Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

เรื่องจริงที่เด็ก ๆ ขอจากลุงซานต้าคลอส

“You better watch out, You better not cry

(หนูดูดีๆนะ หนูต้องไม่ร้องไห้นะ)

You better not pout, I’m telling you why

(หนูต้องไม่ทำหน้ามุ่ยนะ ชั้นจะบอกอะไรให้)

Santa Claus is coming to town”

(ลุงซานต้าคลอสกำลังมา)

คริสต์มาสและปีใหม่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ ช่วงนี้ไม่ว่าจะไปร้านกาแฟ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ที่ที่คุณนั่งอยู่ เริ่มตกแต่งสถานที่ด้วยต้นสน กล่องของขวัญ ประดับไฟกระพริบและสายรุ้ง เปิดเพลงสร้างบรรยากาศเฉลิมฉลอง พอพูดถึงคริสต์มาส สำหรับเด็ก ๆ แล้ว นี่เป็นสัญญาณที่บอกถึงการเตรียมหยิบถุงเท้ามาแขวนรอ ‘ลุงซานต้าใจดี’ นั่งรถรากกวางเรนเดียร์เหาะลงมาจากท้องฟ้าในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เพื่อมาแจกของขวัญให้กับเด็ก ๆ ที่ประพฤติตัวเป็นเด็กดี

แต่ก็มีเรื่องจริงหนึ่งที่น่าสนใจ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จดหมายหลายแสนฉบับต่อปีที่เด็ก ๆ เขียนไปขอของขวัญจากลุงซานต้าคลอส จนศาสตราจารย์ Carole Slotterback นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ทนเห็นกองภูเขาจดหมายที่เก็บอยู่ที่ทำการไปรษณีย์ไม่ไหว หยิบจดหมายมา 1200 ฉบับ เปิดอ่านดูและพบกับสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก ๆ เหล่านั้น

ศาสตราจารย์ Slotterback บอกว่า จดหมายของเด็ก ๆ ถูกเขียนด้วยลายมือของเด็กเองเสมอ ตกแต่งด้วยการวาดรูประบายสี ติดสติ๊กเกอร์ เด็ก ๆ หลายคน ไม่ลืมที่จะเขียนที่อยู่ของตัวเอง และเบอร์โทรศัพท์ของผู้ปกครองให้ลุงซานต้าติดต่อได้เผื่อไว้ในกรณีที่ลุงซานต้าหาบ้านไม่เจอ เด็กส่วนใหญ่ขอของเล่น แถมกำชับกับลุงซานต้าด้วยว่า ปีนี้ไม่เอาเสื้อผ้านะ

ภาษาที่เด็ก ๆ ใช้ในจดหมายถึงลุงซานต้านั้น ช่างต่อรองเจรจา พูดเพราะหว่านล้อมให้ลุงซานต้าใจอ่อนอย่างไม่ธรรมดา หรือเด็กบางคนถึงกับใช้ภาษาที่รุนแรงข่มขู่ลุงซานต้ากันเลยก็มีเหมือนกัน

ในบรรดาจดหมายกองใหญ่นั้น มีเด็กจำนวนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ขอของเล่น เขาขอสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เด็ก ๆ เขียนไปหาลุงซานต้าว่า ขอให้คุณพ่อคุณแม่เลิกทะเลาะกัน ขอให้คุณยายหายป่วย และมีจดหมายสีชมพูสดฉบับหนึ่งที่ทำให้ศาสตราจารย์ Slotterback ต้องตื้นตัน เป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงว่า หนูขอคุณแม่ เพราะคุณพ่อต้องทำงานเหนื่อยเลี้ยงดูครอบครัวอยู่คนเดียว อยากมีคุณแม่มาช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง 

ศาสตราจารย์บอกอีกว่ามีจดหมายประเภทขอความช่วยเหลืออยู่ประมาณ 3-6% และปริมาณของจดหมายถึงลุงซานตาคลอสจะยิ่งเยอะขึ้นในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี น่าเสียดายที่ไม่มีจดหมายฉบับไหนเลยไปถึงมือซานต้าคลอส

“He knows if you have been bad or good so be good for a goodness sake…”

(ลุงซานต้ารู้ว่าใครเป็นเด็กดีหรือเป็นเด็กไม่ดี ฉะนั้นจงทำดีเพื่อประโยชน์ที่ดีงาม)

