‘รัฐบาลสหรัฐฯ’ ไล่นักเรียนต่างชาติพ้นแคมปัส เพิกถอนวีซ่า 300 คน โดยไม่มีคำเตือน ‘UCLA’ กระเทือนหนัก
(11 เม.ย. 68) ฮูลิโอ แฟรงค์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอส แอนเจลิส (UCLA) แถลงผ่านเว็บไซต์ทางการของมหาวิทยาลัยถึงกรณีที่รัฐบาลทรัมป์ได้มีคำสั่งเพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติ (student visas) มากกว่า 300 รายทั่วประเทศ โดยมีนักศึกษาของยูซีแอลเอที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 10 คน และเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือชี้แจงล่วงหน้าจากรัฐบาลกลาง
อธิการบดีแฟรงค์ ระบุว่า นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 6 คน ที่ยังคงศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และอีกประมาณ 6 คนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและอยู่ในช่วงฝึกงานภายใต้โปรแกรม OPT (Optional Practical Training) ซึ่งอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติทำงานต่อได้อีก 1-2 ปี หลังจบการศึกษา
มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ซึ่งมีนักศึกษาจากเอเชียมากกว่า 26% ระบุว่าการยกเลิกวีซ่าเกิดขึ้นผ่านระบบ SEVIS (Student and Exchange Visitor Information System) ภายใต้การดูแลของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และจากโปรแกรม SEVP (Student and Exchange Visitor Program) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลของทางสถาบัน พบว่ามีการยุติสถานภาพ (terminated) ของนักศึกษาปัจจุบันและอดีตนักศึกษาอย่างน้อย 12 คน
แม้จะไม่มีการระบุเหตุผลที่ชัดเจน แต่โดยปกติแล้วการยกเลิกวีซ่านักเรียนจะเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อกำหนดตามโปรแกรมวีซ่า เช่น การเรียนไม่ครบชั่วโมง การหยุดเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการทำงานโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้ตัวเลขของผู้ได้รับผลกระทบยังคงไม่แน่นอนและอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ในแถลงการณ์ระบุเพิ่มเติมว่า “จนถึงขณะนี้ ยูซีแอลเอยังไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางได้ปฏิบัติการใด ๆ ภายในแคมปัส และยังไม่ได้รับคำชี้แจงใด ๆ จากรัฐบาลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้”
อย่างไรก็ตาม ในเว็บไซต์ของหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (ICE) มีข้อความระบุชัดว่า “หากคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับการปลอมแปลงวีซ่านักเรียน หรือนักเรียนต่างชาติที่ลักลอบทำงานผิดกฎหมาย กรุณารายงานได้ที่นี่” ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในครั้งนี้
ด้าน มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า กระทรวงของเขาได้เพิกถอนวีซ่ามากกว่า 300 ฉบับ โดยส่วนใหญ่เป็นวีซ่านักเรียน ภายใต้การกำกับดูแลของเขา
หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงแรก คือกรณีของนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย รวมถึงกรณีการจับกุม มะห์มูด คาลิล ภายหลังเข้าร่วมการประท้วงสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติในการเผชิญการเนรเทศ โดยมีการเพิกถอนวีซ่าอันเกิดจากความผิดเล็กน้อยในอดีต หรือในบางกรณีอาจไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนเลย ตามคำกล่าวของทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน
สำหรับ การบังคับใช้กฎหมายกับนักศึกษาต่างชาติในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของอเมริกา มีขึ้นท่ามกลางการปราบปรามผู้อพยพครั้งใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการใช้อำนาจในเชิงรุกในการตะเพิดผู้อพยพบางราย และดำเนินการเนรเทศโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวน
เจฟฟ์ โจเซฟ ประธานสมาคมทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานอเมริกัน กล่าวว่า “เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ในกฎหมายเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานล้วนเคยถูกใช้มาก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้มันถูกใช้ในลักษณะที่สร้างความตื่นตระหนกและความโกลาหลในหมู่ประชาชน และสุดท้ายคนเหล่านั้นจะต้องออกจากประเทศไปโดยปริยาย”
อธิการบดีฮูลิโอ แฟรงค์ กล่าวปิดท้ายด้วยความห่วงใยว่า “เราต้องการให้นักศึกษานานาชาติของเรารู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง คุณเป็นส่วนหนึ่งของยูซีแอลเอ และเป็นส่วนสำคัญของชุมชนของเรา”
