Monday, 9 June 2025
TheStudyTimes

คติประจำใจจาก "Benjamin Franklin" (หนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา)

“An investment in knowledge pays the best interest.”

"การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด คือการลงทุนในความรู้”


- Benjamin Franklin (หนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา)

“แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด” นักแสดงสาวที่ทั้งสวย มากความสามรถ และเรียนเก่งสุด ๆ ถึงงานจะรัดตัว แต่เธอยังสามารถแบ่งเวลาเรียนและทำงานได้เป็นอย่างดี จนเรียนจบตามแผน คว้าเกียรตินิยมอันอันดับ 1 มาครองได้สำเร็จ

“แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด” เรียนจบปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการจัดการการสื่อสาร (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 (ปีการศึกษา 2561) ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.70

ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานไปควบคู่กับการเรียน เธอก็สามารถทำทั้งสองหน้าที่ได้อย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งเธอได้ไปสอบ IELTS ทดสอบเกี่ยวกับความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ผ่านด้วยคะแนน 8 เต็ม 9


ที่มา: https://campus.campus-star.com/variety/135816.html

คติประจำใจจาก "Shai Reshef" (ผู้ก่อตั้งและประธานของมหาวิทยาลัยประชาชน)

“When you educate one person you can change a life, when you educate many you can change the world.”

“เมื่อคุณให้การศึกษากับคนหนึ่งคน คุณเปลี่ยนชีวิตได้ แต่ให้การศึกษากับคนหลายคน คุณสามารถเปลี่ยนโลกได้”


- Shai Reshef (ผู้ก่อตั้งและประธานของมหาวิทยาลัยประชาชน)

"พงศธร จันทร์แก้ว" นักสังคมสงเคราะห์ด้านเด็กและครอบครัว นักเรียนทุนสหภาพยุโรป | Click on Clever EP.11

เพราะมีโอกาสมากกว่าคนอื่นจึงอยากจะตอบแทนสังคมด้วยบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนมองเพื่อนมนุษย์อย่างเข้าอกเข้าใจ

.

.

ไม่ว่าจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากมายแค่ไหน รักกันมากเพียงใด ถ้าไม่รู้จักการสื่อสารภาษารักที่ดีต่อกัน ความรักก็อาจเหือดแห้งหายไปได้ในที่สุด

คุณเคยมีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรักบ้างไหม?

บ่อยครั้งที่เราอาจรู้สึกว่า เราไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความรัก หรือการให้ความสนใจเท่าที่ควร ในขณะที่คนที่รักเรา เขายังบอกว่ารู้สึกเป็นห่วง ใส่ใจ และต้องการดูแลเราอยู่ปกติ แต่ทำไมเราจึงรู้สึกตรงกันข้าม สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการใช้ภาษาในการสื่อสารความรักที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากมายแค่ไหน รักกันมากเพียงใด ถ้าไม่รู้จักการสื่อสารภาษารักที่ดีต่อกัน ความรักคุณอาจจะเหือดแห้งหายไปได้ในที่สุด

ภาษารัก คือ การเรียนรู้ในการแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดและการแสดงออก เพื่อให้คนรักค่อย ๆ เดินทางเข้ามาหาเราทีละเล็กทีละน้อย ในทางจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า การครองใจคน “เกิดขึ้นในขณะที่คนรักอยู่กับเราแล้วเขาและเธอรู้สึกมีคุณค่าในขณะที่อยู่กับเรา”

ระหว่างคนสองคนเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วสามารถทำให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงคุณค่าในตัวเอง เป็นวิธีในการแสดงออกความรู้สึกรักที่แต่ละคนได้มีการเรียนรู้ ความชอบ รสนิยม ความเป็นตัวตน ซึ่งแตกต่างกันออกไป เพื่อที่จะแสดงความรู้สึกรัก การยอมรับ และการใส่ใจ โดยในการแสดงออกถึงความรักนั้นมีอยู่เพียง 5 วิธีเท่านั้น คือ