ตำนานปรัมปราทางศาสนากลายมาเป็นทริคให้เด็กประพฤติตัวดีน่ารักนั้นได้ผลดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาคลินิกชาวออสเตรเลีย Kathy McKay อ้างว่า มีโอกาสที่เด็กจะได้รับผลกระทบจากการโกหกเรื่องซานต้าคลอสได้เช่นกัน

ศาสตราจารย์ Slotterback แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง ลองให้ลูก ๆ เขียนจดหมายหรือทำลิสต์ของขวัญถึงลุงซานต้า เพื่อจะได้รู้ว่า เด็ก ๆ ต้องการอะไร ชอบอะไร ไม่อยากได้อะไร ให้เด็กได้หัดเขียนอย่างมีเป้าหมายและกำชับให้เขียนอย่างสุภาพ 

หากลูกถามเราว่าซานต้าคลอสมีอยู่จริงมั้ย คำตอบที่ปลอดภัยที่สุดต่อความรู้สึกผิดหวังกับเด็กนั้น ให้คุณพ่อคุณแม่ตอบไปตามความเป็นจริงที่เหมาะสมกับวัยของลูกค่ะ 

อย่าเพิ่งตัดสินว่าลูกอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันคริสต์มาส ลูกอาจจะขออีกอย่างที่ไม่ได้ขอกับคุณพ่อคุณแม่จากลุงซานต้าก็ได้ แล้วถ้าลูกเป็นเด็กดีเพราะขอของขวัญลุงซานต้าไว้ ลุงซานต้าคลอสตัวจริงอย่าลืมทำตามที่ลูกขอด้วยนะคะ


ข้อมูลอ้างอิง : https://www.voathai.com/a/a-47-2009-12-25-voa1-90651069/922866.html

https://www.melbournechildpsychology.com.au/blog/believing-in-santa-claus-harmless-or-hurtful/ 

สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก Link https://www.facebook.com/foryourchildz

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

โรงเรียนอนุบาลในญี่ปุ่น...แหล่งรวมความสนุก และสร้างให้เด็กเติบโตอย่างสร้างสรรค์

คุณพ่อคุณแม่ที่น่ารักคะ วันนี้จะพาไปส่องโรงเรียนอนุบาลของประเทศหนึ่ง เรามาทายกันเถอะว่า นี่คือการเรียนของเด็กอนุบาลในประเทศอะไร

ไม่มีการบ้าน ไม่สอนอ่านเขียน กิจกรรมคือ เล่น เล่น และเล่น ตอนเช้าวาดรูประบายสี ตอนบ่ายเต้น ตอนเย็นวิ่ง วันต่อมา ดูการ์ตูน ประดิษฐ์ของขวัญ แปะสติ๊กเกอร์ตามโต๊ะตามสมุด ปลูกผัก ทำกับข้าว เด็กอนุบาลที่นี่ทำกับข้าวเองได้ด้วย บางวันโรงเรียนพาไปเที่ยวข้างนอก ไปดูคนตกปลา ไปเล่นกับข้าวนา หรือไปดูคนท้องถิ่นแล้วแต่ว่าโรงเรียนตั้งอยู่แถวไหน ตกเย็นเด็กวิ่งเล่นกลับบ้านเอง ถ้าเด็กล้ม ครูจะยืนดูก่อน ให้เด็กลุกเอง ถ้าลุกเองไม่ได้ เพื่อน ๆ จะมาช่วย

ถึงตรงนี้แล้วทายกันได้หรือยัง ใบ้ต่ออีกนิดนะคะ

เด็กอนุบาลที่นี่ ชอบไปโรงเรียน เขาจะพกเบนโตะน้อยๆ ไปทานตอนกลางวันด้วย เด็กกล้าแสดงออก ชอบยกมือถามและตอบ ชอบแสดงความคิดเห็น เด็กมีความสุข เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กลัวถูกผิด ชอบเรียนรู้ วางแผน ตั้งใจ มีวินัย และอดทน ทีนี้พอจะทายกันถูกมั้ยคะ 

