Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

ตีแผ่ที่มาของการหายตัวลึกลับของ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของจีน

แจ็ค หม่า เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ที่ใครๆ ต่างก็รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจ e-Commerce ชื่อดัง อาลีบาบา ที่มีมูลค่าสูงถึง 527,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้อาลีบาบา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

แต่นอกเหนือจากบทบาทของการเป็นผู้ริเริ่มสร้างธุรกิจ e-Commerce จากศูนย์ ให้กลายเป็นธุรกิจแสนล้าน แจ็ค หม่า ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการหัวสมัยใหม่ ที่มักแสดงวิสัยทัศน์ที่ทันยุค และน่าสนใจ กลายเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคนที่ยกให้เป็น "วิถี แจ็ค หม่า"

แต่วันนี้ แจ็ค หม่า กลับเดินหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ออกสื่อมานานหลายเดือน แม้กระทั่งในรายการเรียลลิตี้ โชว์ ของตัวเอง ที่เขาเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินอย่าง Africa's Business Heroes ในตอนสุดท้ายก็ยังไม่ปรากฏตัว ซึ่งผิดปกติมากๆ เพราะรายการนี้ ถือเป็นรายการใหญ่ ได้รับทุนจากมูลนิธิของแจ็ค หม่า โดยตรง ที่มีเงินรางวัลสูงสุดถึง 300,000 เหรียญสำหรับผู้ชนะ

ครั้งสุดท้ายที่แจ็ค หม่า ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็คืองาน 2nd Bund Financial Summit งานประชุมสุดยอดนักลงทุนที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา และในงานนั้น แจ็ค หม่าก็ได้เอ่ยวาทะสะเทือนวงการธนาคารจีน เมื่อเขาเปรียบระบบธนาคารของจีน ไม่ต่างจากโรงรับจำนำที่ล้าหลัง และขาดความเข้าใจในตัวนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงเงินกู้ในยุคปัจจุบัน

ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ แจ็ค หม่า กำลังเข็นบริษัท Ant Group เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์จีน และคาดว่าจะเปิดตัวด้วยมูลค่า IPO ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่กลับถูกทางการจีนออกคำสั่งด่วน ระงับการซื้อขายเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และเมื่อขยี้มดตะนอยของแจ็ค หม่า เรียบร้อย รัฐบาลจีนก็จัดการบุกรังใหญ่ ด้วยการสั่งสอบสวนกลุ่มบริษัท อาลีบาบา ว่าเข้าข่ายกระทำความผิดฐานผูกขาดตลาดทางการค้าหรือไม่

ตลอดช่วงที่เกิดพายุลูกใหญ่พัดใส่บริษัทในเครืออาลีบาบา ไม่มีใครได้เห็นแจ็ค หม่า ปรากฏกายอีกเลย จึงกลายเป็นเรื่องราวที่สำนักข่าวทั่วโลกออกประกาศตามหาแจ็ค หม่า กันอย่างครึกโครมว่าเขาหายไปไหนกันแน่

หลายคนเป็นห่วงว่า ตัวแจ็ค หม่า อาจถูกทางการจีนควบคุมตัวเข้ม ไม่ให้ออกสื่อใด ๆ เนื่องจากแจ็ค หม่า ได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ระบบธนาคารของจีน ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งในโครงสร้างการบริหารของรัฐบาลจีน และอย่างที่เราทราบกันว่า การแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับรัฐบาลจีนไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวคนพูดยังอยู่ในแผ่นดินจีน มักจบไม่ค่อยสวยนัก

แม้จะเป็นถึงอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 อย่างแจ็ค หม่า ก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน

แต่ก็มีสื่อบางสำนักยังเชื่อว่า แจ็ค หม่า ยังไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เก็บตัวอยู่เงียบ ๆ รอมรสุมผ่านไปก่อนเท่านั้น เข้าตำราเมื่อเจ้ามือเห่า เราต้องหมอบ แต่บางสื่อกลับไม่คิดเช่นนั้น โดยมีกระแสข่าวว่า แจ็ค หม่า ถูกทางการจีนรวบตัว และสั่งให้เขาห้ามออกนอกประเทศ แม้แต่งานประกาศความสำเร็จของเว็บไซต์ อาลีบาบาในแคมเปญ เซลกระหน่ำในวันเทศกาลคนโสด หรือ 11.11 ที่แจ็ค หม่า เป็นผู้ริเริ่ม จะทำรายได้อย่างถล่มทลายทุบสถิติในปีนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครได้เห็นตัวแจ็ค หม่า เลย

ซึ่งสาเหตุการหายตัวไปของแจ็ค หม่า นั้นอาจจะพอคาดเดาได้ แต่คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ แล้วเมื่อไรที่เราจะได้เห็น แจ็ค หม่าอีกครั้ง? และจะปรากฏตัวในรูปแบบไหน? เพราะแจ็ค หม่า ไม่ใช่อภิมหาเศรษฐีรายแรกของจีน ที่ถูก “เก็บเข้ากรุ” ตัวอย่างเศรษฐีตกสวรรค์ในจีนมีให้เห็นมาแล้วมากมาย

ไม่ว่าจะเป็น อู๋ เสี่ยวฮุย ประธานบริษัท อันปัง อินชัวรันซ์ กรุ๊ป บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ของจีน ถูกศาลตัดสินจำคุก 18 ปี และยึดทรัพย์อีกกว่า 1 หมื่นล้านหยวน ในข้อหาใช้อำนาจมิชอบ และเปิดระดมทุนอย่างผิดกฎหมายเมื่อปี ค.ศ. 2018 และล่าสุด เหริน จื้อเฉียง มหาเศรษฐีอดีตเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่ง ผู้ซึ่งเคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน เรื่องการจัดการปัญหา Covid-19 และด่าท่านประธาน สี่ จิ้นผิง ว่าเป็นตัวตลก ถูกจับดำเนินคดีในข้อหาคอร์รัปชั่น และตัดสินจำคุกนานถึง 18 ปี ปรับอีก 4.2 ล้านหยวน

นาทีนี้ จึงได้แต่หวังว่า แจ็ค หม่า จะไม่ตกในชะตากรรมเดียวกัน


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/business/2021/jan/05/where-is-jack-ma-chinese-tycoon-not-seen-since-october-alibaba

https://www.cnbc.com/2021/01/05/alibaba-founder-jack-ma-is-laying-low-for-the-time-being-not-missing.html

https://www.chinabankingnews.com/2020/10/26/jack-ma-calls-for-replacing-pawnshop-mentality-of-traditional-banks-with-big-data-based-credit-system/

https://www.aljazeera.com/economy/2020/11/5/what-does-ant-groups-frozen-ipo-say-about-business-in-china

https://www.facebook.com/XinhuaNewsAgency.th/posts/2083532988529379

กระทรวงการคลัง ยืนยัน ยังไม่มีมาตรการเยียวยาจากคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยง หลังมีข่าว ‘กระทรวงการคลัง จะแจกเงิน 4,000 บาทต่อเดือน’ ย้ำเป็นข่าวไม่จริง วอนประชาชน อย่าหลงเชื่อและแชร์ข้อมูลดังกล่าว