1.) การดูแลและทำเรื่องดี ๆ ให้กับคนรัก

เป็นการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำอยู่เป็นประจำ ไม่ถือเป็นภาระหน้าที่ เช่น

• การช่วยเหลือเรื่องงาน

• การทำอาหารให้ทาน

• การช่วยขับรถให้

• การช่วยทำความสะอาด

• การซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับให้

• การช่วยถือกระเป๋า

• การให้ความสะดวกสบาย

• การดูแลเอาใจใส่ ห่วงใย

• การช่วยเป็นธุระให้

• การให้ความสำคัญ

• ฯลฯ

2.) คำพูดที่ดีต่อใจ

คือภาษารักที่สื่อสารผ่านถ้อยคำ คำพูด รวมทั้งการส่งข้อความ message ด้วย คำพูดที่เติมเต็ม (Word of Affirmation) ไม่ได้มีแต่การบอกรักเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการพูดในเรื่องที่สร้างความสุขให้กับคนที่รัก ให้คุณค่ากับคนที่รักด้วย เช่น

• การพูดขอบคุณ

• การพูดคำชื่นชม

• การพูดบอกรัก

• การพูดให้กำลังใจ

• การพูดให้รู้สึกสบายใจ

• การพูดให้เกียรติ

• การเคารพ

คำพูดที่เติมเต็มให้กันและกัน แม้นไม่ใช่คำพูดบอกรักกันอย่างตรงไปตรงมา และเป็นคำพูดที่อาจสังเกตได้ยาก เพราะบางครั้งคนเราจะมีมุมมอง ความคิดที่แตกต่างกันออกไป หากใช้คำพูดที่เติมเต็มหัวใจ การให้กำลังใจ หรือการชื่นชม ในเรื่องที่ไม่ถูกใจเรา หรือ เป็นเรื่องที่คนรักอาจไม่เคยให้คุณค่ามาก่อน อาจทำให้คนรักไม่ได้รู้สึกดี ไม่ได้รู้สึกถึงความเอาใจใส่แต่อย่างใด หรือในบางครั้งอาจถึงขั้นเกิดการทะเลาะกันก็เป็นได้

3.) การสัมผัส

เมื่อมนุษย์มีการสัมผัสกัน สมองจะหลั่งฮอร์โมนเช่นออกซิโทซิน (Oxycontin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีความเกี่ยวข้องกับความรักออกมาทำให้เกิดความรู้สึก

การสัมผัส (Physical Touch) เกิดขึ้นตั้งแต่ทารกที่สามารถเข้าใจความหมายของคำว่ารัก ผ่านการสัมผัสของแม่ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงหลายอย่าง เช่น

• การจับมือ

• การกอด

• การโอบ

• การจูบ

• การแตะ

• การใกล้ชิด

• การมองตา

กิริยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวอย่างของการแสดงออกความรักทั้งสิ้น

4.) การให้ของขวัญพิเศษแก่คนรัก

การให้ของขวัญในวันพิเศษ การให้ช่อดอกไม้ในวันแห่งความรัก การทำเซอร์ไพรส์ เราจะเห็นคนรักแสดงออกต่อกันในรูปแบบนี้บ่อยๆ ศิลปินดารา นักร้อง คนมีชื่อเสียง ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ยาวนาน ของขวัญถูกออกแบบไว้เพื่อทำให้แสดงออกถึงความรัก นั่นเอง

ของขวัญที่ให้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่มีราคาแพงหรือหรูหรา แต่มันอาจเต็มไปด้วยความหมาย หรืออาจเป็นบางอย่างที่ธรรมดา เช่น ของทำเอง เป็นการแสดงความตั้งใจทำให้คนรัก สื่อออกมาว่านี่คือความพิเศษสำหรับคนรักจริงๆ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เติมเต็มได้เป็นอย่างดี

5.) การมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

เวลาคุณภาพร่วมกัน (Quality Time) เป็นภาษารักที่เกิดขึ้นจากการใช้เวลาในการทำกิจกรรมร่วมกัน มีความสนใจคล้าย ๆ กัน โดยไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอยู่ร่วมกันทางกายภาพอย่างเดียว แต่สามารถร่วมกิจกรรมกันได้หลาย ๆ ทาง เช่น