ใช่แล้ว ที่นี่คือโรงเรียนอนุบาลในประเทศญี่ปุ่นค่ะ

ที่นี่น่าจะเป็นโรงเล่นมากกว่าโรงเรียน แต่รายละเอียดนั้นเต็มไปด้วยการฝึกฝนเด็ก ๆ และติดตามวัดผลตลอด การ์ตูนที่เด็กดูสอดแทรกเรื่องจริยธรรม สติ๊กเกอร์บนโต๊ะ ติดให้รู้ว่าโต๊ะนี้ของเรา เราต้องดูแลนะ คุณครูและผู้ปกครองจะรู้จักสติ๊กเกอร์ของเด็ก ๆ และสติ๊กเกอร์คือคะแนนจากคุณแม่ มีคาบเรียนที่คุณแม่มาโรงเรียนกับลูก คุณพ่อคุณแม่และคุณครูทำงานร่วมกันเป็นทีม เด็ก ๆ ประดิษฐ์ของขวัญเพื่อนำไปให้คุณพ่อคุณแม่ก่อนปิดเทอม และการเล่นในทุก ๆ วัน คือการเรียนรู้

ที่นี่ยังมีคาบเรียนสนุกๆ อย่างคาบเรียนภัยพิบัติ

คาบเรียนแห่งการเรียนรู้เพื่ออยู่ได้ เด็กๆ ในโรงเรียนสามารถปรุงอาหารทานเองไปจนกระทั่งปลูกผักเอง เรียนรู้การเอาตัวรอดในช่วงวิกฤติภัยพิบัติทางธรรมชาติ เด็ก ๆ วัยอนุบาลมีศักยภาพที่สูงมาก มากซะจนผู้ใหญ่งงไปเลยค่ะ และการพาเด็กไปดูงานเรียนรู้จากพื้นที่ท้องถิ่น ช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้ธรรมชาติ วิถีชีวิต เศรษฐกิจสังคมแบบของจริงไม่อิงตำรา แถมยังสนุกตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆ ไปด้วย ความรู้ที่ได้ก็วนกลับมาเป็นการยกมือตั้งคำถาม หาคำตอบในห้องเรียน เป็นระบบเรียนรู้ที่ครบวงจร เรียนรู้ตามธรรมชาติ

ล้ม ลุกได้ ลุกไม่ไหว เพื่อนช่วย

เด็กเล่นสนุกย่อมมีล้มบ้าง ชีวิตผู้ใหญ่ยังมีล้มบ้างลุกบ้าง สำคัญที่ลุกขึ้นเองได้ ลุกขึ้นเองเร็ว คุณครูญี่ปุ่นจึงเพียงเฝ้ามองไกล ๆ แต่ถ้าไม่ไหว เด็กคนอื่น ๆ จะกรูเข้าไปช่วยพยุงกันใหญ่ทันที คุณครูคือตัวช่วยสุดท้ายของเด็กๆ  นอกจากนั้น เด็กที่ทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว จะไปช่วยเด็กคนอื่นเสมอ แล้ววันไหนเด็กคนที่ได้รับการช่วยเหลือทำงานเสร็จก่อน ก็จะไปช่วยเพื่อน ๆ เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นยังครองอันดับประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูง ปัจจัยหลักของเด็กนักเรียนที่นำไปสู่การคิดสั้นคือการถูกบูลลี่ในโรงเรียน ญี่ปุ่นยังคงพยายามแก้ไขกันอยู่

คนญี่ปุ่นสร้างคนจากเด็กวัยอนุบาล เพราะเค้าเชื่อว่าเด็ก 3 - 7 ขวบเป็นยังไง โตไปเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้น วัยอนุบาลจึงเป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาก ถ้าคุณมีลูกวัย 3 - 7 ขวบอยู่ ก็ระลึกไว้เลยค่ะว่า นี่คือเวลาทองของการสร้างคน เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะคะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: สร้าง EF ฉบับเด็กญี่ปุ่น 

Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/2767178306905258

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์

วิธีการแก้ปัญหาการบูลลี่ในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้

ตอนเราเป็นเด็ก ๆ เคยมีประสบการณ์ล้อเล่นชื่อพ่อชื่อแม่บ้างไหมคะ เคยถูกเพื่อนเปิดกระโปรงหรือไปเปิดกระโปรงเพื่อนเอง หรือถูกเพื่อนแกล้งด้วยการเอาของเราไปซ่อน ดูเป็นการเล่นสนุกของเด็กทั่วไป แต่ลึก ๆ แล้วสะท้อนพฤติกรรมบางอย่างในเด็กที่ตอนนี้เราเรียกรวม ๆ ว่า บูลลี่ (bully)