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวเผยแพร่ทางสื่อเกี่ยวกับผลกระทบจากคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ แต่กลับไม่มีมาตรการเยียวยาจากรัฐบาลที่ชัดเจนเพื่อลดผลกระทบจากคำสั่งปิดกิจการชั่วคราว

กระทรวงการคลังขอเรียนชี้แจงว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 28 จังหวัด นั้น เป็นการบริหารจัดการเพื่อควบคุมการระบาดและเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้มีการยกระดับมาตรการในการควบคุมการระบาดของโรค เช่น การจำกัดเวลาเปิด-ปิดสถานประกอบการ การปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด และการขอความร่วมมือให้หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เป็นต้น

โดยเป็นแนวทางในการดูแลสาธารณสุขที่เพียงพอและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านสาธารณสุขไปพร้อม ๆ กัน และขอให้มั่นใจว่าประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง มีนโยบายทางการเงินและนโยบายทางการคลังที่พร้อมจะดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการระบาดอย่างใกล้ชิด และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่เหมาะสมต่อไป

โฆษกกระทรวงการคลังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาครัฐมีแหล่งเงินทั้งในส่วนของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 จำนวนกว่า 1.39 แสนล้านบาท

และเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ในส่วนที่เหลือ จำนวน 4.7 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2563) และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 2.9 แสนล้านบาท ที่จะดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ต่อไป

นอกจากนี้ ตามที่มีข่าวปรากฏในภายหลังว่า กระทรวงการคลังจะมีมาตรการเยียวยาแจกเงิน จำนวน 4,000 บาท ขอเรียนว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ทั้งนี้ สามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของกระทรวงการคลังได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง”

วิเคราะห์ ‘ข้อดี-ข้อเสีย’ 3 กลุ่ม ‘วัคซีนโควิด-19’ ที่อนุญาตให้ใช้ฉุกเฉินในมนุษย์ By ‘หมอยง’

สัญชาติญาณโดยอัตโนมัติของมนุษย์ทุกคนที่มี คือ "การเอาตัวรอด"

อารมณ์ว่าถ้าภัยมาถึงตัว ไม่ว่าจะ "ภัยเล็ก" หรือ "ภัยใหญ่" เราจะพยายามหาวิธีดิ้นรน เพื่อให้มันผ่านพ้นไปให้ได้ แม้วิธีการนั้นมันจะ "ชัวร์" หรือ "มั่วนิ่ม" ก็ไม่ติดขัดอันใด

ผลลัพธ์ของวัคซีนโควิด-19 ก็เช่นกัน ตอนนี้ เริ่มมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของประเทศต่างๆ จากหลายบริษัทผู้ผลิตมาใช้กันมากขึ้น

นี่คือ "ทางรอด" แต่มันก็มี "ทางร่วง" แทรกปนมา เพราะกระแสของผลข้างเคียงต่าง ๆ นานาที่เป็นข่าว จากวัคซีนของบางประเทศ เช่น ฉีดไปอีก 8 วันกลับมาติดเชื้อใหม่ หรือฉีดไป แพ้หนัก ตายเลย

มันก็เลยเป็นอะไรที่เริ่มแยกไม่ออก ระหว่าง "ความเสี่ยง" กับ "ความซวย" ว่าตกลงผลของมันดีหรือร้ายกันแน่

พอเป็นแบบนี้ มันก็เลยเกิดกระแสวิจารณ์ในวงกว้างทั้งทั่วโลก และรวมถึงในประเทศไทย ที่กังวลในผลลัพธ์ที่อาจกระทบชีวิตพอสมควร

เพราะต้องยอมรับว่าการเร่งผลิตวัคซีนในครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง...

สูงยังไง?

อย่าลืมนะว่าระยะเวลาการพัฒนาและทดสอบวัคซีนส่วนใหญ่โควิด-19 ในครั้งนี้ ‘สั้นมาก’ แค่ 10 เดือน ก็เริ่มเห็นนำวัคซีนเวอร์ชั่นต่างๆ ออกมาปล่อยของกันให้ว่อน

ซึ่งในความเป็นจริงนั้นกลุ่มวัคซีนของ "โรคอุบัติใหม่" ในอดีตก่อนหน้านี้ ยังต้องใช้เวลาพัฒนาและทดสอบกันร่วม 2 - 5 ปี ขึ้นไปเลย นั่นก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าวัคซีนที่ได้มานั้นใช้ได้ผล ปลอดภัย และป้องกันเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปเป็นชนิดย่อยๆ ได้ครอบคลุมที่สุด

แต่กับโควิด-19 มันต่างกัน!!

เพราะนี่คือโจทย์ที่ "ทิ้งเวลา" นาน ๆ ไม่ได้ วัคซีนจากแต่ละประเทศ ถูกดันออกมาเพื่อแข่งกับเวลา

• เวลาที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

• เวลาที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่มีหยุดหย่อน

• และเวลาเดิมพันด้วยเศรษฐกิจของโลกใบนี้ที่หยุดชะงักไปเพราะไวรัสทำพิษ

มันจึงกลายเป็นการบีบแบบไม่มีทางเลือกนอกจากเร่งทำมันออกมาให้เร็วที่สุด

เอาเป็นว่าสุดท้าย ถ้ามันหมดทางเลือก เราก็ต้องยอมฉีด แต่จะฉีดทั้งทีก็ต้องรู้สรรพคุณ "ข้อดี - ข้อเสีย" ของแต่ละเวอร์ชั่นวัคซีนไว้บ้างก็ดี ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณยศ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงหลักการทำงาน และข้อดี ข้อเสีย ของวัคซีนโควิด-19 แต่ละชนิดไว้อย่างน่าสนใจ

โดยหมอยง ระบุว่า "วัคซีนมีหลายชนิด ขณะนี้ที่อนุญาตให้ใช้ในมนุษย์ในภาวะปกติและฉุกเฉินที่ผ่านการทดลองมี 3 กลุ่ม และ 2 ใน 3 กลุ่ม ก็เป็นวัคซีนที่จะใช้จริงกับคนไทยด้วย"

1.) mRNA วัคซีน เช่น วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ / Moderna

วัคซีนชนิดนี้จะเป็น mRNA ที่ถูกห่อหุ้มด้วย lipid nanoparticle เมื่อฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อ particle จะเข้าสู่ เซลล์กล้ามเนื้อ mRNA จะถูกถอดออก ใน cytoplasm หรือของเหลวในเซลล์ แล้วmRNA จะเข้าสู่ ribosome ทำการสร้างโปรตีน ตามรูปแบบที่กำหนด messenger RNA

