Monday, 9 June 2025
TheStudyTimes

เทคนิคคาดการณ์ และประมาณการคะแนนต่ำสุดเพื่อเลือกคณะ ให้ตรงกับคะแนนตัวเอง ให้ติดรอบ กสพท Part.1

สังคมการศึกษาไทย ยังมีความคิดและค่านิยมเด็กเก่ง ต้องเรียนแพทย์ 

TCAS64 มี 3 รอบหลัก คัดแพทย์ เข้ามหาวิทยาลัย

TCAS 1 รอบ Portfolio 

TCAS 2 รอบ Quota

TCAS 3 รอบ สอบยื่น กสพท

 

TCAS 3 กสพท 2564 เงื่อนไข ข้อกำหนดเบื้องต้น สรุปดังนี้

1.) คะแนนโอเน็ต รวม 5 วิชา ต้องเกิน 60% หรือรวมกันได้ขั้นต่ำ 300 / 500 คะแนน

2.) คะแนนจริง คิด 100% จาก 2 ส่วน

 (2.1) วิชาเฉพาะแพทย์ ความถนัดแพทย์ 30%
   (2.1.1) คณิตศาสตร์และเชาว์ปัญญา 10%
   (2.1.2) จริยมธรรมทางการแพทย์ 10%
   (2.1.3) เชื่อมโยงและการจับใจความ 10%

 (2.2) วิชาสามัญ 7 วิชา 70%
   (2.2.1) คณิตศาสตร์ 14%
   (2.2.2) วิทยาศาสตร์ 28%

       (1.)ฟิสิกส์
       (2.)เคมี
       (3.)ชีววิทยา

   (2.2.3) ภาษาอังกฤษ 14%
   (2.2.4) ภาษาไทย 7%
   (2.2.5) สังคมศึกษา 7%

รวม 100%

*หมายเหตุ แต่ละวิชาต้องมีคะแนนเกิน หรือเท่ากับ 30% จึงจะมีสิทธ์ยื่นคะแนน กสพท

 

TCAS 3 รอบ กสพท ปี 2564 มีกว่า 20 มหาวิทยาลัยเข้าร่วม 55 คณะ 

มี 4 คณะหลักดังนี้

1.) แพทยศาสตร์ 22 คณะ
2.) ทันตแพทยศาสตร์ 9 คณะ
3.) สัตวแพทยศาสตร์ 11 คณะ
4.) เภสัชศาสตร์ 13 คณะ

 

หลักการตัดสินใจในการเลือก 
1.) ความสนใจส่วนตัว
2.) คะแนนที่ทำได้ เป็นตัวจัดอันดับที่จะได้เข้าเรียน

ก่อนตัดสินใจเลือกเรียน มาทำความรู้จักทุกคณะ กสพท ในปี 2564 กัน (ทุกปีมีเปลี่ยนแปลง)

1.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
www.md.kku.ac.th

2.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
admission.md.chula.ac.th

3.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - กรมแพทย์ทหารอากาศ กองทัพอากาศ
admission.md.chula.ac.th

4.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
www.med.cmu.ac.th

5.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
www.med.tu.ac.th

6.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
www.meded.nu.ac.th

7.) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
med.mahidol.ac.th

8.) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล-วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
med.mahidol.ac.th

9.) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
www.si.mahidol.ac.th

10.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (โรงพยาบาลราชวิถี) (สถาบันเอกชน)
www.rsu.ac.th/medicine

11.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (โรงพยาบาลเลิดสิน) (สถาบันเอกชน)
www.rsu.ac.th/medicine

12.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี) (สถาบันเอกชน)
www.rsu.ac.th/medicine

13.) คณะแพทยสาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วีโรฒ
www.med.swu.ac.th

14.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
www.medaf.psu.ac.th

15.) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
www.vajira.ac.th

16.) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช-โรงพยาบาลตากสิน สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร
www.vajira.ac.th

17.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้า **เพศชาย
www.pcm.ac.th

18.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้า **เพศหญิง
www.pcm.ac.th

19.) สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
http://sutgateway.sut.ac.th/admissions/

20.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
www.med.buu.acc.th

21.) สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
www.admission.mfu.ac.th

22.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม (สถาบันเอกชน)
www.siam.edu

23.) คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
www.dent.chula.ac.th

24.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
www.dt.mahidol.ac.th

25.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
www.dent.cmu.ac.th

26.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
www.dent.psu.ac.th

27.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
http://dent.swu.ac.th

28.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
www.dentistry.kku.ac.th

29.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
www.dentistry.tu.ac.th

30.) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
www.dent.nu.ac.th

31.) สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
http://sutgateway.sut.ac.th/admissions/

32.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์วิทยาลัย
www.vet.chula.ac.th

33.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
www.vet.ku.ac.th

34.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
www.vet.kku.ac.th

35.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
www.vet.cmu.ac.th

36.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (สถาบันเอกชน)
www.vs.mahidol.ac.th

37.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
www.vs.mahidol.ac.th

38.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (สถาบันเอกชน)
www.vet.mut.ac.th

39.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
www.vet.msu.ac.th

40.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
www.vet.rmutto.ac.th

41.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
www.vet.rmutsv.ac.th

42.) คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
www.vet.psu.ac.th

43.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
www.pharm.chula.ac.th

44.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ)
www.pharm.chula.ac.th

45.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
www.pharmacy.mahidol.ac.th

46.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
www.pharmacy.cmu.ac.th

47.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวีโรฒ(สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
www.pharmacy.swu.ac.th

48.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ)
www.pharmacy.swu.ac.th

49.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
www.pharm.tu.ac.th

50.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม(สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
www.pharmacy.msu.ac.th

51.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
www.pharm.buu.ac.th

52.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม (สถาบันเอกชน) (สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
www.pharmacy.siam.edu

53.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉี่ยวเฉลิมพระเกียรติ (สถาบันเอกชน)
www.hcu.ac.th/faculty-of-pharmacy

54.) คณะเกสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ (สถาบันเอกชน) (สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
www.pharmacy.payap.ac.th

55.) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
www.phar.ubu.ac.th

เทคนิคคาดการณ์ และประมาณการคะแนนต่ำสุดเพื่อเลือกคณะ ให้ตรงกับคะแนนตัวเอง ให้ติดรอบ กสพท ตอนหน้า จะกำหนดคะแนนต่ำสุดทั้ง 55 คณะกัน เพื่อไม่ให้พลาดการตัดสินใจ


เขียน และรวบรวมข้อมูลโดย AodDekTai คุณพ่อผู้สนใจการศึกษาไทยและต่างประเทศ
 

คุณแกว่น กวิล นาวานุเคราะห์ | THE STUDY TIMES STORY EP.13

บทสัมภาษณ์ คุณแกว่น กวิล นาวานุเคราะห์ ปริญญาโทด้านสื่อสารทางการเมือง University of Missouri, St.Louis (UMSL), สหรัฐอเมริกา 
วิชาการสื่อสารทางการเมืองที่เข้มข้น เพิ่มศักยภาพการสื่อสารผู้นำรุ่นใหม่