การบูลลี่ คืออะไร

นพ. โกวิทย์ นพพร แพทย์ชำนาญการด้านจิตวิทยาโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า การบูลลี่ (bully) คือพฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่นทั้งทางวาจาและร่างกาย หากเกิดในชีวิตจริงมักเป็นการล้อเลียนรูปร่างหน้าตา สถานะทางสังคม รวมถึงการทำร่ายร่างกาย ส่วนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่เกิดจากการประจานกันทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายครั้ง การบูลลี่สร้างผลกระทบทางด้านความรู้สึกมากมายจนอาจเกิดเป็นแผลในใจฝังลึกจนยากเยียวยา หรืออาจลุกลามไปจนเกิดการปะทะและสร้างบาดแผลทางกายได้ 

บูลลี่นั้นพบได้ในทุกเพศทุกวัย 

ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนเกษียณอายุ ในประเทศไทยก็พบปัญหานี้ไม่น้อยเลยเหมือนกัน การบูลลี่ในเด็กนั้น เหล่านักโค้ชเด็กหรือลูกมองว่า เกิดจากปัญหาของเด็ก ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท เรียกว่า SPEC ประกอบด้วย social, problem solving, emotion, และ communication

S = social คือความสามารถในการเข้าสังคม

P = problem Solving คือความสามารถในการแก้ปัญหา

E = emotion คือความสามารถในเข้าใจอารมณ์ตนเอง

C = communication คือความสามารถในการสื่อสาร

ในวัยเรียนรู้ของเด็ก ๆ จะได้ฝึกฝนทั้ง 4 ด้านไปพร้อมกันในสถานการณ์ต่างๆ โดยมี C หรือความสามารถในการสื่อสารเป็นตัวเชื่อมทักษะอื่น ๆ 

เตรียมพร้อมก่อนลูกโดนบูลลี่

หากลูกเราโดนบูลลี่หรือได้รับผลกระทบทางจิตใจ สมองส่วน amygdala ซึ่งทำหน้าที่รับรู้ความทรงจำด้านอารมณ์จะเกิดความวิตกอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่อาจเตรียมเสริมทักษะการป้องกันตัวลูกได้ด้วยการเล่นกับลูกให้รู้สึกผ่อนคลาย หรืออาจจะเล่นบทบาทสมมติว่า ถ้าลูกโดนเพื่อนแกล้ง หรือเพื่อนทำให้ไม่พอใจ ลูกจะจัดการอย่างไร ฝึกให้ลูกประเมินสถานการณ์ แยกได้ว่าอะไรคือก้าวร้าว อะไรคือเข้มแข็ง หากเกินความสามารถของลูก ก็สามารถแจ้งคุณครูให้ทราบได้ ในสถานการณ์ที่ลูกโดนเพื่อนบูลลี่นั้น ลูกจะได้ฝึกทักษะทั้ง 4 ด้านไปพร้อมกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมสร้างความมั่นใจโดยการเล่นสร้างสถานการณ์สมมติกับลูกได้ 


แล้วหากลูกไปบูลลี่คนอื่น

เด็กที่บูลลี่หรือใช้ความรุนแรงกับคนอื่นนั้นมีหลายเหตุปัจจัย อาจเป็นปัจจัยทางสังคม ความมั่นคงภายในจิตใจ การหนี การแสวงหาความสำเร็จ อยากให้คุณพ่อคุณแม่เปรียบเด็ก ๆ เหมือนกับการปลูกดอกไม้ หากอยากให้ดอกไม้สวยไม่ได้แก้ที่ดอกไม้ แต่แก้ที่สภาพแวดล้อม น้ำ ดิน แดด ดอกไม้จะปรับรูปร่างตามสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ 

หากลูกเราชกต่อยหรือทำร้ายร่างกายกับเด็กคนอื่น ๆ อย่าเพิ่งดุลูกนะคะ เติมสิ่งดีๆ ก่อนโดยการหาวิธีชมเขาก่อน เช่น ลูกเป็นนักสู้ ลูกเข้มแข็ง แล้วชวนลูกหาเหตุผลของการกระทำ และหาผลลัพธ์ของการกระทำ ลูกคิดยังไง รู้สึกอย่างไร เพื่อนจะเป็นอย่างไร จะคิดยังไง ให้ลูกลองคิดและเรียนรู้เอง 

ยิ่งลูกหัวร้อน พ่อแม่ยิ่งต้องมีสติ

คุณพ่อคุณแม่อาจคิดวีธีพูดกับลูกไม่ทัน ให้ตั้งสติก่อน แล้วเริ่มด้วยการชมลูก แล้วถามลูกว่าจะทำอะไรต่อไป จะเกิดอะไรหลังจากนี้ ชวนปรับปรุง ลูกสามารถทำอะไรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ให้ลูกเรียนรู้ไปเองค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก  