ดังนั้น RNA ที่ใส่เข้าไปจะต้องมี Cap, 5’ UTR, spike RNA, 3’UTR และ poly A tail อยากให้พวกเราสนใจวิทยาศาสตร์ จะเข้าใจง่ายขึ้น ในรูปแบบที่กล่าวถึงโรงงาน ribosome จะสร้างโปรตีนตามกำหนดและ ส่งผ่านออกทาง golgi ออกสู่นอกเซลล์

โปรตีนที่สร้างออกมาจะเป็นแอนติเจนไปกระตุ้นร่างกายสร้างแอนติบอดี ที่เป็นภูมิต้านทานต่อโรคโควิด 19

ข้อดี >> วัคซีนชนิดนี้ทำได้ง่าย และเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เพราะทำในโรงงาน กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูง

ข้อเสีย >> อยู่ที่ว่า RNA สลายตัวได้ง่าย เก็บที่อุณหภูมิต่ำมากๆ และวัคซีนชนิดนี้เป็นชนิดแรกที่ใช้ในมนุษย์ อาการข้างเคียงหลังฉีดพบได้บ่อยกว่า วัคซีนที่ทำโดยชนิดเก่า เช่นมีไข้ ปวดเมื่อย และผลระยะยาวคงต้องรอการศึกษาต่อไป เช่นติดตามเป็นปีหรือหลายปี

2.) ไวรัสvector (ของอังกฤษ, AstraZineca และรัสเซีย Spuknic V)

วัคซีนนี้จะใช้วิธีการเอาสารพันธุกรรมของไวรัส ใส่เข้าไปในไวรัสที่จะเป็นเวกเตอร์ หรือ ตัวฝากนั่นเอง ที่ใช้อยู่เป็น adenovirus, vesicula stomatitis virus ไม่ก่อโรคในคน

การใส่เข้าไปเข้าใจว่าเป็น cDNA ของ covid 19 เพื่อให้ไวรัส vector ส่งสารพันธุกรรม ของ covid-19 เข้าไปในเซลล์มนุษย์ เมื่อเข้าไปแล้ว ไวรัสจะถอดรูปพันธุกรรมที่ส่งเข้าไป จะต้องเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ เพื่อลอกแบบ และเปลี่ยนให้เป็น mRNA ออกมาในไซโตพลาสซึม แล้วส่วนของ mRNA จะไปที่ ไรโบโซม เพื่อทำการสร้างโปรตีน ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ คือ spike โปรตีน ส่งผ่านออกมาทาง golgi ออกนอกเซลล์เช่นเดียวกับ mRNA

โปรตีนที่ส่งออกมา จะทำหน้าที่เป็นแอนติเจนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี ต่อเชื้อโควิค 19

ข้อดี >> วัคซีนชนิดนี้ผลิตได้จำนวนมากได้ง่าย เพราะทำจากโรงงาน เป็น DNA จะมีความคงทนกว่า จึงสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิ 2 - 8 องศา ราคาจะถูก เพราะทำได้จำนวนมาก

ข้อเสีย >> วัคซีนนี้เป็นชนิดใหม่เช่นเดียวกัน ผลระยะยาวจึงยังไม่ทราบ และ จะต้องคำนึงอีกประการหนึ่งคือขั้นตอนที่ผ่านนิวเคลียสของเซลล์ เราไม่ทราบว่าจะมีการรวมตัว integrate กับ DNA ของมนุษย์หรือไม่ หวังว่าคงไม่ ผลระยะยาวก็คงต้องติดตามต่อไป

3.) วัคซีนเชื้อตาย (ของจีน Sinovac, Sinopharm)

วิธีการผลิตจะใช้หลักการกับวัคซีน ที่ทำมาแต่ในอดีตเช่น วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนโปลิโอ พิษสุนัขบ้าและอื่นๆอีกหลายชนิด

นักวิทยาศาสตร์จะใช้เชื้อโควิด 19 เพราะเลี้ยงบน Vero cell เซลล์ชนิดนี้ ใช้ทำวัคซีนหลายชนิดเช่นวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และใช้กันมานานมาก อย่างที่เราฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า

เมื่อเพาะได้จำนวนไวรัสจำนวนมาก ก็จะเอามาทำลายฤทธิ์หรือฆ่าเชื้อให้ตายแล้วนำมา formulation ใส่สารกระตุ้นภูมิต้านทาน

ข้อดี >> วัคซีนชนิดนี้ โดยวิธีการทำจะเป็นวิธีที่เรารู้กันมาแต่โบราณ ในเรื่องความปลอดภัย เป็นเชื้อตายสามารถให้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ ภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อไม่ไปเพิ่มจำนวน แต่การกระตุ้นภูมิต้านทานจะได้ระดับต่ำกว่าวัคซีนที่กล่าวมาจากข้างต้น

ข้อเสีย >> ของวัคซีนชนิดนี้คือการผลิตจำนวนมาก จะทำได้ยาก เพราะไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสก่อโรค จะต้องเพาะเลี้ยง ในห้องชีวนิรภัยระดับสูง ต้นทุนในการผลิตจะมีต้นทุนสูง ไม่สามารถลดราคาลงให้ถูกลงได้ ในทำนองเดียวกันการผลิตจำนวนมากของวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ก็จะมีขีดจำกัดด้วย

ประเมินอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนปี 64 แข่งขันดุเดือด หลังรายได้ปี 63 ทรุดหนัก รายได้ทั้งอุตสาหกรรมช่วง 9 เดือนแรก ลดลงกว่า 14% กำไรหายไปกว่า 50% หลังลูกค้าที่มีศักยภาพและต่างชาติหดหาย

จากตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2563 ของโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีรายได้ลดลงที่ -14.2% (YoY) และกำไรสุทธิลดลงที่ -54.8% (YoY)

แต่อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2564 หากไทยไม่มีการระบาดรุนแรงซ้ำของโควิด-19 และทยอยให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการเมืองไทยไม่บานปลายรุนแรง

คาดว่า โรงพยาบาลเอกชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 1-4% (YoY) กำไรสุทธิโต 15-20% (YoY) โดยคาดว่าจะมีคนไข้ต่างชาติเข้ารับการรักษาพยาบาลในไทยราว 1.57-1.77 ล้านคน (ครั้ง) เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีจำนวนราว 1.45 ล้านคน (ครั้ง) แต่การฟื้นตัวนี้ยังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด ในปี 2562

โดยปัจจัยด้านโควิด-19 จะยังกดดันการทำรายได้และกำไรของโรงพยาบาลเอกชนต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ต่างชาติในสัดส่วนสูง ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ชาวไทยกลุ่มประกันสังคมและข้าราชการ น่าจะยังพอไปได้หรือได้รับผลกระทบน้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชนใน Segment อื่น