คุณแกว่นเรียนจบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ สาขาการปกครอง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นในการเรียนรัฐศาสตร์คือความสนใจเรื่องมหภาค ตอนเด็กเป็นคนไม่ชอบคณิตศาสตร์ คิดว่าชอบด้านภาษามากกว่าคำนวณ พยายามหาข้อมูลว่าอะไรที่ทำให้เราเข้าใจคนหมู่มาก และเข้ากับตัวเองมากที่สุด จนได้มารู้จักด้านรัฐศาสตร์ ที่เป็นความเข้าใจหลักคิด กระบวนการระหว่างคนกับคน คนกับรัฐ รัฐกับรัฐ ศาสตร์พวกนี้จำเป็นต้องมีอาจารย์สอน และส่วนตัวชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบดูละครหรือการ์ตูนมากนัก เลยคิดว่ารัฐศาสตร์น่าจะเหมาะ

ช่วงฝึกงานในชั้นปี 4 คุณแกว่นได้ไปฝึกที่เนชั่นทีวี เริ่มเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในขาของสื่อสารมวลชน เลยรู้สึกว่าเปิดโลก รายการที่ไปฝึกงานคือรายการทีวีที่ชื่อว่า สภากาแฟ ซึ่งนำคนที่อยู่ใน Topic ต่าง ๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจในสังคมมานั่งล้อมวงร่วมพูดคุยกัน ทำให้รู้สึกว่าได้ประโยชน์ต่อผู้ชม และเป็นสาขาที่สนใจด้วยเหมือนกัน เมื่อเรียนจบก็ทำการหาข้อมูลว่ามีสาขาวิชาใดบ้างที่สามารถต่อยอดความสนใจทั้งสองอย่างให้อยู่ด้วยกัน ทำให้ไปเจอว่ามีสาขาที่เรียกว่า สื่อสารการเมือง จึงมองหาโอกาสในการเรียนต่อ เพื่อตอบสนองความสนใจและความอยากรู้ของตัวเอง 

กระทั่งไปเจอ Professor ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้คุณแกว่นตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านสื่อสารทางการเมือง ที่ University of Missouri, St.Louis (UMSL) สหรัฐอเมริกา เพราะมีความสนใจและอยากเรียนกับ Professor ท่านนี้ที่สอนอยู่ และรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับวัฒนธรรมอเมริกันได้มากกว่า เพราะเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่รัฐโคโลราโดมาก่อน ปักใจว่าเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ ผู้คนหลากหลาย และอเมริกาเปิดโอกาสในการทำงานอย่างอื่นขณะที่เรียนได้ และด้วยระยะเวลาหลักสูตร 2 ปี น่าจะทำให้มีโอกาสในการเห็นโลกและใช้ชีวิตได้มาก

ความคาดหวังเรื่องการเรียนในตอนนั้นคือ ไปเอาวิชาจากผู้ที่เป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก สุดท้ายก็ได้ตามที่คาดหวัง เพราะได้เรียนกับเขา ได้เห็นมุมมอง ได้ช่วยทำงาน ใช้ชีวิตด้วยกันช่วงหนึ่ง ส่วนเรื่องชีวิตไม่ได้คาดหวังความสนุกสนาน เพียงแต่คาดหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบที่ไม่เคยใช้ในเมืองไทยมาก่อน ซึ่งพออยู่ที่อเมริกา สิ่งเย้ายวนมีมาก หากมีวินัยมากพอ ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ คุณแกว่นได้ฝึกตัวเองในเรื่องของการดูแลตัวเอง ความรับผิดชอบที่มากขึ้น คาดหวังว่าจะโตขึ้น ซึ่งคุณแกว่นคิดว่าได้ตามที่คาดหวังไว้

คุณแกว่นอธิบายว่า Political Communication หรือ สื่อสารการเมือง หลักๆ เรียนเรื่องของทฤษฎีการเมืองก่อน ต้องเข้าใจว่าทฤษฎีการเมืองแต่ละอย่างที่มีเป็นอย่างไร ต่อมาคือทฤษฎีการสื่อสาร การสื่อสารเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพทำอย่างไร นำมาประยุกต์กับทฤษฎีการเมืองที่เรียน
เพราะมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ามกลางคนเก่ง ๆ สิ่งที่คุณแกว่นได้มาคือ สกิล  “Learn-Unlearn-Relearn”  โดย Unlearn ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่า Learn เพราะคือการสลายตัวตน ทิ้งอัตตา ทิ้งสิ่งที่เคยเรียน เคยรับรู้ เพื่อจะRelearn คือการเรียนรู้ รับรู้ข้อมูลใหม่ ๆ นำมาใช้ สุดท้ายแล้วแนวคิดนี้สัมพันธ์และสามารถนำมาใช้ได้กับทุกเรื่อง

สำหรับการสื่อสารในประเทศไทยนั้น คุณแกว่นอธิบายว่า การสื่อสารประกอบด้วย 3 สิ่ง คือ ผู้ส่งสาร สาร ผู้รับสาร มองแยกไปทีละส่วน ผู้ส่งสารได้ทำการส่งสารอย่างถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ มีการคิดคำนวณที่ดีก่อนที่จะส่งไปหรือไม่ ต่อมาคือ สาร เป็นพิษเป็นภัยต่อคนอื่นหรือไม่ ชัดเจนตรงประเด็น มีคุณภาพหรือไม่ และผู้รับสาร มีความสามารถในการพิจารณา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ สารที่ได้รับ ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือทำอะไรกับสารนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงกันทั่วโลก 

ในด้านการสื่อสารของประเทศไทย ตอนนี้มีการกระจายตัวค่อนข้างเยอะ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้ส่งสาร สาร ผู้รับสาร ค่อนข้างจะเป็น Mass Media (ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์) ซึ่งสามารถควบคุม ตรวจสอบได้ง่าย แต่ในปัจจุบันเริ่มกระจายเป็นโซเชียลมีเดีย หลายแพลตฟอร์ม หลายช่องทาง ในส่วนตัวคุณแกว่นมองว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะเมื่อมีการกระจายไปในหลายแพลตฟอร์ม บางครั้งสารไม่ได้รับการผลิตออกมาอย่างดี 

คุณแกว่นกล่าวว่า คนเราจะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจของสารต่าง ๆ ที่ได้รับมาก่อน เท่าที่คุณแกว่นเห็นมา ส่วนมากเด็กไทยเก่งเรื่องการจำ แต่สิ่งที่เด็กไทยยุคนี้ยังทำได้ไม่ดี คือ การสังเคราะห์ ซึ่งการสังเคราะห์ คือ การนำสิ่งที่เราแยกแยะมาประกอบร่างและสร้างเป็นสิ่งใหม่ 

สิ่งสำคัญที่คุณแกว่นอยากให้เกิดขึ้นในเมืองไทย คือ การพัฒนาความรู้ ความคิดต่อยอด สามารถสังเคราะห์ข้อมูลความรู้ที่เรามี เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งใหม่ได้ 

ย้อนกลับไปช่วงที่ไปเรียนอเมริกา คุณแกว่นเล่าว่าได้ทำงานเยอะมาก เพราะคุณพ่อออกให้แค่ค่าเทอม ฉะนั้นต้องช่วยเหลือตัวเองในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว จึงทำตั้งแต่งานในมหาวิทยาลัย ทั้งเป็นคนเรียงหนังสือในห้องสมุด, proctor, ผู้ช่วยสอน และทำงานที่ร้านอาหารในเมือง

ปัจจุบันหลังจากกลับมาจากต่างประเทศ คุณแกว่นยังคงทำงานที่หลากหลาย เป็น Co-Founder 3 บริษัท หนึ่งคือบริษัททำด้านของพรีเมี่ยมให้แบรนด์ฟอร์ด บริษัทที่สองคือเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทที่สามทำเกี่ยวกับ Marketing Agency นอกจากนี้ส่วนตัวคุณแกว่นยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านการตลาดและพัฒนาธุรกิจให้อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์

สุดท้ายคุณแกว่นฝากถึงคนรุ่นใหม่ ในการรับสารและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ไว้ว่า ตอนนี้มีข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลเยอะ เพราะฉะนั้นสกิลสำคัญที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปได้ด้วยดี คือรู้จักการแยกแยะ และเลือกที่จะรับข้อมูล อีกอย่างที่จำเป็นมากคือสกิลในการไตร่ตรองพิจารณาข้อมูลที่เข้ามาก่อน ว่าข้อมูลที่เราได้รับมาจริงหรือไม่ก่อนที่เราจะตัดสินใจเชื่อ เพราะข้อมูลในทุกวันนี้มีเยอะ และไม่ได้รับการกรองที่ดีก่อนมาถึงเรา จึงต้องมีทักษะในการพิจารณา หาข้อมูล และตัดสินเมื่อมั่นใจแล้วว่าข้อมูลนั้นจริง

.

