีที่จะร่วมมือกับเรา” ทรัมป์กล่าว  

แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คำมั่นว่าจะเร่งยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ทรัมป์ระบุว่าการเจรจากำลังดำเนินไป โดยกล่าวว่า “เรามีความคืบหน้าอย่างมากในเรื่องรัสเซียและยูเครน รอดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยุติสงครามที่ไร้เหตุผลนี้ให้ได้”  

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ย้ำเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ว่า การเจรจาใด ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่ไม่มียูเครนอยู่ในวงหารือถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้  

“พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ในแบบของตนเอง แต่หากจะพูดถึงยูเครนโดยไม่มีเรา นั่นเป็นอันตรายสำหรับทุกฝ่าย” เซเลนสกีกล่าว  

ทั้งนี้ เขาระบุว่าทีมงานของเขาได้มีการติดต่อกับรัฐบาลทรัมป์แล้ว แต่เป็นเพียงการหารือในระดับเบื้องต้น และคาดว่าจะมีการพบปะกันโดยตรงในเร็ว ๆ นี้เพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงต่อไป

โสมใต้เผยคิมสั่งถอนทหารพ้นแนวหน้ายูเครน หลังสูญเสียหนัก ดับ-เจ็บนับพัน

(5 ก.พ. 68) หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ทหารเกาหลีเหนือได้ถอนตัวออกจากแนวหน้าการสู้รบในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซียเรียบร้อยแล้ว หลังจากปฏิบัติภารกิจสนับสนุนกองทัพรัสเซียเพื่อสู้ศึกยูเครนมาหลายเดือน

สำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ (NIS) รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ากองกำลังเกาหลีเหนือยังคงมีบทบาทในพื้นที่สู้รบทางตะวันตกของรัสเซีย หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่การถอนกำลังคือการสูญเสียทหารจำนวนมากจากการปะทะกับยูเครน

ก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นเดือนมกราคม NIS ได้แจ้งต่อรัฐสภาเกาหลีใต้ว่า มีรายงานการเสียชีวิตของทหารเกาหลีเหนือประมาณ 300 นาย และบาดเจ็บอีกกว่า 2,700 นายจากการสู้รบในภูมิภาคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของทหารที่ได้รับบาดเจ็บว่าพวกเขาได้รับการรักษาหรือถูกส่งตัวไปยังพื้นที่ปลอดภัยอื่น

หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของการถอนกำลังครั้งนี้ โดยข้อมูลล่าสุดสอดคล้องกับรายงานจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพยูเครน ซึ่งระบุว่า ไม่พบความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพเกาหลีเหนือในภูมิภาคเคิร์สก์ตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวด้านความมั่นคงจากชาติตะวันตกเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการเข้าร่วมปฏิบัติการรบในรัสเซีย เกาหลีเหนือสูญเสียทหารไปแล้วราว 4,000 นาย จากกำลังพลที่ถูกส่งไปทั้งหมดประมาณ 11,000 นาย ซึ่งการสูญเสียนี้รวมถึงทหารที่เสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย และถูกจับเป็นเชลยศึก โดยมีการประเมินว่า ทหารที่เสียชีวิตมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 นายจนถึงกลางเดือนมกราคม

ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษ โดยกล่าวว่าหากยูเครนไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้ ประเทศพันธมิตรตะวันตกควรจัดหาแนวทางรับประกันความมั่นคงของยูเครนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบขีปนาวุธ งบประมาณด้านการทหาร หรือแม้แต่การส่งกำลังทหารเข้ามาช่วยดูแลพื้นที่

นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังยืนยันว่าพร้อมเปิดการเจรจากับรัสเซีย หากการพูดคุยสามารถนำไปสู่การยุติสงครามและลดการสูญเสียชีวิตของประชาชน

ยูเครนยอมรับแพ้รัสเซียแน่ หากสหรัฐระงับความช่วยเหลือ

(7 ก.พ.68) โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ยอมรับว่าสถานการณ์ของประเทศอาจย่ำแย่ลงอย่างมาก หากสหรัฐฯ ยุติการให้ความช่วยเหลือทางทหารและการเงิน

คำกล่าวของเซเลนสกีมีขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ต่อยูเครน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งระงับโครงการสนับสนุนเงินทุนสำหรับต่างประเทศเกือบทั้งหมด

สำนักข่าว RT ของรัสเซียรายงานว่า สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนหลักของยูเครนตั้งแต่เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ระบุว่าสหรัฐฯ ได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนยูเครน อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีโต้แย้งว่าตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 76,000 ล้านดอลลาร์

ระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เซเลนสกียืนยันว่าความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในขณะนี้ยังคงดำเนินต่อไปและยังไม่ถูกระงับ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กล่าวถึงแนวโน้มของมาตรการช่วยเหลือในอนาคต

“ผมไม่อยากคิดเลยว่าหากเราไม่ได้รับการสนับสนุนต่อไป สถานการณ์จะเป็นอย่างไร” เซเลนสกีกล่าว “แน่นอนว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการป้องกันประเทศของเราอย่างรุนแรง และผมไม่มั่นใจว่าเราจะสามารถรับมือได้หรือไม่”

ทรัมป์เปิดปาก!! บอกบางส่วนของยูเครนอาจรวมกับรัสเซีย มอสโกชี้ช่องประชาชนลงประชามติหนุนเข้าร่วม