ทั้งนี้ การแข่งขันของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจะยากและรุนแรงขึ้น เพราะผู้ประกอบการมีจำนวนมากแต่คนไข้ที่มีศักยภาพกลับไม่เพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะคนไข้กลุ่ม Medical Tourism ที่ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ทำให้ผู้ประกอบการต้องแย่งชิงตลาดคนไข้ในประเทศ ที่กำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว

ดังนั้น ในระยะสั้น โรงพยาบาลเอกชนต้องมีการปรับตัวเพื่อประคองการเติบโต โดยควบคุมค่ารักษาพยาบาลให้คนไข้สามารถเข้าถึงได้ และเตรียมความพร้อมรองรับคนไข้ต่างชาติที่เริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการในไทย

ขณะที่ในระยะกลางถึงยาว ควรนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการต้นทุนและอำนวยความสะดวก รวมถึงมองหารายได้ใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งธุรกิจกลุ่ม Non-hospital มีความน่าสนใจและมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น อาทิ การดูแลผู้สูงอายุ อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์


ที่มา: Kreserch

แนะนำเคล็ด (ไม่) ลับ การเล่นของลูกเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา

นัก neuroscience หรือผู้ที่ศึกษาระบบการทำงานของสมองชวนคุณพ่อคุณแม่ทำความเข้าใจกับการเล่นซุกซนของเด็ก ๆ ใหม่ การเล่นของเด็ก ๆ นั้น สัมพันธ์กับพัฒนาการทางสติปัญญา เขายังบอกอีกว่า ในระบบประสาทมีสิ่งที่เรียกว่า neuropathway ที่เชื่อมเซลล์ประสาทของเซลล์สมองเข้าด้วยกัน

ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างให้เด็กไปสู่ศักยภาพสูงสุด และวิธีที่เด็ก ๆ เชื่อมเจ้า neuropathway นั้นก็คือ การเล่น นั่นเอง

เรามีเคล็ด (ไม่) ลับแนะนำการเล่นของลูกจากนักบำบัดมาบอก เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัยกันค่ะ

ช่วงวัยของการเล่น

ช่วงแรกเกิดถึง 6 เดือน เป็นช่วงที่ลูกเรียนรู้ประสาทสัมผัสทางร่างกาย ดังนั้น ควรยิ้ม มองหน้า ร้องเพลง คุย หัวเราะ กับลูกเยอะ ๆ จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ร่างกายเบื้องต้นได้

ช่วง 7-12 เดือน เป็นช่วงสำรวจ สงสัย ควรมีของเล่นขนาดใหญ่ ๆ ปลอดภัยจากการเอาเข้าปาก มาให้ลูกเล่นเพื่อกระตุ้นการเล่นใหม่ ๆ มองตาลูกอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาความรู้สึกปลอดภัย

ช่วง 1-3 ขวบ เป็นช่วง toddler หรือเด็กวัยเตาะแตะ ลูกจะเริ่มใช้ร่างกายมากขึ้น เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเอง ควรให้ลูกได้คลาน เดิน เล่นน้ำ 

ช่วง 4-6 ขวบ ช่วงนี้พร้อมที่จะเล่นของเล่นขนาดเล็ก ๆ ได้ เรียนรู้สัญลักษณ์ เริ่มเล่นบทบาทสมมติ เล่นกับเพื่อน ๆ เรียนรู้ปฏิสัมพันธ์โดยมีผู้ใหญ่สังเกตอยู่ข้างๆ 

ช่วงประถมต้น เริ่มให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น ตกลงเวลาเล่นกับเด็ก ๆ ให้เด็กฝึกการตัดสินใจและสร้างวินัยในตนเอง

ช่วงประถมปลาย เหมาะกับการเล่นที่มีกติกา มีความซับซ้อน โดยปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นเองอย่างเต็มที่

ช่วงวัยรุ่น รุ่นนี้เป็นช่วงที่ซุนซนสนุกสนาน หรือช่วง playfulness ไม่มีรูปแบบการเล่นที่ตายตัว วัยรุ่นจะหาสิ่งสนใจ

ด้วยตัวเอง เราเพียงเข้าไปมีส่วนร่วมได้บ้าง หาวิธีเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นเพื่อพอสังเกตการณ์ได้

บางครอบครัวสงสัยว่าทำไมลูกไม่ค่อยเล่นเลย

เด็กที่ไม่ค่อยเล่น ไม่อยากเล่น เล่นไม่เป็น หรือนั่งอยู่เฉยๆ เหตุผลหลักคือ ขาดความรู้สึกปลอดภัย ซึ่งการเล่นน้อยเกินไป ย่อมส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญาได้ นักบำบัดด้วยการเล่นแนะนำว่า ให้เวลาเขา ไม่ต้องไปเร่งรัด เด็กจะค่อย ๆ สร้างพลังเยียวยาด้วยตัวเอง พอเด็กเริ่มรู้สึกปลอดภัยขึ้น เขาจะเริ่มมาสังเกตของเล่น เริ่มหยิบมาดู และจะเล่นได้เอง เราเพียงให้เวลาเขาแบบค่อยเป็นค่อยไป

เล่นกับลูกช่วงการระบาดของโควิด 19 

ในช่วงโควิด ลูกที่อยู่ในวัยเรียนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของตารางเรียน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนกระทันหัน อาจทำให้ลูกเกิดอาการกังวลรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถลดความกังวลของลูกได้โดยเริ่มจากผ่อนคลายความเครียดก่อนไปเจอลูก อยู่กับลูก พูดคุยกับลูกด้วยการพูดสะท้อนกลับ หรือพูดซ้ำในสิ่งที่ลูกพูด  วิธีนี้ช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับลูกได้

Quality time = เวลาร่วมกันของครอบครัว

Special time = เวลาของคุณและลูกโดยเฉพาะ

นักบำบัดด้วยการเล่นฝากบอกกับเราอีกว่า ช่วงเวลาคุณภาพกับช่วงเวลาพิเศษนั้นไม่เหมือนกัน เวลาพร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัวนั้นสำคัญ และยังมีช่วงเวลาสำคัญสำหรับลูกอีกช่วงหนึ่ง คือการที่คุณได้อยู่กับลูกเพียงสองคน คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะคิดว่าการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวนั้นเพียงพอแล้ว แต่สำหรับเด็กนั้น ความสัมพันธ์กับคุณเป็นเรื่องที่พิเศษ ควรมีเวลาพิเศษที่คุณกับลูกมีโอกาสเสริมสร้างความสัมพันธ์ดีๆ ที่แข็งแรงค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และลูกทุกคนค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกด้วยการเล่น

Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/955352284963952

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

ผลการวิเคราะห์จากนักวิชาการหลากหลายสาขาเปิดเผยว่า เด็กวัยอนุบาล 3-6 ขวบ คือช่วงเวลาสร้างทักษะสมองที่ดีที่สุด