.

การประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2564 ร่วมโหวตผลงานโดนใจ "เตียงลอยน้ำจากขวดพลาสติกเพื่อผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ประสบอุทกภัย"

เตียงลอยน้ำจากขวดพลาสติก เพื่อผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ประสบอุทกภัย Floating bed made of plastic bottles for bed-bound patient in the flood area.

เตียงลอยน้ำจากขวดพลาสติกเพื่อผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ประสบอุทกภัย

แนวคิด นำขวดพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ใส่แนวคิดเชิงออกแบบ เป็นนวัตกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่อุทกภัย

ลักษณะเฉพาะ ทำยูนิตทุ่นลอยน้ำจากขวดและตะกร้าพลาสติก รับน้ำหนักได้ตามหลักแรงลอยตัวทางฟิสิกส์

กระบวนการ นำขวดพลาสติกปิดฝาจัดวางจนเต็มตะกร้า ยึดปิดด้วยสายรัดพลาสติก จัดวางและยึดแต่ละยูนิตต่อกันตามต้องการ

ทดลองใช้และมอบสู่ชุมชน สามารถใช้งานได้จริงและปลอดภัย มอบให้ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนปากนคร 5 ครอบครัว เตียงขนาด 3.5 ฟุต รับน้ำหนักได้ 288 กก.

การต่อยอดเชิงพาณิชย์ ทำเตียงลอยน้ำ 2 ชั้น สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยเตียงเสริมทำจากโครงตะแกรงเหล็ก ติดตั้งล้อเลื่อน และมีจุดเชื่อมยึดกับเตียงหลักเข้าด้วยกันเมื่ออุทกภัย ทำให้ผู้ดูแลสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและของใช้จำเป็น ได้อย่างทันท่วงที (จดอนุสิทธิบัตร 5 มี.ค. 64)

ประโยชน์จากโครงการ

- ลดขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม เตียง 3.5 ฟุต ลดปริมาณขวดน้ำ (600 cc) 480 ขวด ตะกร้า 40 ใบ

- ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่องค์กรและชุมชน ได้แก่ อบจ. วพบ. อสม. ปากนคร และชุมชนเกาะทวด นครศรีธรรมราช

ผู้จัดทำ

1.) นายพชร อัศวผดุงสิทธิ์ นางสาวพิชามญชุ์ อัศวผดุงสิทธิ์

2.) แพทย์หญิงเจริญตา อัศวผดุงสิทธิ์ นายแพทย์สุรเจตน์ อัศวผดุงสิทธิ์

 

ร่วมโหวตได้ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 พ.ค. 64

https://kmutnb-inno.top/invention/11/atifact/70?back=%2Fvote

คุณต้น รัฐพล ปั้นทองพันธุ์ | THE STUDY TIMES STORY EP.15

บทสัมภาษณ์ คุณต้น รัฐพล ปั้นทองพันธุ์ ได้รับทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์

ปริญญาโทกฎหมายธุรกิจ Cambridge University, สหราชอาณาจักร

ฝันเป็นจริงเพราะฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศ มหาวิทยาลัย TOP ของโลก

ปัจจุบันคุณต้นดำรงตำแหน่ง Vice President ดูแลด้านกฎหมายในบริษัทเอกชน เพิ่งเรียนจบกลับมาจากประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ไปเรียน Corporate Law เน้นที่กฎหมายบริษัท เกี่ยวกับธุรกิจและการค้าโดยตรง จาก University of Cambridge

กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ หรือ Corporate Law ถือว่าเป็นหัวใจ จากการไปเรียนมาทำให้คุณต้นทราบว่าทางอังกฤษสามารถพัฒนาและแก้ปัญหาทางธุรกิจได้ดีกว่าประเทศไทย

ย้อนกลับไป คุณต้นเรียนในโรงเรียนไทยมาโดยตลอด เรื่องของภาษาอังกฤษเรียกว่าไม่ได้เลย จากนั้นได้เรียนต่อเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเรียนควบนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วย ในชั้นปี 3 เป็นช่วงที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ได้ไปเรียนที่สถาบันพัฒนาภาษา Fast English อยู่ 2 ปีครึ่ง ต้องปูพื้นใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นได้ไปฝึกงานที่ Law Firm 4 ปี กว่าจะคล่องในการใช้ภาษาอังกฤษ

คุณต้นเชื่อว่า หากไม่ได้เรียนอินเตอร์ การพัฒนาภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยค่อนข้างลำบาก เพราะไม่ได้มีการรวมข้อมูลที่ต้องรู้จริง ๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษไว้ สิ่งนี้ถือเป็นจุดอ่อน

คุณต้นเริ่มจุดประกายเรื่องของภาษาอังกฤษช่วงปี 3 เพราะฝันอยากไปเรียนเมืองนอก การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณต้นทั้งหมดเรียกว่ามาจากการเรียนที่ Fast English บวกกับความตั้งใจท่องคำศัพท์ มีวินัยในตัวเอง สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนด้วยตัวเองต่อ

ทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์

ก่อนที่จะได้ทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์ คุณต้นได้ทุนสหภาพยุโรปก่อน รวมทั้งยื่นสมัครที่ LSE ประเทศอังกฤษ แต่เนื่องจากทางเนติบัณฑิตเปิดรับสมัครสอบแข่งขันทุน โดยทุนนี้ไม่ได้กำหนดว่าต้องไปมหาวิทยาลัยไหน เพียงแต่กำหนดให้ไปมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือญี่ปุ่น ซึ่งคุณต้นเองได้ใบตอบรับจาก Cambridge พอดี เมื่อสอบแข่งขันผ่าน จึงแจ้งกับทางทุน ไปเรียนต่อได้เลย

จุดอ่อนของคนไทยที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณต้นมองว่า อยู่ที่ภาษาอังกฤษ ภาษาต้องได้ก่อน ใครจะไปเรียนไม่ต้องรีบ เตรียมตัวให้พร้อม ศึกษามหาวิทยาลัยดี ๆ จากมุมมองส่วนตัว คุณต้นคิดว่าที่ตนเองได้ ไม่ใช่เพราะความเรียนเก่ง แต่เพราะความหลากหลาย และมีประสบการณ์ทำงานที่เยอะพอสมควร รวมทั้งมีความก้าวหน้าในการทำงาน สิ่งนี้เป็นจุดที่นักเรียนมักจะมองข้าม