• การพูดคุยกัน

• การดูโทรทัศน์ ดูหนังด้วยกัน

• เล่นกีฬาร่วมกัน

• ทำการกุศลร่วมกัน

• การเล่นเกมส์ร่วมกัน

• การทำอาหารด้วยกัน

• การท่องเที่ยวด้วยกัน

• การเดินป่าด้วยกัน

• การดำน้ำด้วยกัน

• การตกปลาร่วมกัน

หากคุณได้ใช้เวลาร่วมกันโดยที่ไม่อยากให้มีอะไรมาแทรก ให้ความสนใจกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมอะไร สิ่งเหล่านี้คือการได้ใช้เวลาคุณภาพที่มีร่วมกันแล้ว

คุณลองพิจารณาตัวเอง เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้ภาษารักแบบใด และลองสังเกตว่าคนรักของคุณมีแนวโน้มที่จะชอบใช้ภาษารักแบบไหนใน 5 แบบนี้

คุณอาจประหลาดใจว่า คนรักของคุณสามารถแสดงออกถึงความรักในรูปแบบของเขามากขึ้นจนเป็นที่พอใจ

นอกจากนี้คุณจะสามารถเข้าใจความห่วงใยของแต่ละคนที่ส่งมาให้คุณได้มากขึ้น และค่อยๆ ปรับความเข้าใจ เพื่อเข้าหากันได้ดีขึ้นเป็นลำดับ

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล

https://www.focusonthefamily.com/marriage/understanding-the-five-love-languages/

https://www.5lovelanguages.com/5-love-languages/

https://cratedwithlove.com/blog/five-love-languages-and-what-they-mean/

THE STUDY TIMES STORY เปิดตัวสัปดาห์แรก พบกับเรื่องราวชีวิตคนไทยในต่างแดน ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ

????THE STUDY TIMES STORY เปิดตัวสัปดาห์แรก 

????วันจันทร์ที่ 19 เมษายน - วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 

⏰ทุกวัน เวลา 2 ทุ่มตรง 

พบกับเรื่องราวชีวิตคนไทยในต่างแดน ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ

????EP.1 วันจันทร์ที่ 19 เมษายน
คุณน้ำหวาน ภิรมณ กำเนิดมณี นักเรียนทุน พสวท. (ฟิสิกส์) ปริญญาตรี-ปริญญาเอก สหรัฐอเมริกา

????EP.2 วันอังคารที่ 20 เมษายน
คุณมี่ โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และ ผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

????EP.3 วันพุธที่ 21 เมษายน
คุณยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ, นักแปล เรียนต่อออสเตรเลียและจีน 
The University of Queensland 
Shanghai Normal University 

????EP.4 วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน
คุณแอล ทักษ์ดนัย นิลกำแหง
ปริญญาตรี Portland States University สหรัฐอเมริกา

????EP.5 วันศุกร์ที่ 23 เมษายน
คุณเจน ณัฐภา กมลเศวตกุญ
นักธุรกิจด้านแฟชั่น เรียนต่อออสเตรเลียและอิตาลี
Melrose high school, Canberra Australia
Istituto Marangoni, Milan Italy

✅ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of Content Editor THE STUDY TIMES

????ช่องทางรับชม 
Facebook: THE STUDY TIMES / THE STATES TIMES
YouTube: THE STATES TIMES

รมว. อุดมศึกษา ลงนามในประกาศ เรื่อง มาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ฉบับที่ 11) โดยมีสาระสำคัญคือ ให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ หยุดสอน เรียนออนไลน์แทน

นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ลงนามในประกาศ อว. เรื่อง มาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ฉบับที่ 11)

ตามที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้ประกาศมาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นลำดับ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติสำหรับสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังกล่าว นั้น

เพื่อให้การดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและเป็นไปตามมาตรการที่ ศบค. ประกาศกำหนด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงยกเลิกประกาศกระทรวงฯ เรื่อง มาตรการและการเฝ้าระวัง การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับที่ 10 และกำหนดมาตรการและแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวง อว. พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ ดังนี้