ในวันหนึ่งที่อากาศเป็นใจ นักวิทยาศาสตร์สื่อประสาทสมอง (Neuroscientist) นัดนักจิตวิทยา (Psychologist) มานั่งทานข้าวจับเข่าเม้าธ์มอยกัน แล้ววันนั้น วงการการศึกษาก็ต้องสั่นสะเทือน เพราะสิ่งที่นักจิตวิทยาและนักสื่อประสาทคุยกันนั้น disrupt สูตรการศึกษาที่เราทำกันมาช้านาน ล้มกระดานทั้งวงการซะไม่เหลือเยื่อใยให้ต่อยอด นักลงทุนทางการศึกษาต้องทุบหม้อข้าวตัวเอง พลิกจากการลงทุนในระดับอุดมศึกษาไปในระดับอนุบาลแทน

นักจิตวิทยาไม่รอช้า นัดเพื่อนนักวิชาการวงการใกล้เคียงมาทานข้าวอีก มีทั้งนักชีววิทยา นักภาษาศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักสังคมศาสตร์ รวมถึงนักคณิตศาสตร์ มาตกลงกันว่าจะเอาไงกันดีกับการค้นพบนี้ จึงเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ยัดทุกอย่างลงไป แล้วเรียกว่า Interpersonal Neurobiology (IN)

นัก Interpersonal Neurobiology หรือ IN บอกกับเราว่า พฤติกรรม สมอง และจิตใจนั้น ทำงานสอดประสานกันแยกจากกันไปไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง หากเราเน้นพัฒนาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพียงสองอย่างนั้น ไม่เพียงพอต่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ได้เลย ยกตัวอย่าง ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกสอบได้คะแนนดีๆ จึงเน้นพัฒนาลูกด้านสติปัญญา ส่งลูกเรียนพิเศษเพิ่ม เคี่ยวเข็ญการบ้าน ปรากฏว่าลูกก็ยังทำได้ไม่ดี ไม่ใช่เพราะเน้นวิชาการไม่พอ แต่ลูกอาจจะขาดด้านพฤติกรรมหรือจิตใจ หรือทั้งสองอย่าง

วันนี้เรานำสิ่งที่เหล่า IN ค้นพบ มาลบล้างความเข้าใจเดิมที่เรามี คุณพ่อคุณแม่อ่านครั้งแรก อาจจะรู้สึกว่า ใช่เหรอ อ่านผิดหรือเปล่า จนต้องมาอ่านทวนกัน อยากให้ลองเปิดใจดูนะคะ ประโยชน์ที่ได้ย่อมตกถึงลูกเราอยู่แล้ว

นัก IN บอกว่า แก้ที่พฤติกรรมไม่ได้ผลหรอก ต้องแก้ที่ความสัมพันธ์

แก้ที่พฤติกรรมไม่ได้ผล ต้องแก้ที่ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์คือหัวใจสำคัญของพัฒนาการ สามารถเปลี่ยนโครงสร้างสมองได้ ความสัมพันธ์จะไปเปลี่ยนโครงสร้างจิตใจ โครงสร้างจิตใจไปเปลี่ยนโครงสร้างพฤติกรรม พฤติกรรมสร้างวงจรในสมอง

การเรียนที่ดีที่สุดของเด็กคือการเล่น เด็กเรียนผ่านการเล่น

เวลาเด็กเล่นเขาจะมีความสุข เด็กอยากเล่นได้ดี จึงมีความตั้งใจในการเล่น ความสุขกับความตั้งใจรวมกัน เกิดเป็นสมาธิ พอเด็กอยากเล่นให้เก่งขึ้น สมองกับจิตใจจะทำงานร่วมกัน เกิดเป็น soft skill เมื่อเกิดวงจรสมาธิ วงจรสมองแก้ไขปัญหา ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนวงจรแข็งแรง เกิดเป็นทักษะ เด็กที่เล่นเยอะจะเรียนรู้เยอะ ธรรมชาติของเด็กถูกออกแบบมาให้อยากเล่น เพื่อจะได้เรียนรู้เยอะที่สุด ถ้าเด็กคนไหนไม่เล่นต้องมีอะไรไม่ปกติเกิดขึ้นค่ะ

ช่วงที่สร้างทักษะดีที่สุดคือวัย 3-6 ขวบ

ช่วง 3-6 ขวบ หรือวัยอนุบาล เรียกว่าเป็นระยะวิกฤติของ EF หรือระยะพัฒนาสมองส่วนหน้าหรือสร้างทักษะสมองที่ดีที่สุด เปรียบได้กับการสร้างแผนผังถนนใหญ่ที่ดีเพื่อรอการจราจรในอนาคต ถ้าลูกได้สร้างถนน 8 เลนที่แข็งแรงรอไว้จากการเล่นเยอะ ๆ ตั้งแต่ 3-6 ขวบ โตไปลูกจะพร้อมเรียนรู้ เรียนรู้เร็ว เรียนรู้เก่ง

ทักษะทางสังคมและอารมณ์ ตัวบงชี้ความสำเร็จของลูก

พัฒนาการทั้ง 4 ด้านในสมุดพกของลูกเราประกอบด้วย ร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา แต่ทักษะที่เป็นตัวบ่งชี้หรือมีนัยสำคัญต่อความสำเร็จของลูกเราคือ ทักษะอารมณ์และสังคม คะแนนจากการทำข้อสอบเป็นเพียงตัววัดผลทางวิชาการ ไม่ได้บอกว่าลูกจะประสบความสำเร็จเสมอไป 

ความหมายของคำว่า ฉลาด ในยุค AI อาจไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ถึงโลกจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน แต่สิ่งที่เป็นเสาเข็มของโครงสร้างชีวิตลูกยังคงเป็นครอบครัว อย่างที่นัก IN ว่าไว้ สายสัมพันธ์คือจุดเริ่มต้นของจิตใจ จิตใจไปสู่พฤติกรรม พฤติกรรมไปสู่สมอง สมองที่นำไปสู่ความสุขและความสำเร็จของลูกค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: เล่นน้อยโง่มาก เล่นมากโง่ได้

Link Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/2632024200444156

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

เทคนิคสร้างให้ลูกวัยเติบโตมีวิธีคิดอย่างมีระบบ (ตอน1)

ความสำเร็จของลูกในอนาคตเป็นความคาดหวังสำคัญของคุณพ่อคุณแม่ และเป็นความคาดหวังที่กดดันมิใช่น้อยเลยทั้งตัวคุณพ่อคุณแม่เองและตัวลูก หากเร่งรัดให้เด็ก ๆ อ่านเขียนเพื่อที่ลูกจะได้เก่งการเรียนรู้ หรือสอนลูกอ่านเขียนตั้งแต่วัยอนุบาล อาจไม่ตรงกับพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็ก และอาจเกิดผลเสียต่อลูกมากกว่าผลดีก็ได้นะคะ 