หัวข้อ: ติดอาวุธให้พ่อแม่กับแม่เก่ง https://www.facebook.com/299800753872915/videos/2545549342411257

หัวข้อ: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกด้วยการเล่น

https://www.facebook.com/299800753872915/videos/955352284963952 

ข้อมูลอ้างอิง: https://www.sanook.com/health/18825/ 

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

รัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในวันที่ 6 พ.ค. 2566 พร้อมเสนอพระนามให้ยูเนสโกประกาศยกย่องพระเกียรติคุณ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบให้รัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ 6 พ.ค.2566 และเสนอพระนามให้องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(องค์การยูเนสโก) ประกาศยกย่องและร่วมเฉลิมฉลองพระเกียรติคุณเป็นบุคคลสำคัญของโลก ในปี 2566

โดยให้มีแผนการดำเนินงานและกิจกรรมการเฉลิมฉลอง 3 ระยะ ได้แก่ แผนการดำเนินงานระยะสั้น กลาง และยาว แบ่งกิจกรรมการเฉลิมฉลองออกเป็นระดับกระทรวงต่าง ๆ และระดับภาคประชาชน ภาคเอกชน และมูลนิธิต่าง ๆ ในพระอุปถัมภ์ โดยไม่ขอผูกพันงบประมาณ

ทั้งนี้ในวันที่ 6 พ.ค.2566 จะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯซึ่งพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจนานัปการด้วยพระปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทำอะไรให้เมืองไทย ทรงยึดมั่นในคุณค่าของมนุษย์และศักยภาพของการพัฒนา จึงทรงงานและทรงอุปถัมภ์กิจการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับด้านการศึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ การแพทย์และการสาธารณสุข ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านสัมพันธไมตรี การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ด้านการศาสนาและศิลปวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนและพสกนิกรชาวไทย และทรงเป็นเจ้านายฝ่ายในพระองค์แรกที่ทรงงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นเวลา 13 ปี 10 เดือน ในฐานะสมเด็จพระอาจารย์

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "สำหรับกิจกรรมสำคัญที่จะดำเนินการ เช่น การจัดประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ในด้านภาษาฝรั่งเศสศึกษาในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม การประชุมวิชาการระดับนานาชาติเรื่อง กัลยาณิวัฒนาวิวิธ การผลิตสื่อและวีดิทัศน์เผยแพร่พระกรณียกิจสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ กับงานด้านพัฒนาสังคมและสังคมสงเคราะห์ นิทรรศการเผยแพร่พระกรณียกิจด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก เป็นต้น"

โควิด-19 ระบาดใหม่ ไทยสูญเสียอะไรบ้าง?

จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ที่เริ่มต้นจากตลาดกุ้งในสมุทรสาคร ขณะเดียวกันก็พบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวเป็นวงกว้างไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในหลายจังหวัดของประเทศไทย มีการประเมินว่าภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจะได้รับความสูญเสียราว ๆ 45,000 ล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือน

โปรเจครถไฟความเร็วสูง มาเลย์-สิงคโปร์ ล่ม! เซ่นพิษโควิด-19

ในที่สุดก็ล่มจนได้ กับเมก้าโปรเจคร่วมระหว่าง มาเลเซีย และสิงคโปร์ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกันระหว่างกัลลาลัมเปอร์ด่วนตรงถึงใจกลางสิงคโปร์ เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่อาจบรรลุข้อตกลงในการลงทุนร่วมกันในขั้นสุดท้ายได้

โปรเจครถไฟความเร็วสูง หรือ Malaysia-Singapore High-Speed Rail (HSR) เป็นโครงการที่เริ่มคุยกันมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายิบ ราซัค ที่ต้องการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่าง 2 ประเทศเศรษฐกิจหลักในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมระยะทางยาวถึง 350 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในฝั่งมาเลเซีย 335 กิโลเมตร และในสิงคโปร์ 15 กิโลเมตร ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์จากเดิม 4 ชั่วโมงเหลือเพียง 90 นาทีเท่านั้น