1. ให้สถาบันอุดมศึกษางดการเรียนการสอนในสถานที่ รวมทั้งการสอบ การฝึกอบรมหรือ กิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากทำให้เสี่ยงต่อการแพร่โรค โดยให้จัดการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ และปรับวิธีการวัดประเมินผลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้การจัดการศึกษามีความต่อเนื่อง และมิให้เกิดผลกระทบต่อนิสิตนักศึกษา

2. ให้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวง หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีคนเข้าร่วม มากกว่า 50 คน ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องจัดกิจกรรมที่มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมากจะต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าส่วนราชการ/ผู้บริหารหน่วยงาน และให้ดำเนินการตามมาตรการควบคุมหลักในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID- 19) อย่างเคร่งครัด

3. ให้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวง กำหนดมาตรการในการทำงานสำหรับ บุคลากรในสังกัด โดยให้ใช้มาตรการการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งเพื่อลดการเดินทางและลดการสัมผัสเชื้อ โดยให้หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้บริหารหน่วยงานพิจารณาระดับความเสี่ยงและบริบทของพื้นที่ตามที่ ศบค.ประกาศกำหนด เพื่อกำหนดสัดส่วนการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง หรือการสลับวันหรือการเหลื่อมเวลา การเข้าปฏิบัติงานได้ตามควาเหมาะสมของพื้นที่

4.ให้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวง ปรับรูปแบบวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ โดยเน้นการทำงานในรูปแบบออนไลน์ หรือจัดประชุมผ่านระบบทางไกล โดยให้หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้บริหารหน่วยงานพิจารณาปรับระบบการบริหารจัดการและรูปแบบการประเมินผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งนี้อาจมีบางงานหรือกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมไม่มาก เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID- 19) หรืองานวิจัยที่สำคัญ หรืองานบริการประชาชนที่จำเป็นให้อยู่ในดุลพินิจของอธิการบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการ/ผู้บริหารหน่วยงาน

5. ให้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวง พิจารณาดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่ดูแลผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วย โดยประสานงานกับศูนย์ปฏิบัติการและบริหารสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID- 19 ของกระทรวง อว. (ศปก.อว.) และหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่

6. ให้โรงพยาบาลของสถาบันอุดมศึกษาปฏิบัติภารกิจด้านการให้บริการประชาชน บริการสาธารณะและการบริหารจัดการตามภาระหน้าที่ โดยให้มีมาตรการความปลอดภัยสูงสุดสำหรับบุคลากรในสังกัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับบริการในทุกระดับ

7. ให้ศูนย์ประสานงานในระดับหน่วยงานเป็นกลไกในการกำกับ ติดตามและเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อโรคดังกล่าว รวมถึงเป็นศูนย์แจ้งเหตุและทำหน้าที่ประสาน งานภายในหน่วยงานและประสานงานกับกระทรวง พร้อมทั้งเผยแพร่สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้บุคลากรภายในหน่วยงานได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง โดยให้สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานภายในกระทรวงติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างใกล้ชิด และให้ดำเนินการตามมาตรการควบคุมหลักในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ศบค. และกระทรวง อว. กำหนดอย่างเคร่งครัด

กรณีมีเหตุการณ์ผิดปกติให้รายงานศูนย์ปฏิบัติการและบริหารสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวง อว. (ศปก.อว.) ทราบโดยด่วน เพื่อร่วมกันควบคุมสถานการณ์ โดยของให้รายงานข้อมูลในระบบกลุ่มไลน์ที่กำหนด หรือประสานแจ้งข้อมูลได้ที่ ศปก.อว.โทร 02 354 5568 โทรสาร 02 354 5524-6