แล้วอย่างนี้คุณพ่อคุณแม่จะทำยังไงให้ลูกเรียนรู้เก่งโดยไม่ต้องอ่านออกเขียนได้ล่ะ มีวิธีค่ะ วันนี้เราจะมาชวนคุณพ่อคุณแม่ ลูก และทุกคนในครอบครัวมาคิดเก่ง เรียนรู้เก่งกันทั้งบ้านโดยไม่ต้องอ่านออกเขียนได้ค่ะ และวิธีนั้นก็คือ Mind mapping นั่นเอง

Mind mapping เกิดมาจากการแกะรูปแบบการบันทึกความคิดของอัจฉริยะหรือผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก  เช่น ลีโอนาโด ดาวินชี นักวิทยาศาสตร์และศิลปินก้องโลก หรือ โทมัส อันวา อดิสัน นักธุรกิจและผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ ถ้าเราได้เห็นสมุดโน้ตของทั้งสอง จะเห็นว่าเต็มไปด้วยรูปภาพ เส้นเชื่อมโยงไปมา มีตัวหนังสือกระจายเป็นกลุ่ม ๆ ทั่วหน้ากระดาษ ไม่ได้เป็นระเบียบตัวบรรจงเต็มบรรทัดแต่อย่างใด

Mind mapping เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก หากใครได้คอยลองเขียนด้วยตัวเองแล้วจะทราบดีค่ะ เหมาะกับนำมาสร้างกิจกรรมระหว่างพ่อแม่กับลูก เป็นเครื่องมือในการสอนลูก จัดระบบความคิดและจินตนาการให้ลูกตั้งแต่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลยค่ะ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่คุ้นเคย Mind mapping

การวาด mind mapping อย่างง่าย ๆ ก็คือ วาดรูปหัวข้อที่เราจะชวนคิดกันกลางกระดาษเปล่า หัวข้อนี้เกี่ยวกับอะไรบ้าง แบ่งเป็นอะไรได้บ้าง วาดหรือเขียนไว้รอบ ๆ แล้วลากเส้นเชื่อมกับหัวข้อตรงกลาง ต่อมาก็มาดูเรื่องที่เราแบ่งออกมาว่าเกี่ยวข้องอะไร แบ่งเป็นอะไรไปได้อีก ทำซ้ำเหมือนหัวข้อใหญ่กับเรื่องที่แบ่งมาไปเรื่อย ๆ จะทำเท่าไรก็ได้ วาดรูปประกอบยิ่งดี แล้วแต่จินตนาการเลยค่ะ

หัวใจสำคัญของ Mind mapping สำหรับลูก 4-6 ขวบ

หากลูกของคุณอยู่ในช่วงเตรียมเข้าประถม หรือ 4-6 ขวบ ลูกอาจจะยังจับดินสอไม่เก่ง ฉะนั้น Mind mapping ของวัยนี้ไม่ต้องเน้นสวยค่ะ ให้ลูกได้ฝึกจับดินสอระบายสีไปค่ะ ‘หัวใจสำคัญคือจินตนาการและการเชื่อมโยง’ เน้นที่การร่วมมือกันกับคุณพ่อหรือคุณแม่ ส่วนหัวข้อ ก็นำเรื่องง่าย ๆ ที่ลูกรู้จักคุ้นเคย หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกและสามารถนำมาวาดได้ หากนึกไม่ออก ลองเรื่องในชีวิตประจำวัน เช่น การแปรงฟัน การเก็บของเล่น การกินขนมบนที่นอน หรือหากลูกทำจานแตก ก็นำมาวาด Mind mapping ได้ เช่นว่า ทำไมจานถึงแตก จานแตกแล้วเกิดอะไร ถ้าจานไม่แตกจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้จานแตก ชวนลูกตอบถาม สร้างบทสนนนนนาระหว่างวาดไปด้วยแบบสบาย ๆ ค่ะ

หากลูกคิดต่าง ชื่นชมและชวนถาม

Mind mapping นี้เป็นการบันทึกความคิดจินตนาการของลูกเรา ไม่มีถูกผิดค่ะ หากลูกคิดต่าง วิธีการสำหรับคุณพ่อคุณแม่คือ ชื่นชมและชวนถาม “ดีมากค่ะ/ครับ ทำไมลูกคิดว่าอย่างนั้นล่ะ” เช่น หากเราคุยกันว่า น้องหมาเป็นสัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยง ลูกอาจจะตอบว่าสัตว์ป่า คุณพ่อคุณแม่ก็ทำการชื่นชมและชวนถามเลยค่ะ ไม่มีถูกผิด ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่นึกถึงน้องหมาข้างบ้าน ลูกอาจจะมีภาพจำน้องหมากับเมาคลีล่าสัตว์ก็ได้

เข้าใจ เห็นถึงข้างในใจลูก ด้วย Mind mapping

คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจทราบประโยชน์ของ Mind mapping อยู่แล้ว แต่มีประโยชน์หนึ่งที่เราไม่คาดคิดเมื่อนำมาเล่นกับลูก คือ ทำให้พ่อแม่รู้จักบุคลิกของลูกอย่างมาก ว่าลูกเราคิดอย่างนี้นะ ลูกเข้าใจแบบนี้นะ ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะคะ สมมุติว่าเราวาด Mind mapping หัวข้อปาร์ตี้ ลูกนึกถึงอะไรในปาร์ตี้ เด็กบางคนอาจจะนึกถึงอาหาร  ขนมเค้ก เด็กบางคนอาจจะนึกถึงเกม ของเล่น บางคนอาจจะนึกถึงของขวัญ หรือนึกถึงของตกแต่งงาน เด็ก ๆ แต่ละคนมีความคิด ความสนใจ และจินตนาการที่แตกต่างไม่ซ้ำกันเลย คุณพ่อคุณแม่ก็จะเข้าใจโลกของลูกมากขึ้นจากการสร้าง Mind mapping ร่วมกัน ช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วยค่ะ

ลูกยังเล็ก ใช้ Mind mapping ได้มั้ย

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกยังเล็กแต่ตื่นเต้นอยากนำ Mind mapping ไปเล่นกับลูก เพื่อให้ลูกเรียนรู้เร็ว คิดเก่งบ้าง ทำได้ไหม ทำได้ค่ะ บทต่อไปเราจะมาชวนสร้าง Mind mapping สำหรับลูกขวบครึ่งถึง 4 ขวบกันค่ะ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ที่ลูก 4 ขวบแล้ว ลองนำ Mind mapping ไปเล่นกับลูกดูนะคะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเร่งรัด ลูกก็จัดระเบียบความคิดได้

Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/2774800096137009

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

เทคนิคสร้างให้ลูกวัยเยาว์มีวิธีคิดอย่างมีระบบ (ตอน2)

บทที่แล้วเราได้เรียนรู้การวาด Mind mapping กับลูกวัย 4-6 ขวบ (โตกว่านี้ก็ยังใช้ได้ดีค่ะ) วันนี้ขอเล็กลงไปอีก สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยขวบครึ่งถึง 3 ขวบ โอ้โห เล็กขนาดนี้ก็เริ่มเรียนรู้ได้ มาเสริมสร้างระบบคิดและจินตนาการของลูกกันค่ะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งเข้ามาอ่าน สามารถกลับไปทบทวนว่า Mind mapping คืออะไรกันก่อนได้ในในเว็บไซต์ตอนที่แล้วค่ะ

ลูกเราสร้าง Mind mapping ได้หรือยังนะ? 