สำหรับคนที่จะสอบทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์ ต้องมีคุณสมบัติ คือ จบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ สอบเนผ่าน และมีอายุไม่เกิน 35 ปี โดยทุนนี้ไม่ได้เปิดทุกปี แต่ 4 ปีเปิดครั้ง ต้องสอบแข่งขัน เขียน Essay ภาษาอังกฤษสามข้อ รอบสุดท้ายสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ข้อดีของทุนนี้คือเป็นทุนฟรี ไม่มีภาระผูกพัน สำหรับคนที่จะได้ทุนนี้ คุณต้นมองว่า ต้องรู้จักขายตัวเองให้เป็น ก่อนที่จะไปขายของให้คนอื่น ต้องรู้ว่าตัวเองมีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไร ทุกอย่างต้องวางแผนล่วงหน้า สำหรับสายกฎหมาย การทำงานเป็นอีกสิ่งที่ทำให้โตขึ้นและเข้าใจ  

ตอนสัมภาษณ์ คุณต้นเล่าว่า เจอคำถามที่ไม่ใช่คำถามกฎหมายมากนัก เช่น เรื่องอาเซียน คำตอบจึงเป็นสหสาขาวิชา เด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจจะยังตอบคำถามได้ไม่ค่อยดี 

Cambridge University
คุณต้นมีความประทับใจในการไปเรียนที่ Cambridge University มาก เนื่องจากอากาศดี สภาพแวดล้อมเหมือนโรงเรียนประจำ มีแยกออกเป็นบ้านเหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีกิจกรรมในบ้าน ทั้งกีฬา ดนตรี บอร์ดเกม เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการศึกษา ที่แท้จริง มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้ 

ในเรื่องการใช้ชีวิตคุณต้นไม่มีปัญหา ช่วงสองอาทิตย์แรก อาจจะมีเรื่องของความเกร็งในการใช้ภาษาอยู่บ้าง เพราะไม่ชินสำเนียงคนอังกฤษ ทำให้ฟังไม่ค่อยออก แต่เมื่อผ่านไปทุกอย่างก็ลงตัว ส่วนการเข้าหาอาจารย์ไม่มีปัญหา เพราะอาจารย์พูดช้าและมีความเข้าใจนักเรียนต่างชาติ

ข้อแตกต่างการศึกษาไทยและอังกฤษ
คุณต้นมองว่า ระบบการศึกษาไทยต้องรื้อใหม่ หัวใจของการไปเรียนอาจารย์ต้องเก่ง ในการเรียนเรื่องหนึ่งไม่ได้มีเพียงศาสตร์เดียว แต่มีปัญหาหลากหลายประเด็น ต้องนำมาประยุกต์กันเพื่อแก้ปัญหาให้ได้ แต่ของไทยยังเรียนศาสตร์เดียว นี่คือข้อแตกต่าง อีกสิ่งคือระบบการยอมรับฟังความเห็นต่าง และสุดท้ายคือเรื่องของฮาร์ดแวร์ที่ยังมีปัญหา เช่น จะให้เรียนออนไลน์แต่ไม่มี WiFi เพราะฉะนั้นต้องมีการรื้อทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

สุดท้ายนี้ คุณต้นฝากถึงคนที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศหรืออยากพัฒนาตนเองไว้ว่า ถ้ามีความฝัน เก็บความฝันไว้ในใจ อย่าเอาความฝันนั้นออกไปที่อื่น ถ้าคุณไม่ล้มเลิก ยังไงวันหนึ่งคุณก็สำเร็จในสิ่งที่คุณตั้งใจแน่นอน


.

.


 

เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่น่าชื่นชม "ณัฐ ศักดาทร" หรือ ณัฐ AF4 เพราะนอกจากจะมีความสามารถทางด้านดนตรี การร้องเพลงแล้ว ณัฐยังเป็นดารานักร้องที่เรียนเก่งตั้งแต่เด็ก

"ณัฐ ศักดาทร" เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ เข้าศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ก่อนไปศึกษาต่อจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ Peddie School ประเทศสหรัฐอเมริกา และเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นศึกษาด้านดนตรีต่อที่ Berklee College of Music อีก 1 เทอม

สมัยเรียนอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ชั้นประถม ณัฐเรียนได้ 4.00 ทุกเทอม ระดับมัธยมต้นก็เรียนได้เกรดเฉลี่ยถึง 3.97 และตอนที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยดังระดับโลกอย่าง ฮาร์วาร์ด ในคณะเศรษฐศาสตร์ ก็ได้เกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.69 สามารถคว้ารางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 มาได้


ที่มา:

https://www.sanook.com/campus/1370710/

https://th.wikipedia.org/wiki/ณัฐ_ศักดาทร

Resilience Skill จะช่วยให้เรามองอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตมนุษย์ และมองว่าอุปสรรคเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยในการพัฒนาตัวเอง ให้เข้มแข็งขึ้น

Resilience Skill หมายถึง ความสามารถในการฟื้นตัว เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูงและมีความยากลำบาก โดยที่ยังสามารถกลับมาเป็นคนที่มีความมั่นคงดังเดิม มีความมั่นใจ มองโลกในแง่ดี และสามารถกลับมาดำเนินชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม 

Resilience สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และการทำงาน

ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า อนาคตจะเกิดและไม่เกิดอะไรขึ้นบ้าง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และทักษะที่ทุกคนต้องมีเพื่อติดสปริงตัวเอง ในการดีดตัวออกมาจากหลุมพราง และสามารถฟื้นคืนชีพให้ได้เร็วที่สุด ทักษะหนึ่งเดียวที่คนทุก Generation ต้องมี คือ ทักษะ Resilience เป็น How to ที่มีความมีความยืดหยุ่นสูง สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวคุณ คนในครอบครัว อาชีพ และธุรกิจของคุณ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Resilience Skill จะช่วยให้เรามองอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตมนุษย์ และมองว่าอุปสรรคเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยในการพัฒนาตัวเอง ให้เข้มแข็งขึ้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

Resilience ทักษะที่สามารถสร้างได้ โดยอาศัยปัจจัย หลัก 6 ประการ ดังนี้

1.) การนับถือตัวเอง  ความเคารพตัวเอง รู้สึกถึงคุณค่าภายในตัวเอง ไม่ต้องรอพึ่งพาใคร หรือสิ่งใด เริ่มต้นที่ตัวเอง การควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด ก่อนแก้ไขปัญหานั่นเอง

2.) ความทะเยอทะยาน คนที่มี Resilience มีเป้าหมายชัดเจน และมุ่งความสนใจไปที่การลงมือทำ มากกว่าสิ่งอื่น เป็นนักต่อสู้ ล้มแล้วลุก มีความอดทนสูง รู้จักการรอคอยความสำเร็จ และสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่มีผลต่อชีวิตของพวกเขา

3.) การเลือกคบคน คนที่เลือกเข้ามาในชีวิต คนที่ต้องใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสุขและความสำเร็จ พวกเขาให้ความสำคัญมาก พวกเขาจะหลีกเลี่ยงคนประเภทบุคคลเป็นพิษ (Toxic Person) เช่น คนคิดลบ อีโก้ เย่อหยิ่ง และเห็นแก่ตัว พวกเขาจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการคบคน พวกเขาจะเข้าใจในการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว ว่าต้องมี 2 ทาง คือทั้งให้ และรับ กำหนดความสัมพันธ์ด้วยการ ชนะ ชนะ ไปด้วยกัน