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 17 เมษายน 2564


ที่มา: https://www.amarintv.com/news/detail/75611

บอร์ด กพฐ. เห็นชอบรวมโรงเรียน 10 โรง เลิกสถานศึกษา 3 โรง แนะสพฐ. บริหารจัดการโรงเรียนให้เหลือ 2 หมื่นโรง การจัดสรรงบฯ จะได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุม กพฐ.ได้มีมติเห็นชอบการรวมสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 10 โรง ใน 7 เขตพื้นที่การศึกษา คือ

1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงใหม่ เขต 5 โรงเรียนบ้านกองวะ มีนักเรียนระดับชั้น ป.3-6 จำนวน 4 คน รวมกับโรงเรียนบ้านโปงทุ่ง

2. สพป.เชียงใหม่ เขต 6 โรงเรียนวัดพระบาท มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 29 คน รวมกับโรงเรียนบ้านเมืองกลาง

3. สพป.พิจิตร เขต 2 โรงเรียนวัดคลองข่อย มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 36 คน รวมกับโรงเรียนศรีประสิทธิ์วิทยา

4. สพป.เพชรบุรี เขต 1 โรงเรียนวังตะโก มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 12 คน รวมกับโรงเรียนวัดทองนพคุณ (เจริญราษฎร์วิทยาคาร)

5. สพป.นครสวรรค์ เขต 2 โรงเรียนบ้านทุ่งรวงทอง มีนักเรียนชั้น ป.1-3 และ ป.5 14 คน รวมกับโรงเรียนบ้านเนินใหม่

6. สพป.ลำพูน เขต 1 โรงเรียนบ้านทาปลาดุก มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 25 คน รวมกับโรงเรียนบ้านดอยแก้ว

7. สพป.น่าน โรงเรียนบ้านธงหลวง มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 20 คน รวมกับ โรงเรียนบ้านน้ำครกใหม่ โรงเรียนบ้านห้วยมอญสาขาใหม่ในฝัน มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 15 คน รวมกับ โรงเรียนบ้านห้วยมอญ โรงเรียนบ้านน้ำอูน มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 17 คน รวมกับ โรงเรียนบ้านนาคา และโรงเรียนบ้านกาใส มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 30 คน รวมกับโรงเรียนบ้านวังตาว

นายเอกชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 โรง ได้แก่ โรงเรียนบ้านห้วยขี้เหล็ก สพป.เชียงราย เขต 2 โรงเรียนบ้านสระลำใย สพป.สระบุรี เขต 1 และโรงเรียนวัดบางพระ สพป.นครศรีธรรมราช เขต 3 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามสถานการณ์อัตราการเกิดของประชากรที่ลดลง และยังสอดคล้องกับโครงการโรงเรียนคุณภาพของชุมชนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าในอนาคต เราควรที่จะบริหารจัดการโรงเรียนให้เหลือประมาณ 20,000 โรง จาก จำนวน 30,000 กว่าโรง เพื่อที่จะทำให้การบริหารจัดการงบประมาณเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จะต้องคงมีโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล (Stand alone) ไว้


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/99659

มากกว่า 30 รายรหัสวิชาที่ต้องสอบ เพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยไทย...มีอะไรบ้าง ที่ต้องรู้ ก่อนเลือกสมัครสอบตามคณะที่คาดหมาย

การเปลี่ยนแปลง เงื่อนไขที่ไม่หยุดนิ่ง ทิ้งสิ่งที่เรียกว่าภาระเด็กไทย เข้ามหาวิทยาลัยสุดโหดได้อย่างไร?

จำนวนวิชาสอบที่สร้างความยุ่งยากซ้ำซ้อน กว่า 30 รายรหัสวิชาที่ต้องสอบเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยไทย...มีอะไรบ้าง ที่ต้องรู้ก่อนเลือกสมัครสอบตามคณะที่คาดหมาย ให้ครบถ้วนไม่ขาด

3 กลุ่มวิชาหลักที่ขาดไม่ได้ ในการใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ TCAS (Thai University Central Admission System)

1. O-NET
   O-NET (Ordinary National Educational Test) คือ การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน เป็นการทดสอบเพื่อวัดความรู้และความคิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประเมินตามมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.