ถ้าลูกแบ่ง 2 สิ่งได้ ก็เริ่มสร้าง Mind mapping ได้ เช่น ไดโนเสาร์ใจดี ไดโนเสาร์ใจร้าย ลูกสามารถแบ่งได้ก็เพียงพอค่ะ ไม่มีถูกผิด ถึงลูกยังวาดรูปไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ด้วยวิธีดังนี้ค่ะ

1.) ขึ้นโครงให้ลูก วาดหัวข้อและลากเส้นเชื่อมโยง อาจจะแบ่งเป็นกลุ่มหรือประเภทต่าง ๆ ให้ลูกเติมเอง

2.) ใช้การ์ด สติ๊กเกอร์ แม็กเนต หรือของเล่นต่าง ๆ ได้ แทนการวาดรูป 

เพียงเท่านี้ ลูกก็สามารถฝึกฝนการคิดเป็นระบบและสร้างจินตนาการด้วยความร่วมมือจากคุณพ่อคุณแม่เพียงเล็กน้อย แต่ผลที่เกิดกับลูกนั้น ส่งถึงกระบวนการเรียนรู้ต่อยอดไปเมื่อลูกโตขึ้น หัวใจสำคัญของ Mind mapping ในวัยนี้ คือจินตนาการและความร่วมมือกัน ไม่มีถูกผิด เมื่อลูกคิดต่าง ชื่นชมและชวนถาม การชมลูกทำให้เขาร่วมมือกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นทีมเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่คนไหนไม่ค่อยได้ชมลูก ลองชมลูกเยอะ ๆ ค่ะ อยากให้ทำอะไรก็ชมก่อนเลยค่ะ ลูกเป็นงานเป็นการขึ้นมาเลยค่ะ

เสริมสร้างกิจกรรมของครอบครัวใหญ่ต่างวัย

Mind mapping สำหรับเด็กเล็กยังช่วยส่งเสริมกิจกรรมในครอบครัว หากบ้านไหนมีปู่ ย่า ตา ยาย อาม่า อากง มาช่วยหลานสร้าง Mind mapping ได้ด้วยการ์ด แม็กเนต สติ๊กเกอร์ หรือของที่แทนความหมายได้ ไม่จำเป็นต้องวาดรูปหรือเขียนใด ๆ ก็ทำให้ได้รู้จักบุคลิกของลูกมากขึ้น และสร้างความใกล้ชิดในครอบครัวค่ะ

ต่อยอดทักษะ

หลังจากได้ Mind mapping ที่ร่วมสร้างกับอาม่า อากงแล้ว ลูกสามารถต่อยอดทักษะได้ด้วยการให้ลูกเล่า Mind mapping ให้ทุกคนฟัง คุณพ่อคุณแม่อาจจะถามให้ลูกตอบ เป็นการฝึกทักษะการนำเสนอ เสริมสร้างความมั่นใจและการสื่อสารได้อีกทาง เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มากเลยค่ะ

ทบทวนรวดเร็ว ลูกจำได้

Mind mapping ไม่ใช่เพียงเสริมสร้างระบบการคิดและจินตนาการ แต่ยังช่วยในเรื่องของการทบทวนเนื้อหา การกลับมาดูซ้ำนั้น ใช้เวลาน้อยมาก แถมยังจำได้ดีด้วย ประโยชน์เหลือล้ำจริงๆ

ไม่ต้องเร่งรัดลูกให้อ่านออกเขียนได้ ลูกก็สามารถฝึกการคิดเพื่อการเรียนรู้ได้แม้ในวัยเล็ก ลองนำไปปฏิบัติใช้จริงเท่านั้นจึงจะเกิดผลลัพธ์ การใช้ Mind mapping ในการเรียนรู้ ยังช่วยให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ลูกได้ฝึกพัฒนาการที่สะสมไว้ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องเครียดอีกต่อไปค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเร่งรัด ลูกก็จัดระเบียบความคิดได้

Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/2774800096137009

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

เผยวิธีการ ‘โค้ชชิ่ง’ ให้ลูกน้อยกลายเป็นเด็กที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ

ตุ๊บ!! เสียงมาจากทิศที่ลูกเราเล่นอยู่ ลูกเราล้ม เพียงเสี้ยววินาที แววตาลูกน้อยพุ่งมาหาแม่ทันที หนูจะร้องหรือหนูจะลุกดี หนูต้องทำยังไง

สำนึกแรกของแม่อยากจะวิ่งไปประคองลูกใจจะขาด แต่แม่กัดฟันยิ้มอย่างสดใส แล้วพูดออกไปว่า “หนูลุกได้มั้ยลูก”

ถ้าศักยภาพของนักกีฬา ถูกดึงออกมาด้วยมือของโค้ช ศักยภาพของลูกก็ต้องถูกดึงออกมาด้วยมือของพ่อและแม่ นักกีฬาเก่ง ๆ ที่ขาดโค้ชที่ดี ยากที่จะไปถึงจุดมุ่งหมายหรือชัยชนะ ลูกของเราก็เช่นกัน วันนี้จะมาชวนคุยเรื่อง การโค้ชลูกกันค่ะ

ศาสตร์การโค้ช หรือ โค้ชชิ่ง เริ่มต้นมาจากอุตสาหกรรมกีฬานี่แหละค่ะ จุดมุ่งหมายของโค้ชนักกีฬานั้น คือการดึงศักยภาพของนักกีฬาออกมาใช้ได้สูงสุดและเหมาะสม ค้นพบจุดแข็งจุดอ่อน เพื่อเดินไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งต่อมาศาสตร์การโค้ชถูกนำไปใช้ในวงการอื่น ๆ อย่างแพร่หลาย รวมถึงศาสตร์การเลี้ยงลูก หรือที่เรียกทับศัพท์ว่า Parenting

จำเป็นไหมที่ต้อง ‘โค้ชลูก’ เรามาลองอ่านประโยคนี้ดูค่ะ

“จุดมุ่งหมายของพ่อแม่นั้น คือการดึงศักยภาพของลูกของมาใช้ได้สูงสุดและเหมาะสม ค้นพบจุดแข็งจุดอ่อน เพื่อเดินไปสู่ความสำเร็จ”

ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นด้วยกับประโยคนี้แล้วล่ะก็ มาเป็นโค้ชให้ลูกของเรากันดีกว่า อันที่จริง คุณพ่อคุณแม่โค้ชให้ลูกกันอยู่แล้วตามสไตล์ของเราเอง แต่มันมีกลเม็ดเทคนิคที่โค้ชมืออาชีพเขาใช้กัน การเป็นโค้ชให้ลูกนั้นไม่ยากอย่างที่คิด ขอเพียงมีความตั้งใจ และมีวินัยในการปฏิบัติค่ะ

มีศาสตร์การโค้ชศาสตร์หนึ่งที่นิยมนำมาโค้ชลูก เรียกว่า NLP 

NLP ย่อมาจาก Neuro Linguistic Programming เป็นศาสตร์ที่ศึกษาภาษาสมองและสร้างกลยุทธ์ทางภาษา เพื่อนำพาบุคคลนั้นไปถึงเป้าหมาย ตัวอย่างศาสตร์ NLP ที่ถูกนำมาใช้ในการเลี้ยงลูก เช่น NLP พบว่า การใช้คำว่า “ไม่” หรือ “อย่า” ในการสอน มักจะไม่ได้ผลและอาจจะได้ผลตรงข้าม ไม่เชื่อลองดูนะคะ “อย่านึกถึงหมูอ้วนสีชมพูผูกโบว์สีแดง” สมองคุณเห็นอะไรคะ หมูผูกโบว์ลอยมาเลยหรือเปล่า

มาดูเทคนิคการโค้ชลูกอย่างง่าย ที่เริ่มทำได้ทันทีกันค่ะ

เล่านิทานก่อนนอน 

ช่วงก่อนเข้านอนเป็นช่วงที่สำคัญมากสำหรับเด็ก เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่สมองของลูกจะซึมซับข้อมูล เพราะช่วงก่อนนอนเป็นช่วงที่คลื่นสมองมีความถี่ต่ำ ลูกจะรับข้อมูลทันที หรือพูดอีกอย่างคือเป็นช่วงโปรแกรมสมอง การเล่านิทานให้เด็กฟังเป็นประจำก่อนนอนนั้น คือช่วงเวลาสอนเด็กที่เกิดประสิทธิภาพที่สุด คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกรู้อะไร หรือบอกรักลูก ให้คุยกับลูกก่อนนอนจะได้ผลดีค่ะ

คุยกับลูกหน้ากระจก 

นึกถึงฉากในหนังเวลาคุณแม่นั่งหวีผมหรือแต่งตัวให้ลูกหน้ากระจก และเปลี่ยนบทพูดเป็นคำพูดอวยพร เช่น วันนี้จะต้องมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับลูกอย่างแน่นอน วันนี้ต้องมีอะไรสนุกที่โรงเรียนแน่นอน ใส่ชุดความคิดที่ดีต่อลูกหน้ากระจก ลูกก็จะตามหาสิ่งดี ๆ เหล่านั้นที่เราได้บอกเขาไปค่ะ

เขียนจดหมายคุยกับคุณครู

คุณครูทำหน้าที่ดูแลลูกของเราที่โรงเรียนอย่างเต็มที่ แต่คุณครูต้องดูแลลูก ๆ ของคุณพ่อคุณแม่คนอื่นอีกหลายคนพร้อม ๆ กัน คนที่รู้จักลูกของเรามากที่สุดก็ต้องเป็นเราอยู่แล้วใช่ไหมคะ เราสามารถช่วยให้คุณครูดูแลลูกเราได้ดียิ่งขึ้นโดยการสื่อสารกับคุณครูผ่านการเขียนจดหมายแนะนำไปเลยว่า “คุณครู ลูกเราเป็นคนขี้อายนะ ลูกเรารู้คำตอบแต่ไม่ชอบยกมือ คุณครูช่วยเรียกชื่อน้องให้ตอบหน่อยนะคะ” ถามไถ่ครูว่าลูกเราอยู่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง สื่อสารกับคุณครูเพื่อที่คุณครูจะเข้าใจบุคลิกนิสัยของลูกเรามากขึ้น ทำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครูได้ร่วมมือกันติดตามและปฏิบัติต่อลูกเราได้อย่างเหมาะสม

ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างลูกให้เติบโตเป็นเด็กที่มีอนาคตสดใสและมีความสุขได้ ติดตามบทความจากเรา ใน The States Times Family เราจะนำเทคนิคการเลี้ยงดูลูกอีกเพียบ ความรู้ใหม่ๆ อีกพรึ้บ คุณพ่อคุณแม่ได้ติดอาวุธลูกน้อยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีความสุขกันอย่างแน่นอน เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะคะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: ติดอาวุธให้พ่อแม่กับแม่เก่ง 

Link https://www.facebook.com/foryourchildz/videos/?ref=page_internal

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เลื่อนโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า หลังสถานการณ์ของโรคโควิด-19 กลับมาระบาดหนัก คาดจะเสนอครม.พิจารณาและคิกออฟโครงการฯ ให้เริ่มเดินทางได้ในเดือน มี.ค.นี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จำเป็นต้องเลื่อนโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า ออกไปก่อน ซึ่งเดิมเตรียมเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.2563 แต่เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องจับตาแรงกระเพื่อมว่าจะยุติลงเมื่อใด

ทั้งนี้หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในเดือน ก.พ.2564 คาดจะเสนอให้ ครม.พิจารณาและคิกออฟโครงการฯ ให้เริ่มมีการเดินทางได้ในเดือน มี.ค.นี้ และน่าจะได้บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นตัวกระตุ้น ซึ่งเท่ากับว่าโครงการนี้ล่าช้าจากแผนเดิมร่วม 5 เดือนจากที่เคยต้องการให้คิกออฟในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2563

สำหรับโครงการนี้ เป็นการกระตุ้นตลาดการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุตั้งแต่ 55 - 75 ปี จำนวน 1 ล้านคน วางเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายว่าต้องมีการเดินทาง 2 คนขึ้นไปในวันอาทิตย์ถึงพฤหัสบดี โดยใช้บริการผ่านบริษัทนำเที่ยว เดินทาง 3 วัน 2 คืนขึ้นไป สนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน

โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กำลังคุยกับกระทรวงการคลังว่าจะยิงเงินตรงเข้าที่ตัวบุคคลซึ่งเป็นคนเที่ยว หรือยิงเงินตรงเข้าบริษัทนำเที่ยว เพื่อความรอบคอบสูงสุดและป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตซ้ำรอยโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เนื่องจากโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋าเป็นการเหมาจ่ายค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวแก่ผู้สูงวัยถึง 5,000 บาทต่อคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top