(11 ก.พ.68) โฆษกของเครมลิน ดมิทรี เปสคอฟ กล่าวเมื่อวันอังคารว่า พื้นที่ส่วนสำคัญของยูเครนต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และเป็นข้อเท็จจริงที่ประวัติศาสตร์ได้ยืนยันแล้ว

คำพูดของโฆษกรัสเซียมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวว่า ยูเครนควรรับประกันความปลอดภัยของเงินทุนจากสหรัฐฯ ที่ได้ลงทุนในประเทศนี้ เพราะบางส่วนอาจจะกลายเป็นรัสเซียในอนาคต หรืออาจจะไม่เป็นรัสเซียในวันข้างหน้าก็ย่อมได้

เรื่องดังกล่าวทางด้านโฆษกรัสเซียออกมาแถลงว่า "มันเป็นข้อเท็จจริงที่ส่วนสำคัญของยูเครนต้องการที่จะเป็นรัสเซีย และได้กลายเป็นรัสเซียแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงบนโลกนี้ ด้วยการที่มีการเข้าร่วมในสหพันธรัฐรัสเซียในสี่ภูมิภาคใหม่ ซึ่งประชาชนที่แม้จะต้องเผชิญกับอันตรายมากมายก็ยังยืนเข้าแถวและลงประชามติในการเข้าร่วมสหพันธรัฐรัสเซีย คำพูดดังกล่าวสอดคล้องกับคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอย่างมาก"

เปสคอฟยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีการลงประชามติ ปรากฏการณ์ใด ๆ อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความน่าจะเป็น 50/50

"คุณรู้ไหมว่า ปรากฏการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นได้ด้วยความน่าจะเป็น 50% อาจเป็นใช่หรือไม่ใช่ ผมไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่านี้" เปสคอฟกล่าว

สหรัฐฯ หยุดแบ่งปันข่าวกรอง ‘รัสเซีย’ ให้ ‘ยูเครน’ แต่ ‘ทรัมป์’ อาจหวนช่วยหากมีการเจรจาสันติภาพ

(6 มี.ค. 68) สำนักข่าว The Guardain รายงานว่า สหรัฐอเมริกาได้หยุดให้ข้อมูลข่าวกรองแก่ยูเครน หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์สั่งระงับการช่วยเหลือทางทหารเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และนี่ถือเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ต่อยูเครนในสงครามกับรัสเซีย 

เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่ให้ข้อมูลเป้าหมายภายในรัสเซียอีกต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการโจมตีด้วยโดรนระยะไกล รวมถึงการติดตามเครื่องบินทิ้งระเบิด และขีปนาวุธของรัสเซีย

มีรายงานขัดแย้งกันว่า การระงับนี้รวมถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียในพื้นที่ยึดครองของยูเครนหรือไม่ แหล่งข่าวรายหนึ่งบอกว่า สหรัฐฯ 'หยุดให้ข้อมูลข่าวกรองโดยสิ้นเชิง' ซึ่งส่งผล 'ร้ายแรง' ต่อความสามารถในการสู้รบกับรัสเซีย

ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า ทรัมป์อาจพิจารณากลับมาให้การช่วยเหลือ หากมีการเจรจาสันติภาพและมาตรการสร้างความเชื่อมั่นกับรัสเซีย

โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวเมื่อวันพุธว่า มีความเคลื่อนไหวในเชิงบวกกับสหรัฐฯ และคาดว่าจะมีผลลัพธ์ในการเจรจาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเขาพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังจากการพบกับทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยทรัมป์ตำหนิเซเลนสกีต่อหน้าสาธารณะว่าไม่ต้องการข้อตกลงกับรัสเซีย ซึ่งต่อมา เซเลนสกีได้ส่งจดหมายขอโทษและแสดงความพร้อมในการเจรจา

ทรัมป์กล่าวถึงจดหมายดังกล่าวในการปราศรัยต่อสภาคองเกรสว่าเป็นสิ่งสำคัญ และยังเผยว่าสหรัฐฯ ได้รับสัญญาณบวกจากรัสเซียว่าพร้อมเจรจาสันติภาพ

นักวิเคราะห์ในยูเครนมองว่าข้อตกลงนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากทำเนียบขาวยังไม่เรียกร้องเงื่อนไขใด ๆ จากรัสเซีย และดูเหมือนจะพร้อมยอมรับข้อเรียกร้องของวลาดิเมียร์ ปูติน ที่ต้องการให้ยูเครนยอมสละดินแดน ลดขนาดกองทัพ และเป็นกลางภายใต้รัฐบาลใหม่ ซึ่งการยอมอ่อนข้อจะไม่ได้ผล พร้อมกับมองว่าสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนข้างไปสนับสนุนเครมลินแล้ว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เริ่มการเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย เครมลินได้เพิ่มการโจมตีโครงข่ายพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนยูเครน ส่งโดรนถึง 267 ลำในวันครบรอบ 3 ปีของการรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อเดือนที่แล้ว และอีก 181 ลำพร้อมขีปนาวุธเมื่อวันพุธ ทำให้ชายวัย 73 ปีเสียชีวิตในภูมิภาคโอเดสซา และบ้านเรือนเสียหาย 20 หลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top