2. GAT PAT
    GAT/PAT คือการสอบความถนัดทั่วไป GAT ซึ่งย่อมาจากคำว่า (General Aptitude Test) หรือการทดสอบความถนัดทั่วไป ส่วน PAT คือการสอบความถนัดด้านวิชาการ (Professional A Aptitude Test) คือ การสอบวัดศักยภาพของนักเรียนที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย

3. 9 วิชาสามัญ
    9 วิชาสามัญ คือ ข้อสอบกลางที่จัดสอบโดย สทศ. เพื่อใช้ในการรับตรงเข้ามหาวิทยาลัย  แต่เดิมจะสอบเพียง 7 วิชา แต่เพื่อให้ครอบคลุมกับเนื้อหาของสายศิลป์ จึงเพิ่มอีก 2 วิชาเข้าไป รวมเป็น 9 วิชา ดังนี้

1.วิชาภาษาไทย
2.วิชาสังคมศึกษา
3.วิชาภาษาอังกฤษ
4.วิชาคณิตศาสตร์ 1
5.วิชาฟิสิกส์
6.วิชาเคมี
7.วิชาชีววิทยา
8.วิชาคณิตศาสตร์ 2 (สายศิลป์)
9.วิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป (สายศิลป์)

5 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับ GAT/PAT

1. GAT คืออะไร?
เป็นการสอบที่ดูว่า นักเรียนคนหนึ่งมีความพร้อม ในการจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากน้อยแค่ไหน โดยจะทำการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test) ซึ่งก็คือเป็นการวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัย ให้ประสบความสำเร็จ มี 2 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 พาร์ทภาษาไทย คือ วัดความสามารถในการอ่าน/การเขียน/การคิดเชิงวิเคราะห์/และการแก้โจทย์ปัญหา

ส่วนที่ 2 พาร์ทภาษาอังกฤษ คือ วัดความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย Speaking and /Conversation/Vocabulary/Structure and Writing/Reading Comprehension

รวมกันสองพาร์ทนี้ 300 คะแนน

2. PAT คืออะไร?
เป็นการทดสอบวิชาความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (Professional and Academic Aptitude Test)  การวัดความรู้ที่เป็นพื้นฐาน กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้นๆ ดูว่านักเรียนคนหนึ่งมีแววจะเข้าสู่เส้นทางอาชีพในคณะที่เลือกไหม  มี 7 สาขาวิชาตามกลุ่มวิชาชีพดังนี้คือ

PAT 1 คือ ความถนัดทางคณิตศาสตร์
PAT 2 คือ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
PAT 3 คือ ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
PAT 4 คือ ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
PAT 5 คือ ความถนัดทางวิชาชีพครู
PAT 6 คือ ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
PAT 7 คือ ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วย

PAT 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส
PAT 7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน
PAT 7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น
PAT 7.4 ความถนัดทางภาษาจีน
PAT 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ
PAT 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี
PAT 7.7 ความถนัดทางภาษาเกาหลี

3. GAT PAT สำคัญต่อแอดมิชชั่นอย่างไร?
แอดมิชชั่นกลางนั้น GAT PAT รวมกันจะเป็นสัดส่วนถึง 50% และอีก 50% ที่เหลือก็มาจากสัดส่วนรวมกันของเกรด(GPAX) และคะแนน O-NET นั่นเอง นั่นหมายความว่า ถ้าไม่มี GAT PAT ก็จะไม่สามารถแอดมิชชั่นได้ นอกจากนี้การรับตรงในบางมหาลัยนั้นก็ใช้ GAT PAT เป็นเกณฑ์คัดเลือกสำคัญด้วย อาทิ รับตรงปกติ จุฬาฯ, รับตรง มธ.บางคณะ, รับตรงแม่ฟ้าหลวง เป็นต้น

และรับตรงรอบแรกส่วนใหญ่ก็จะใช้ GAT PAT รอบแรกเท่านั้น เพราะรับตรงโครงการนั้นๆ จะเสร็จสิ้นก่อนจะสอบ GAT PAT จึงใช้ได้แค่รอบเดียว ดังนั้น เตือน ม.6 ถ้าถึงเวลาสมัครสอบแล้ว ก็อย่าลืมสมัครด้วยนะ จะได้ไม่เสียสิทธิ์รับตรง (ในบางคณะ)