4.) รู้จักการวางตัวให้เหมาะสม พวก Resilience จะฉลาดในการวางตัว มีผลงานและการกระทำเป็นที่ประจักษ์ เพื่ออธิบายความเป็นตัวตน หรือเรียกว่าเป็นคนอยู่เป็น พวกเขาจะรู้จักพูดให้เกียรติผู้อื่น พูดดี มีมารยาทเสมอ ในขณะเดียวกัน พวกเขายังคงความเป็นตัวเองอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาเข้าใจว่าคนมีความมั่นใจในตัวเอง อย่างแท้จริง คือ การที่รู้และเข้าใจตัวเอง ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพื่ออะไร โดยไม่ต้องพยายามเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น

5.) รู้จักดูแลตัวเองและคนที่รักเป็นอย่างดี พวก Resilience จะฉลาดในการใช้ชีวิตมาก จะบริหารจัดการเวลาได้เก่ง สามารถสร้างสมดุลของชีวิต และการทำงานได้เป็นอย่างดี รู้เวลาว่าตื่นเช้ามาต้องทำทานอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ต้องออกกำลังกายแบบไหนให้เหมาะกับช่วงเวลา มีวิธีขจัดความเครียดออกไปได้อย่างง่ายดาย รวมถึงเอาใจใส่คนที่เขารักด้วย และที่สำคัญไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต พวกเขายังคงลุกขึ้นมาทำหน้าที่และรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี

6.) ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นอย่างจริงใจ พวกเขาไม่ตัดสินคนอื่น แต่จะมองเห็นข้อดี และฉลาดในการเรียนรู้จากจุดแข็งของคนอื่น พวกเขายินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นด้วยความซาบซึ้งเสมือนว่าเป็นความสำเร็จของตัวเอง พวกเขาไม่ชอบการแย่งชิง เพราะเขารู้ว่าตัวเขาเองก็มีดีมากพอ และในโลกใบนี้มีโอกาสและมีทรัพยากรมากพอที่เอื้ออำนวยต่อความสำเร็จของเขา จึงทำให้เขาชื่นชมคนอื่นด้วยความจริงใจเสมอ

เป็นธรรมดาที่มนุษย์ มีความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ไม่พอใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง และหมดกำลังใจไปบ้าง ซึ่งก็เป็นกลไกในการทำงานที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็อย่าให้ความคิดลบๆ เหล่านี้ดึงเราจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นนานเกินไป จงหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ก้าวเดินต่อไปทีละขั้นๆ ผิดตรงไหนแก้ตรงนั้น เรียนรู้จากข้อผิดพลาด ทำให้ดีกว่าเดิม และทบทวนตัวเองอย่าให้พลาดซ้ำ เพราะทุกก้าวของชีวิต มีพลังงานชีวิตซ่อนเร้น คนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตต่างรู้กฎเหล่านี้ดี

.

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล

https://thestandard.co/podcast/thesecretsauce239/

https://www.mreport.co.th/experts/business-and-management/038-Mental-Resilience-Skill-Future-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%88

คุณนูป อัครพัชร์ ภัทรศิริภาณิน | THE STUDY TIMES STORY EP.16

บทสัมภาษณ์ คุณนูป อัครพัชร์ ภัทรศิริภาณิน นักศึกษาแพทย์ Medical University of Lublin, สาธารณรัฐโปแลนด์ 
นักเรียนแพทย์สายคอนเทนต์ เรียนที่โปแลนด์ให้อะไรมากกว่าที่คิด

ปัจจุบัน คุณนูปเป็นนักศึกษาแพทย์ อยู่ที่ Medical University of Lublin ประเทศโปแลนด์ 

จุดเริ่มต้นเรียนแพทย์ที่โปแลนด์ มหาวิทยาลัย Medical University of Lublin
คุณนูปมีความสนใจอยากเรียนหมออยู่แล้ว เพราะมีความฝันอยากเป็นหมอในค่ายผู้อพยพ จนได้พบเอเจนซี่ที่ส่งนักศึกษาไปเรียนที่โปแลนด์ จึงได้ตัดสินใจ ด้วยความที่ค่าเทอมไม่แพง และค่าครองชีพไม่สูง ที่คุณนูปเคยศึกษาเปรียบเทียบค่าเทอมเรียนหมอ 6 ปี พบว่า โปแลนด์มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2.4 ล้านบาท ขณะที่เอกชนที่ประเทศไทยประมาณ 3 ล้านบาท 

การเรียนที่โปแลนด์จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ช่วง 4 เทอมแรกมีเรียนภาษาโปลิชด้วย ในคลาสเรียนมีทั้งนักเรียนจากไต้หวัน อเมริกัน ตะวันออกกลาง สแกนดิเนเวีย

คุณนูปสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยวิชาทางวิทยาศาสตร์และใช้คะแนน IELTS ปัจจุบันนักเรียนไทยที่มาเรียนแพทย์ที่ Lublin มีประมาณ 100 กว่าคน จุดเด่นที่ทุกคนเลือกมาเพราะค่าเทอมที่ถูก และค่าครองชีพที่ไม่แพง 

การเรียนที่โปแลนด์มีสอบทุกสัปดาห์ ต้องทำคะแนนสอบให้ได้มากกว่า 50% ขึ้นไป จึงจะมีสิทธิ์สอบไฟนอล ต้องอ่านหนังสืออยู่เรื่อย ๆ  ปีแรกที่มาปรับตัวยากมาก เพราะคนไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ ทำให้สื่อสารยาก

ด้วยความที่คนที่นี่ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก สำเนียงจะฟังยากมาก ทำให้มีอุปสรรคด้านการสื่อสาร เวลาเครียดคุณนูปก็จะมีออกไปกินข้าว ท่องเที่ยวกับเพื่อน หรือแม้กระทั่งไปหานักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยที่มีให้บริการ

วิถีชีวิตนักเรียนไทยในโปแลนด์ ส่วนใหญ่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเตะฟุตบอล ทานข้าวด้วยกัน แต่ด้วยความที่สอบเยอะมากก็จะไม่ค่อยมีเวลา วิธีที่ทำให้คุณนูปผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ คือ การจดไดอารี่ไว้ 

สิ่งที่น่าสนใจในโปแลนด์ คุณนูปแนะว่า ถ้าชอบมิวเซียม ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ ดนตรีคลาสสิก โปแลนด์เป็นอีกตัวเลือกที่น่ามาเที่ยวมาก ด้วยความที่เป็นพื้นที่ของสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก่อน และมีอุทยานแห่งชาติกว่า 100 แห่ง

คุณนูปเป็นนักกิจกรรมตัวยง ทั้งเล่นดนตรี กีฬา ท่องเที่ยว ปีนผา คุณนูปเล่าว่า กิจกรรมปีนผา เริ่มทำช่วงกลับไทยเมื่อปีที่แล้วตอนสถานการณ์โควิดระบาดหนัก เจ้าของสำนักพิมพ์ที่คุณนูปเป็นนักเขียนอยู่ได้ชวนไปปีนผา ไปแล้วเกิดติดใจ เมื่อกลับมาโปแลนด์ก็ยังสนใจและทำต่อมาเรื่อย ๆ 

คุณนูปมีอุดมการณ์ คือ อยากเป็นแพทย์ที่ดูแลผู้ลี้ภัย เพราะมีอาจารย์ที่เป็นต้นแบบ แล้วรู้สึกว่าเท่ดี ตอนย้ายมาอยู่โปแลนด์มีช่วงหนึ่งที่เขวไปบ้าง แต่มีโอกาสได้ทำเรื่องเกี่ยวกับอาหารกลางวันให้เด็กที่เคนย่า เลยสามารถดึงตัวเองกลับมาในความฝันที่เคยตั้งไว้ 