หากโครงการนี้ตกลงเริ่มสร้างกันตั้งแต่ที่เจรจากันในช่วงแรก ก็จะสามารถสร้างให้แล้วเสร็จได้ภายในปี 2026 โดยใช้ประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 8 พันล้านริงกิต (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) ซึ่งอันที่จริงมีการเซ็นข้อตกลงความเข้าใจร่วมกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2016

แต่โครงการมาหยุดชะงักชั่วคราวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจาก นายิบ ราซัค มาเป็นดร. มหาเธร์ มูฮัมหมัด ที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาได้อย่างพลิกล็อคถล่มทลายในปี 2018 และก็เป็น ดร.มหาเธร์ ที่เป็นผู้สั่งระงับโครงการเนื่องจากงบประมาณก่อสร้างสูงเกินไป จึงนำรายละเอียดทั้งโครงการมาพิจารณาใหม่ ปรับงประมาณ ปรับรูปแบบสถานี ที่จะทำให้ใช้งบน้อยลง และยืดระยะเวลาการชำระเงินให้นานขึ้นให้กับมาเลเซีย

ซึ่งการเจรจาระงับโครงการอยู่ในช่วงระยะเวลา 2 ปี สิ้นสุดภายในปี 2020 นี้ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จาก ดร. มหาเธร์ มูฮัมหมัด เป็นนายมูห์ยิดดิน ยัสซิน จึงมีการหยิบยกโปรเจคนี้ขึ้นมาพิจารณากันใหม่

และหลังจากการประชุมร่วมกันระหว่าง นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน กับ นาย ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็ปรากฏว่ายังตกลงที่จะเดินหน้าโครงการต่อไม่ได้ เนื่องจากงบประมาณ และผลพวง Covid-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศอย่างหนัก มาเลเซียจึงตัดสินใจเทโปรเจครถไฟความเร็วสูง มาเลย์-สิงคโปร์ไปด้วยประการฉะนี้

เมื่อมาเลเซียไม่สานต่อโครงการที่เคยตกลงว่าจะทำร่วมกันมานานเกือบ 10 ปี ทางสิงคโปร์อาจต้องดำเนินเรื่องปรับเงินเป็นค่าฉีกสัญญา หรือที่บ้านเรามักเรียกว่า "ค่าโง่" เป็นเงินกว่า 250 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือราวๆ 5.6 พันล้านบาท

แต่ทั้งนี้ ชาวมาเลเซียบางส่วนก็โล่งใจมากกว่า ที่โครงการนี้พับลงไปได้ เพราะเรื่องงบประมาณที่สูงบีบหัวใจ และคิดว่าคนมาเลเซียอาจได้รับผลประโยชน์จากเส้นทางนี้น้อย ไม่คุ้มค่าในการลงทุน เมื่อการเดินทางโดยเครื่องบินอาจเป็นทางเลือกที่สะดวกอยู่แล้ว ซึ่งค่าตั๋วโดยสารของสายการบิน Low cost ก็มีความใกล้เคียงกับตั๋วรถไฟความเร็วสูง

แต่ว่าค่าโง่ที่ต้องจ่าย อาจต้องมาคุยกันอีกยาว


แหล่งข่าว

https://news.cgtn.com/news/2021-01-01/Malaysia-Singapore-high-speed-rail-project-terminated-WH5zVeT2jm/index.html

https://www.malaymail.com/news/malaysia/2021/01/01/malaysia-to-pay-singapore-compensation-as-high-speed-rail-hsr-contract-term/1936420

https://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/Singapore-and-Malaysia-terminate-high-speed-rail-project

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าเราคงได้ยินคำว่า “Startup” กันอย่างหนาหู หลัง ๆ มีหลายบริษัทที่เกิดใหม่เติบโตอย่างรวดเร็วและโดดเด่นขึ้นมา ขณะที่การแบ่งขนาดธุรกิจในวงการ Startup จะใช้สัตว์ในตำนานมาแบ่งขั้นอย่างเกรงขาม ใครเป็นอะไรมาลองดูกัน

Ponies (โพนี): ธุรกิจที่มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น แอปพลิเคชัน eko, eatigo

Centaurs (เซนทอร์): ธุรกิจมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น LINE MAN

Unicorn (ยูนิคอร์น): ธุรกิจที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น Uber, Airbnb และ Snapchat

Decacorn (เดเคคอร์น): ธุรกิจมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น Dropbox, SpaceX, Flipkart และ Pinterest

นายเเพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงรายเขต 1 พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เเละการจัดหาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในอนาคต

นายแพทย์เอกภพ กล่าวว่า "ตนมีความรู้สึกหงุดหงิดมากกับการจัดการการระบาดของโควิดโดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดได้สรุปให้เห็นหลักคิดหลักการทำงานของเขาชัดเจนว่าไม่เคยให้ค่าประชาชนและไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองและพวกพ้อง ในเรื่องของกระบวนการที่สับสนอลหม่านนี้ผมได้เขียนถึงมาหลายรอบแล้ว วันนี้ผมจะเขียนถึงความมั่วซั่วในเรื่องวัคซีนกันครับ"

"จากที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐบาลมีความล่าช้าเรื่องวัคซีนกว่าประเทศเพื่อนบ้านจนกระทั่งอยู่ดี ๆ ก็มีการเสนอข่าวว่าในเดือนกุมภาพันธ์ประเทศเราจะมีวัคซีนนำเข้าจากจีนของบริษัท Sinovac ซึ่งเหมือนเป็นข่าวดีนะครับ แต่เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องความคืบหน้าของการได้วัคซีนมาฉีดให้ประชาชนไทย ในวันนั้นตลอดการชี้แจงไม่มีการพูดถึงการจะซื้อวัคซีนจากจีนเลย

และยิ่งกว่านั้นเมื่อพยายามหาข้อมูลทางวิชาการของวัคซีนตัวนี้พบว่าเจอแค่ผลการทดลองในเฟส 1 และ 2 แต่ยังไม่มีผลการทดลองในเฟส 3 ซึ่งเป็นการทดลองในประชากรกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Randomized Controlled Trial ออกมาในฐานข้อมูลของวารสารทางการแพทย์เลย มีแต่การนำเสนอวิธีการศึกษาที่ไม่มีผลการศึกษาเท่านั้น การนำวัคซีนที่ยังไม่มีผลการวิจัยเข้ามาแบบนี้ต้องไปดูขั้นตอนการอนุมัติของ องค์การอาหารเเละยา (อย.) ครับว่ามีการอนุมัติอย่างไร จนมีเสียงลือมาถึงหูผมว่าบางทีวัคซีนตัวนี้อาจมาจากบริษัททุนใหญ่บางบริษัทก็ได้"

นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ตามการเสนอข่าวของหลายสำนักข่าวจะพบว่าเราจะมีการได้รับวัคซีนมาฉีดทีละชุด ๆ ในเวลาห่างกันพอสมควรและทีร้ายไปกว่านั้นคือจำนวนประชากรที่จะได้รับวัคซีนมีรวมแล้วก็แค่ประมาณ 20% กว่าของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น โดยทั้งที่ตามหลักการแล้ว หากจะหยุดการระบาดของโคโรน่าไวรัสตัวนี้ได้ ต้องให้ประชากรมีภูมิต้านทานประมาณถึง 80% ของประชากร ดังนั้นการได้วัคซีนมาเพียง 20% อาจไม่เพียงพอต่อการหยุดการระบาดได้

โดยข้อมูลในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าหลังฉีดวัคซีนไปแล้วร่างกายจะคงมีภูมิต้านทานต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่และวัคซีนของแต่ละยี่ห้อให้ระยะเวลาคุ้มกันได้นานต่างกันมั้ย

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดของการจัดหาวัคซีนมาก็ควรจะจัดหา วัคซีนเพื่อทุกคน และกระจายไปหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายเทคโนโลยี รวมทั้งควรมีการระดมฉีดในคราวเดียวกันทั่วประเทศ และเราต้องมาดูว่าหากไม่สามารถจัดหาวัคซีนมาฉีดพร้อมๆ กันได้จะฉีดให้กลุ่มไหนก่อน

แน่นอนว่ากลุ่มเสี่ยงที่สุดคือบุคลากรสาธารณสุขควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการป้องกันเพื่อให้เขายังคงทำงานต่อได้อย่างปลอดภัย แล้วต่อไปเราจะเลือกกลุ่มไหนในสัดส่วนอย่างไรระหว่างกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนัก หรือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อคือคนวัยทำงาน

"ดังนั้นนอกจากการที่ต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับทุกคนแล้ว รัฐบาลยังต้องวางแผนการฉีดวัคซีนที่ใช้หลักการทางวิชาการมาสนับสนุนด้วย"