4. คณะไหนใช้ PAT อะไรบ้าง
PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ กลุ่มคณะที่ใช้ เช่น กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์กายภาพ กลุ่มเกษตร-วนศาสตร์ กลุ่มบริหาร-บัญชี เศรษฐศาสตร์ กลุ่มมนุษยฯ-อักษรฯ-สังคมศาสตร์ (ยื่นคะแนนรูปแบบที่1)

PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มคณะที่ใช้ เช่น กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มวิทยาศาสตร์กายภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์

PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ มีคณะเดียวที่ใช้ คือ คณะวิศวกรรมศาสตร์

PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ มีคณะเดียวที่ใช้ คือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู มีคณะเดียวที่ใช้ คือ คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์

PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ มีคณะเดียวที่ใช้ คือ คณะศิลปกรรมศาสตร์

PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ กลุ่มคณะที่ใช้ เช่น กลุ่มการโรงแรมและท่องเที่ยว(ยื่นคะแนนรูปแบบที่2) กลุ่มมนุษยฯ-อักษรฯ-สังคมศาสตร์ (ยื่นคะแนนพื้นฐานศิลป์ รูปแบบ2)

5. ใครสอบได้บ้าง
สำหรับการสอบ GAT PAT ค่อนข้างจะอิสระพอสมควร เพราะทุกคนมีสิทธิในการสอบหมด ทั้ง ม.6 เด็กซิ่ว และ สายอาชีพ และจะสมัครกี่ครั้งก็ได้ เพราะการสมัครสอบสามารถดำเนินการสมัครได้ด้วยตนเอง ดังนั้นอยู่ที่ความรับผิดชอบของตัวเอง หากสมัครไม่ทัน ผลเสียก็ตกอยู่ที่ตัวเอง

อายุของคะแนนสอบ GAT PAT อยู่ได้ 2 ปี  นั่นหมายความว่า หาก ม.6 ปีนี้ อยากซิ่วในปีหน้า คะแนนของปีนี้ก็ยังใช้ได้ โดยในการสมัครแอดมิชชั่นกลางจะมีระบุไว้ว่าใช้รอบใดได้บ้าง

วิชาสามัญ คือ ข้อสอบกลางที่จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ที่ใช้ในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาตร์ 1 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ 2 และวิทยาศาสตร์ทั่วไป แต่ตอนนี้ลดการสอบซ้ำซ้อน โดย วิชาสามัญ จะสอบแค่ 7 วิชาหลัก จะไม่มีการสอบ คณิตศาสตร์ 1 และวิทยาศาสตร์ทั่วไป หากคณะ/สาขาใดใช้ 2 วิชานี้ ให้ใช้คะแนนจาก คณิตศาสตร์ O-NET และวิทยาศาสตร์ O-NET แทน วิชาสามัญจะเปิดรับสมัครสอบทุกปีในช่วงเดือนธันวาคม 

วิชาสามัญ ใช้ใน TCAS รอบใด
คะแนนยื่นเข้ามหาวิทยาลัย ในระบบ TCAS รอบ 2 โควตา รอบ 3 Admission 1 และรอบ 4 รับตรงเก็บตกสุดท้าย แต่น้อง ๆ ไม่จำเป็นต้องสอบทุกวิชา เลือกสมัครเฉพาะวิชาที่ใช้ก็พอ แต่ปัญหาหลักคือ บางคนไม่รู้ว่าคณะที่จะเข้า ต้องใช้วิชาอะไรบ้าง

สรุปการใช้ วิชาสามัญ ของแต่ละคณะ
แต่ละคณะ/มหาวิทยาลัย กำหนดเกณฑ์การใช้ วิชาสามัญ ไม่เหมือนกัน แต่สามารถแบ่งการใช้คะแนนตามกลุ่มคณะได้ดังนี้ เพื่อการเตรียมตัว น้อง ๆ ควรรู้ก่อนว่าคณะที่เราจะเข้า ใช้คะแนนอะไรบ้าง
 