จุดเริ่มต้นอาชีพนักเขียน 
จุดเริ่มต้นการเป็นนักเขียนของคุณนูปเริ่มมาจากเป็นแฟนของสำนักพิมพ์ชี้ดาบ รู้จักกับพี่ที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ ช่วงที่โปแลนด์มีโควิดระบาดหนักทำให้ออกไปไหนไม่ได้ เลยตัดสินใจทักไปคุยกับรุ่นพี่เจ้าของสำนักพิมพ์ พี่เลยได้ชวนมาเขียนหนังสือรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับคนไทยที่เจอโควิดจากทั่วโลก คุณนูปจึงตัดสินใจเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า พังเรนเจอร์ : AGE OF CORONA

อีกเล่มมีชื่อว่า อยุติธรรม เจนเนอร์เรชั่น | พังเรนเจอร์ จูเนียร์ ซึ่งรวบรวมประสบการณ์ที่เจอมาแล้วรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตัวเรา 

การเขียนสำหรับคุณนูปเหมือนการปลดปล่อยอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยความที่กิจกรรมบางอย่างที่เคยทำเพื่อปลดปล่อยความเครียด อาจจะทำไม่ได้ในช่วงโควิด จึงต้องหาวิธีอื่นในการปลดปล่อยออกมา
 
คุณนูปคิดว่า 'นักศึกษาแพทย์' และ 'นักเขียน' มีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกัน เช่น เรื่องเรียนทำให้ต้องอ่านหนังสือทุกวัน ส่วนการเขียนเป็นสิ่งที่เจอทุกวัน เป็นสิ่งที่สะสมทุกวันทั้งคู่ แต่ความต่าง คือ การเขียนเป็นประสบการณ์ตรงที่เราเจอเองจริง ๆ แต่การเรียนไม่ใช่สิ่งที่เราเจอมาด้วยตัวเอง แต่เป็นเรื่องที่เราอ่านความรู้ที่คนอื่นเตรียมไว้แล้ว

แผนในอนาคตเมื่อเรียนจบของคุณนูป คือ กลับไทยเพื่อสอบใบประกอบเก็บไว้ ก่อนจะออกเดินทางไปตามค่ายผู้ลี้ภัยแล้วค่อยกลับมาเมืองไทย 

สุดท้ายคุณนูปฝากสำหรับคนที่อยากเรียนแพทย์ในโปแลนด์ไว้ว่า ข้อสอบเข้ายากขึ้นมาก ให้อ่านหนังสือเยอะ ๆ ทำภาษาอังกฤษไว้ให้ดี


.

.


.

แนะนำทักษะทางภาษา เรื่อง “Word Dissection” หรือการแยกคำในคำ

แนะนำทักษะทางภาษา เรื่อง Word Dissection หรือการแยกคำในคำ ที่จะช่วยขยายคลังคำศัพท์เราให้มากขึ้น (แนะนำการเรียนภาษา ของกระผมคนที่ไม่ได้จบทางด้านภาษาศาสตร์) 

จำสมัยเรียนภาษาไทยกันได้มั้ย เรื่อง การสมาสและการสนธิ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เข้าใจพวกคำจากรากบาลี สันสกฤต แต่ในภาษาตะวันตกอย่างอังกฤษก็มีเทคนิคคล้าย ๆ กัน ในเมื่อเค้าเอามาเชื่อมมาชนกันจนเป็นคำ เวลาเราจะดูว่าคืออะไร ก็ต้อง deconstruct หรือ dissect ส่วนประกอบของคำนั้นออกมา

“pneumonoultramicroscopicsilicovolcanoconiosis”

Pneumono (เกี่ยวกับปอด) + ultra (มาก ๆ ซึ่งตั้งแต่หน้า micro จริงใช้ขยายไมโคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของ ขนาด) + micro (ขนาดเล็ก ประมาณ 10 ยกกำลัง -6) + scopic (ทัศนะ ที่แปลว่าการมองเห็น) + silico (เคมี silicon บนตารางธาตุ) + volcanon (ภูเขาไฟ) + osis (เป็น suffix ที่ใช้ลงท้าย พวกกระบวนการ อาการ หรือ condition ต่าง ๆ) 

ถ้าแปลเป็นคำอธิบาย ก็คือ "โรคฝุ่นจับปอดที่เกิดจากฝุ่นขี้เถ้าภูเขาไฟที่มีส่วนประกอบเป็นซิลิกาและมีขนาดเล็กมาก" (แต่น่าจะเห็นได้น้อยในไทยเพราะไม่มีภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต) 

ข้างบนดูคำยากไปและไกลตัว แต่หากมาดูคำง่าย ๆ ที่คนไทยเจอบ่อย เช่น

Hypertension 
Hyper แปลว่า มากเกิน มากกว่าปกติ ซึ่งตรงข้ามกับ hypo ที่แปลว่า น้อยมาก น้อยกว่าปกติ กับคำว่า tension แปลว่า ความเครียด ความดึง ความดัน (ความหมายทางวิทยาศาสตร์น่ะ ซึ่งมีคุณลักษณะทางฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) ซึ่งถ้า tension ทางสัมคมศาสตร์ถูกใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน

รวม ๆ ก็ความดันที่มากกว่าปกติ ก็คือ ความดันสูง
ตรงข้ามกัน ก็คือ hypotension ความดันต่ำ

หรือหากในดูโพสต์ก่อนของเราพูดเรื่อง Ambiguous Genitalia คำนี้ถ้าใครแน่นภาษาอังกฤษแน่นแล้วยิ่งง่าย เพราะคำแรก แปลว่า คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ส่วนคำหลังเป็นคำที่มาจากที่สิ่งเราคุ้น ๆ กันดีคือ genital หรืออวัยวะเพศ (ตอนมัธยมหงุดหงิดมาก ครูสอนแต่ คำว่า penis กับ vagina แต่ไม่เคยได้ยิน genital) ดังนั้น กลุ่มอาการข้างต้น ก็คือเป็นการพูดถึง ลักษณะทาง physique ของอวัยวะเพศที่ไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ คลุมเครือ (แปลจากคำตรง ๆ ยังไม่รวมทางเทคนิคใด ๆ ทั้งสิ้น เดี๋ยวพวกเพื่อนหมอมาตอแยว่า สาระแน) 

หากแยกผิดพลาดหรือการอธิบายทางเทคนิคที่ไม่ชัดเจนต้องขออภัย ไม่ได้เรียนอักษรและแพทยศาสตร์มาโดยตรง ดังนั้นทาง Technical ของทั้งสองศาสตร์อาจจะไม่ตรงเป๊ะ แต่พอจะมีความสามารถเข้าใจได้และแยกได้ประมาณนี้ 

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วที่เคยไปหาหมอ แล้วเจอรังสี amazement ที่คุณหมอแผ่ใส่ เพราะว่า หมอพูดชื่อโรคบางอย่างออกมาเป็นศัพท์เฉพาะทาง (ไม่ใช้ชื่อโรคหรืออาการข้างต้น) แล้วก่อนที่หมอจะอธิบาย นี้ก็ถามว่า มันคือโรคประมาณนี้ใช่มั้ย (ตอนนั้นอาศัยการเดาล้วนๆ) แล้วการเดาชื่อโรค (ไม่ใช่การ diagnose น่ะ ไม่มีความสามารถในส่วนนั้น แค่เดาชื่อได้) ตอนนั้นก็ถูกไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ตอนนี้ ลองไปนั่งดูคำยาก ๆ หลายคำ ที่แปลไม่ออกเพราะแยกรากไม่ออก เพราะขาดความรู้ในส่วนของรากของทางกรีกและละตินไป 