ทั้งนี้ เอกภพ กล่าวทิ้งท้ายว่า "หากเรารอให้ประเทศอื่นฉีดวัคซีนให้ประชากรจนเขาจัดการการระบาดได้แล้ว ประเทศเหล่านั้นจะเริ่มเดินทางไปมาหาสู่กันได้ เพราะประเทศเขาถือว่าสิ้นสุดการระบาดแล้ว ประเทศเราที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรจนประกาศสิ้นสุดการระบาดได้ช้าก็จะเสียโอกาสในการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่อัดอั้นมานานได้ช้าด้วย โอกาสฟื้นเศรษฐกิจจากเงินต่างประเทศของเราก็ช้าไป"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งคุมเข้มทุกโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มเหมืองแร่ใน 28 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด เฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการภาคเอกชนที่อยู่ในความรับผิดชอบกระทรวงอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ประกอบการเหมืองแร่ทั้ง 28 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด มีสถานประกอบการรวมกว่า 49,391 โรงงาน จำนวนคนงานกว่า 3.02 ล้านราย

รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร และผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้วย

ทั้งนี้ให้ป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคดังกล่าวในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว ไม่ให้ติดต่อไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ในหรือนอกโรงงาน

โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดพิจารณาดำเนินการ เช่น ปรับเวลาการปฏิบัติงานของคนงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 , คัดกรองพนักงานทุกคน ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบประวัติการเดินทาง , สุ่มตรวจหาเชื้อโควิดในพนักงาน , เตรียมสถานที่กักตัวผู้ที่ติดเชื้อ , ใช้แอปพลิเคชัน หมอชนะในการมอนิเตอร์ ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือติดการแถลงข่าวของรัฐบาลเพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของบุคลากรข้าราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงาน ดังนี้

1.) ปรับเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยการเหลื่อมเวลาเข้าปฏิบัติการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

2.) Work From Home ร้อยละ 50 ของบุคลากร โดยพิจารณาให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนงานขยับเวลาการทำงาน เพื่อลดจำนวนผู้ปฏิบัติงานและปริมาณการเดินทาง ลดความแออัดในการใช้สถานที่ด้วยการปฏิบัติงานที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับการทำงาน อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอปพลิเคชันไลน์ หรืออีเมล์มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้มีข้อติดขัด หรือเกิดปัญหากับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน ทั้งนี้ แม้ว่าจะปรับมาตรการในการทำงาน แต่ภารกิจในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงฯ ก็ยังจะสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้มีความต่อเนื่อง และมุ่งหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด – 19 อย่างได้ผล

3.) คัดกรองเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานในกระทรวงอุตสาหกรรม (ตรวจวัดอุณหภูมิ)

4.) ประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันโควิด DMHTT (Distancing / Mask Wearing / Hand Washing / Testing / Thai Cha Na)

5.) รณรงค์ให้ใช้ Application หมอชนะในการ Monitor ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ

"ตอนนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการออกประกาศ และออกหนังสือขอความร่วมมือสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุด และบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามแนวป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 พร้อมเน้นย้ำการปรับมาตรการในการทำงานจะไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้"

ธนาคารโลก ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกล่าสุด คาดเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.0% ในปีนี้ ต่ำกว่าระดับ 4.2% ที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.2563 จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังลุกลามต่อเนื่องทั่วโลก

ธนาคารโลก หรือ World Bank ได้ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจฉบับล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.0% ในปีนี้ ต่ำกว่าระดับ 4.2% ที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.2563 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

แม้ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวขึ้น หลังจากทรุดตัวลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาด แต่การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้า ๆ และซบเซา

พร้อมกันนี้ เวิลด์แบงก์ ยังประเมินว่า ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 1.6% ในปีนี้ หลังจากหดตัว 4.3% ในปีที่แล้ว หากการแพร่ระบาดยังคงลุกลามต่อไป และการฉีดวัคซีนประสบความล่าช้า

นอกจากนี้ ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.8% ในปี 2565 ขณะที่ไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน

ขณะเดียวกัน ธนาคารโลก ยังคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐ อเมริกา จะขยายตัว 3.5% ลดลงจากระดับ 4.0% ที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากหดตัว 3.6% ในปีที่แล้ว

ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซน คาดว่า จะขยายตัว 3.6% ในปีนี้ หลังจากหดตัว 7.4% ในปีที่แล้ว ขณะที่ ญี่ปุ่น จะขยายตัว 2.5% ในปีนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ และจีน จะขยายตัว 7.9% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.9% ในการคาดการณ์ก่อนหน้านี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top