1. กลุ่มสายวิทย์สุขภาพ ใช้ 7 วิชา
เช่น คณะแพทยศาสตร์ ทันตะ เภสัช สัตวแพทยศาสตร์ พยาบาล สหเวชศาสตร์ กายภาพบำบัด
1. ภาษาไทย
2. สังคมศึกษา
3. ภาษาอังกฤษ
4. คณิตศาสตร์ 1
5. ฟิสิกส์
6. เคมี
7. ชีววิทยา

2. กลุ่มสายวิทยาศาสตร์ ใช้ 4 วิชา
เช่น คณะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
1. ฟิสิกส์
2. เคมี
3. ชีวิวิทยา
4. คณิตศาสตร์ 1

3. สายศิลป์คำนวณ ใช้ 4 วิชา
เช่น คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ   คณะเศรษฐศาสตร์
1. ภาษาไทย
2. สังคมศึกษา
3. ภาษาอังกฤษ
4. คณิตศาสตร์ 1 หรือ คณิตศาสตร์ 2 (บางสาขา เช่น การท่องเที่ยวและโรงแรม)

4. กลุ่มสายศิลป์แบบใช้ 5 วิชา
เช่น คณะกลุ่มสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์
1. ภาษาไทย
2. สังคมศึกษา
3. ภาษาอังกฤษ
4. คณิตศาสตร์ 2
5. วิทยาศาสตร์ทั่วไป

5. กลุ่มสายศิลป์แบบ ใช้ 3 วิชา
เช่น อักษรศาสตร์ นิติศาสตร์
1. ภาษาไทย
2. สังคมศึกษา
3. ภาษาอังกฤษ

ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายยกเลิกการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET ของนักเรียนชั้น ม.6 ในปีการศึกษา 2564 ทำให้ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ต้องปรับรูปแบบ TCAS ในปีการศึกษา 2565 ทำให้รอบ Admission2 ที่ใช้คะแนน O-NET ในสัดส่วน 30% ต้องถูกยุติการใช้ใน TCAS65 และจะไม่ใช้คะแนนสอบอื่นมาทดแทน เพื่อลดภาระให้นักเรียน โดยจะเหลือการรับ 4 รูปแบบ 4 รอบการสมัคร ได้แก่ รอบ 1 แฟ้มสะสมผลงาน รอบ 2 โควต้า รอบ 3 แอดมิสชั่นส์ และรอบ 4 รับตรงอิสระ

การวางแผน ของนักเรียน มัธยมปลายรุ่นต่อๆ ไป ภาระอาจจะลดน้อยลง จากการกำหนดการสอบที่ลดน้อยลง แต่ปัญหาใหม่ในปีนี้ที่ผ่านมา ของนักเรียนรุ่นเข้ามหาวิทยาลัยรุ่นปี 2564 คือข้อสอบที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบจากแนวเก่าๆ เพราะหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลง และผู้ออกข้อสอบ โดย สสวท. ก็ทำให้นักเรียนรุ่นต่อไป ต้องรับศึกหนัก ข้อสอบที่ยากขึ้นมากสำหรับ คนที่อยู่ระดับล่างของการเรียนไทย การแข่งขันจะยิ่งทำให้ช่องว่าการศึกษาไทยยิ่งห่างกันอีกไกล

เตรียมตัวสอบวิชาอะไรบ้าง คณะอะไรที่จะเลือกใช้วิชาใดสอบ ยื่นรอบไหน ใช้อะไร เจอกันในบทความถัดไปครับ จะแนะนำวิธีการเลือกสอบ เลือกรอบยื่น และเลือกลำดับคณะมหาลัยที่เหมาะแต่ละคน

เว็ปไซต์ที่แนะนำติดตาม
https://www.niets.or.th/th/catalog/view/247
https://www.mytcas.com/


เขียน และรวบรวมข้อมูลโดย AodDekTai คุณพ่อผู้สนใจการศึกษาไทยและต่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top