*ทั้งนี้ ต่อให้รู้ชื่อรู้ที่มาของคำ ก็ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ด้วย กล่าวคือ รู้ชื่อรู้อาการไม่ใช่ว่าจะรักษาได้ ยังต้องไปหาหมอให้หมอรักษา นอกจากนี้ อีกประเด็นคือ อยากให้หมอเข้าใจว่าในสังคมปัจจุบัน คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น แต่ก็เป็นข้อมูลผิวนอก ไม่ได้รู้ดี คนไข้แค่อ่านหนังสือออกและอ่านหนังสือเป็น คนไข้เลยสงสัย คนไข้เลยอยากรู้ คนไข้เลยอยากถาม เวลาคนไข้บังเอิญรู้จักอะไรแปลก ๆ ที่หมอพูด คนไข้อาจจะรู้จักแค่ชื่อแค่คำแปลหรือลักษณะคร่าว ๆ เท่านั้นแหละ หมออย่าเพิ่งเหวี่ยง มีหมอหลายคนที่นอกจากทักษะทางการรักษาแล้ว ยังมีทักษะเรื่องการควบคุม temper หมอเหล่านี้น่ารักมาก อธิบายดีมาก (แต่ก็เข้าใจหมอที่ทำงานหนักแล้วยังมาเจอเคสแบบนี้ ที่ทำให้บางครั้งแล้วควบคุม temper ของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็อยากให้หายใจเข้า หายใจออก ทำใจเย็นๆ แล้วค่อยตอบ) เข้าใจว่าการเหวี่ยง การเล่นบทโหดมีอาจจะมีผลดีต่อคนไข้ แต่อยากให้เป็นไม้ตายสุดท้าย อย่าเพิ่งรีบเอามาใช้

หากถามว่าอีกเทคนิคหนึ่งในการฝึกภาษา คือ การถอดรากคำ แต่เทคนิคนี้อาจจะยากหน่อย แต่ถ้ารู้แล้ว มีประโยชน์มาก (แต่ในบางกรณี ต้องดู context ปัจจุบันนั้น ๆ ของคำด้วยว่ามันจะแปลเป็นภาษาคนปัจจุบันยังไง)


เขียนโดย คุณปอนด์ สุทธินันท์ ดวงภุมเมศร์ 
นักเรียนทุนรัฐบาล UIS ปริญญาโท Master of Public Administration, Cornell University, สหรัฐอเมริกา

คุณกิต กิตติพงษ์ ลุยวิกกัย | THE STUDY TIMES STORY EP.17

บทสัมภาษณ์ คุณกิต กิตติพงษ์ ลุยวิกกัย เรียนภาษาจีน Qingdao University, สาธารณรัฐประชาชนจีน

ปริญญาโท Computer Science & Software Engineering, Monash University, ออสเตรเลีย

จากนักการเงินสู่เจ้าของธุรกิจศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN

ปัจจุบันคุณกิตทำงานอยู่ในศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN ซึ่งคุณกิตไม่ได้จบทางด้านการศึกษามาโดยตรง ก่อนหน้านี้ทำงานในเรื่องของการเงิน การธนาคาร และคอมพิวเตอร์

จุดเริ่มต้นทำงานด้านการศึกษา ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN

หลังจากจบมา คุณกิตได้ทำงานด้านการเงินการธนาคารอยู่สักพัก จากนั้นได้ไปเรียนต่อปริญญาโท ด้าน Computer Science & Software Engineering ที่ออสเตรเลีย เพราะส่วนตัวมีความชอบเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจบปริญญาโท อยากเพิ่มสกิลภาษาขึ้นมา ซึ่งภาษาที่เลือกคือ ภาษาจีน จึงได้เลือกไปศึกษาต่อด้านภาษาที่ประเทศจีน ได้เจอกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง พบว่าระบบการรับนักศึกษาต่างชาติที่จีนยังไม่เฟื่องฟู การติดต่อค่อนข้างยาก ไม่มีบริษัทหรือศูนย์แนะแนวอย่างในปัจจุบัน จึงร่วมกับเพื่อนเปิดศูนย์แนะแนวเรียนต่อจีน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเด็กที่ไป

นักเรียนไทยคนแรกของเมืองชิงเต่า Qingdao University

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คุณกิตได้ข้อมูลเมืองชิงเต่ามาและมีศูนย์แนะนำอยากให้เด็กไทยไปเรียน ตอนแรกคิดว่าเป็นเมืองที่อยู่บนเกาะ เมืองนี้มีความน่าสนใจคือคนไทยอาจไม่เยอะมากเท่าเมืองอื่น เป็นเมืองท่าที่สำคัญ มีบริษัทยักษ์ใหญ่มาตั้ง พอไปถึงวันแรก ต่อเครื่องบินที่ปักกิ่งเข้าชิงเต่า พบว่าทั้งลำไม่มีคนต่างชาติเลย เป็นคนจีนทั้งหมด พอเครื่องลงจอดทุกคนสลายตัว เหลือคุณกิตอยู่ที่สนามบินคนเดียว นั่งรออยู่สนามบินหลายชั่วโมงกว่าที่รถมหาลัยจะมารับ

วันแรกที่นั่งเรียน คุณกิตเป็นคนไทยคนเดียวในมหาวิทยาลัย พอเอาตัวรอดได้เพราะได้ภาษาจีนนิดหน่อย นักเรียนในโรงเรียนเกิน 50% เป็นคนเกาหลี เนื่องจากชิงเต่าใกล้กับเกาหลี มีชาวญี่ปุ่น เยอรมัน ซึ่งชิงเต่าเคยเป็นอาณานิคมของเยอรมันมาก่อน คนเยอรมันเลยมาเรียนกัน

Culture Shock ที่พบคือ คำศัพท์ของจีนแทนคำศัพท์ต่างประเทศแทบทุกอย่าง ทุกคำศัพท์จากต่างประเทศถูกแปลงเป็นภาษาจีนทั้งหมด รวมทั้งชื่อคนไทยที่ไม่มีภาษาจีนก็จะถูกแปลงด้วย สิ่งที่งงที่สุดสำหรับคนต่างชาติ ณ ตอนนั้น คือการเปิดบัญชีธนาคาร เพราะคนจีนที่เมืองชิงเต่าไม่ค่อยได้เจอกับคนต่างชาติ คุณกิตเองใช้เวลาถึง 3 วันในการเปิดบัญชี

ประสบการณ์ที่ได้จากการไปเรียนภาษาจีนที่ชิงเต่า

ถ้าพูดถึงชิงเต่าแล้ว ในสมัยก่อนคนจะคิดว่าเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ตอนที่ปักกิ่งจัดโอลิมปิกครั้งแรก ได้เลือกเมืองชิงเต่าในการจัดโอลิมปิกทางน้ำ ชิงเต่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจีน ในการขนถ่ายสินค้าจากฝั่งทางเหนือ รวมทั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์ มีกองเรือดำน้ำที่สำคัญ บริษัทสำคัญมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชิงเต่า รวมทั้งเป็นเมืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญของมณฑล

การใช้ชีวิตที่ชิงเต่า ในเทอมแรกด้วยความเป็นนักเรียนไทยคนเดียว คุณกิตรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศไทย หากเรามีพฤติกรรมอย่างไร คนจะตัดสินว่าคนไทยเป็นคนแบบนั้น คุณกิตจึงเป็นตัวแทนในการทำกิจกรรมทุกอย่าง เพราะทำให้ได้เรียนรู้ ได้แสดงออก ที่สำคัญคือมีโอกาสในการใช้ภาษาเยอะมาก ทำให้ภาษาจีนพัฒนาโดยอัตโนมัติ

ประสบการณ์เรียนต่อออสเตรเลีย ปริญญาโท ด้าน Computer Science & Software Engineering, Monash University Australia
คุณกิตไปเรียนต่อปริญญาโท ด้าน Computer Science & Software Engineering, Monash University ที่ออสเตรเลีย  ได้อยู่กับ Host Family ที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งคุณกิตเดินทางไปก่อนล่วงหน้าสามเดือนเพื่อไปเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ปรับพื้นฐาน เลือกไปอยู่กับแฟมิลี่เพราะอยากรู้วัฒนธรรมของคนออสเตรเลีย แฟมิลี่พยายามให้พูด ทำการบ้าน เขียนไดอารี่ทุกวัน เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ อีกทั้งลูกของแฟมิลี่กำลังเรียนคอมพิวเตอร์พอดี คุณกิตเลยมีโอกาสช่วยสอน 
 
คุณกิตไปทำงานในร้านอาหารไทย และด้วยความที่คุณกิตเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์ จึงมีโอกาสไปทำงานออฟฟิศ ช่วยแผนกคอมพิวเตอร์ในบริษัทเล็ก ๆ 

คุณกิตแนะนำสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อทางฝั่งตะวันตก หรือฝั่งจีน ไว้ว่า ฝั่งตะวันตกมีความเป็นระบบในการรับนักศึกษาต่างชาติมากกว่า ทั้งระบบโฮส การจัดการจองห้องพัก การเปิดบัญชี การติดต่อกับมหาวิทยาลัยค่อนข้างสะดวก สิ่งที่อยากแนะนำคือ น้องที่อยากไปทำงานพาร์ทไทม์ ถ้ามีความรู้เฉพาะในส่วนของงานที่จะไปทำ หรือมีประสบการณ์มาก่อน จะทำให้ได้เปรียบกว่าคนอื่น ได้งานที่ดีกว่าคนอื่น เช่น การทำขนม บาริสต้า จะสามารถหางานได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์เลย และพยายามคลุกคลีกับชาวต่างชาติ เพราะจะได้เรียนรู้ ได้ฝึกภาษา ได้ประสบการณ์ที่มากกว่า

ขณะที่ทางฝั่งจีน การติดต่ออาจจะมีการใช้ภาษาท้องถิ่น ทำให้มีความติดขัดอยู่บ้าง อย่างการเปิดบัญชีธนาคาร การเข้าใจข้อกำหนด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น จีนห้ามเล่นโซเชียลมีเดียของต่างชาติ 

สำหรับใครที่สนใจไปเรียนต่อในประเทศจีน ไต้หวัน เกาหลี  สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN ไลน์ @OREN

.

.

‘ร.ต.ท.ปรฉัตร รักษาวงษ์’ จากเด็กกศน. สามารถจบปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต ตั้งแต่อายุ 19 ปี นอกจากนี้ยังสอบติดตำรวจตั้งแต่ครั้งแรกด้วยวัยดังกล่าว จากนั้นสอบตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้คะแนนอันดับ 1 ของรุ่น

การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการที่เรามีวุฒิการศึกษาสูงเพียงใดก็ยิ่งเปรียบเสมือนใบผ่านทาง หรือเรียกได้ว่าเป็นกุญแจด่านแรกของการดำเนินชีวิตด้วยตนเองเลยก็ว่าได้

เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของครอบครัว หลังจากเฟซบุ๊ก Manunya Ruksawong คุณแม่ท่านหนึ่งได้เผยการเรียนของลูกชาย ที่ตัดสินใจไม่เรียนตามระบบ แต่ขอออกมาศึกษาด้วยตัวเองที่บ้าน พร้อมกับสอบเทียบวุฒิกับ กศน. แทน ทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกกังวลกับอนาคตของลูกชายเป็นอย่างมากตลอดช่วงที่ผ่านมา

แต่เรื่องราวกลับเกินกว่าที่ผู้เป็นแม่คิดไว้ เพราะแม้จะเรียน กศน. แต่ลูกก็จบปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต ตั้งแต่อายุ 19 ปีนอกจากนี้ยังสอบติดตำรวจตั้งแต่ครั้งแรกด้วยวัยดังกล่าว จากนั้นสอบตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้คะแนนอันดับ 1 ของรุ่น และในวัย 22 ปี ลูกชายก็จบเนติบัณฑิต และปริญญาโทอีกด้วย

โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเรียน กศน. ทำเอาคนเป็นแม่หัวใจสลาย คิดไปว่าลูกหลงเดินทางผิด แล้วจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เปรียบเสมือนเดินบนเส้นด้ายอันน่าหวาดเสียว แต่ก็ห้ามไม่ได้

จนผู้เป็นแม่ได้แต่ร้องไห้ และเศร้าใจ ซึ่งก็มีพี่สาวเพื่อนที่คอยปลอบใจเท่านั้น พร้อมให้แนวคิดว่า เราจะให้ลูกมีความสุข หรือแม่มีความสุข การเรียน HOME SCHOOL นั้น เป็นทางเลือกลูก ให้ลูกเรียนไปเถอะ

ซึ่งแม่เองนั้นก็คิดว่าลูกเดินทางผิดแน่นอน เพราะไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากลูกเป็นคนขี้เกียจ เกเร

เด็กหลายคนเขามีเหตุผลส่วนตัวที่หลาย ๆ คนก็ไม่เข้าใจ แต่แล้วเด็ก กศน. คนนี้กลับทำให้แม่ภูมิใจ

จบปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต เพียงอายุ 19 ปี จบเนติบัณฑิต อายุ 22 ปี จบปริญญาโท อายุ 22 ปี แล้วสอบ กพ.ครั้งแรกก็ผ่านฉลุย

สอบตำรวจครั้งแรก ก็ผ่านฉลุย (ตำรวจรับวุฒิ ป.ตรี อายุ 19 ปี อายุน้อยที่สุดในรุ่น ทำงานตำรวจชั้นประทวนได้ 2 ปีมีสิทธิ์สอบตำรวจชั้นสัญญาบัตร ผลปรากฏว่า สอบได้ที่ 1 ของรุ่นทั่วประเทศ ได้คะแนน 137 เต็ม 150)

จึงอยากให้ผู้ปกครองทั้งหลายได้เข้าใจและให้กำลังใจลูก เพราะเด็กบางคนเขามีเหตุผลในการเลือกเรียนนอกระบบ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้แบบนี้ นายแน่มาก ร.ต.ท.ปรฉัตร รักษาวงษ์

หลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปได้มีผู้แชร์ออกไปเป็นจำนวนมากในโลกโซเชียล พร้อมทั้งชื่นชมกับความตั้งใจของหนุ่มคนนี้ที่ทำให้ผู้เป็นแม่ภาคภูมิใจ


ขอบคุณที่มา welovedantruat

ที่มา: https://thaisiamnews.info/2021/05/09/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top