Monday, 30 June 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ลดค่าไฟลงจาก 4.18 บาท เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย

(27 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะประกาศลดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568 ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน

“ผมเพิ่งได้รับแจ้งเบื้องต้นเป็นข่าวดีจากทางสำนักงาน กกพ. ซึ่งจะปรับลดค่าไฟในงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2568) ลงได้อีก และเหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.15 บาท หลังจากที่ผมได้ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปลองดูว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้อีกหรือไม่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่ น้องประชาชน ในนามรัฐบาลและกระทรวงพลังงานขอถือโอกาสนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณ กกพ.ในฐานะหน่วยงานหลักขอบคุณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และปตท.ในการร่วมกันกับรัฐบาลช่วยเหลือพี่ น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว

ภายหลังจากสิ้นสุดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในวันนี้ (27 พ.ย.) ได้มีมติเห็นชอบทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2568 โดยให้เรียกเก็บลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นผลจากการที่ได้มีการทบทวนตัวเลข และประมาณการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กกพ.จะได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ดาต้าเซ็นเตอร์-โลจิสติกส์ โตรับตลาดอีวีในไทย ส่วนนิคมอุตฯได้อานิสงส์ 'ทรัมป์ 2.0' ดันราคาที่ดินพุ่ง

(27 พ.ย.67) เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเผยความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่เช่าที่ยอดเยี่ยม โดยคาดว่าผลรวมพื้นที่เช่าของบริษัทในสิ้นปีนี้จะถึง 7.5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังได้เปิดมุมมองในแง่ของเทรนด์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยระบุว่า ตลาดอาคารสำนักงานไม่น่ากังวล แต่กำลังเห็นการย้ายจากอาคารเก่าที่คุณภาพต่ำไปยังอาคารใหม่ที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ส่วนในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนา ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น แม้กระแสความต้องการจะร้อนแรงก็ตาม

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคแรก ๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่มีการใช้งานแบบเดี่ยว ๆ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาไปเป็นโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ที่นำอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่มีความทันสมัย ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายรูปแบบของผู้เช่า

สำหรับตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ นายไมเคิลกล่าวว่า อาคารเก่าในกรุงเทพฯ จำนวนมากกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับอาคารใหม่ที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้เจ้าของอาคารเก่าต้องทำการปรับปรุงหรืออัปเกรด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งเทรนด์ Flight to Quality หรือการย้ายไปยังอาคารที่มีคุณภาพดีกว่า จะยังคงเป็นกระแสที่แข็งแกร่งในตลอดปี 2024 และปี 2025

นายไมเคิลเสริมว่า แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2024 จะมีความท้าทาย แต่ตลาดอาคารสำนักงานกลับคึกคัก โดยหลายบริษัทเริ่มย้ายจากอาคารเก่ามายังอาคารใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่า ซึ่งแนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2025 เนื่องจากมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะเปิดตัวในปีหน้า และหลายบริษัทเตรียมย้ายออฟฟิศ

"แม้ราคาค่าเช่าจะสูงขึ้น แต่เทรนด์ Flight to Quality จะยังคงมีความสำคัญอย่างมาก โดยบริษัทต่าง ๆ ยังต้องการย้ายออกจากอาคารเก่าไปยังออฟฟิศใหม่ที่มีมาตรฐานสูง การเติบโตของอาคารสำนักงานในประเทศไทยจะยังเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง" 

นอกจากนี้นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มาแรงในปี 2568 ว่า ในปีหน้าต้องยกให้ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีนักลงทุนเข้ามาสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอย่างมาก สะท้อนจากการที่มีนักลงทุนเข้ามาดูทำเลในเขตนิคมขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่ EEC พื้นที่ย่านสมุทรปราการ รวมถึงตอนเหนือของกรุงเทพฯ 

ส่วนธุรกิจรองลงมาคือ ภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากอานิสงส์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งมีความต้องการใช้พื้นที่ตั้งแต่ 20 ถึง 1,000 ไร่

นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึง ผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะทำให้หลายภาคอุตสาหกรรมพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย คาดว่าจะส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของไทยปรับตัวสูงขึ้นไปอีก

อีกสองธุรกิจที่มีแนวโน้มน่าจับตาคือ ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยธุรกิจโรงแรมได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งเปิดใหม่และซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว ขณะที่อาคารสำนักงานให้เช่า จะเติบโตจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ที่มีความทันสมัยในพื้นที่ใจกลางกรุง

ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะตลาดเช่า เนื่องจากปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่านยังสูง และเทรนด์คนรุ่นใหม่สนใจเช่ามากกว่าซื้อ คาดว่าจะดันราคาเช่าคอนโดในเขตกรุงเทพสูงอีก 40%

วิจัยเผยมนุษย์แก่ตัวแบบไร้กฎเกณฑ์ อวัยวะแต่ละส่วนเสื่อมสภาพไม่พร้อมกัน

(27 พ.ย. 67) ซินหัว เผยว่าคณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดค้นพบว่าความแก่ตัว (aging) เกิดขึ้นอย่างไร้กฎเกณฑ์มากกว่าที่คาดกันไว้มาก โดยอาจเริ่มต้นจากส่วนต่างๆ ของร่างกายในเวลาแตกต่างกันไป และอาจเกิดมาเนิ่นนานก่อนที่เจ้าของร่างกายจะทันคิดเรื่องความแก่ตัวเสียอีก

“ความแก่ตัวยังเป็นเรื่องปัจเจก มันเกิดขึ้นในระดับโมเลกุลภายในตัวเราแต่ละคน และเราอาจควบคุมกระบวนการนี้ได้เพียงบางส่วน” รายงานระบุ พร้อมเสริมว่าเมื่อเรารู้ว่าอวัยวะแก่ตัวลงอย่างไร เราอาจสามารถหยุดยั้งหรือเร่งกระบวนการนั้นได้ผ่านวิถีการดำเนินชีวิต

คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ชีววิทยาโมเลกุลขั้นสูง พันธุศาสตร์ และคลังข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดจากคน จนสามารถบอกได้ว่าผู้คนบางส่วนมี “หัวใจแก่” ที่หมายความว่าหัวใจของพวกเขาแก่กว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายเป็นอย่างมาก หรือมี “สมองแก่” หรือ “สมองอ่อนวัย” ซึ่งหมายถึงมีสมองค่อนข้างอ่อนวัยกว่าอวัยวะอื่นในร่างกาย และอาจมี “กล้ามเนื้อแก่” หรือ “ตับอ่อนวัย” ซึ่งอวัยวะแทบทุกส่วนสามารถเป็นอวัยวะแรกที่ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณของความแก่ตัวเร็วกว่าปกติได้

รายงานชี้ว่าผลสืบเนื่องจากความแก่ตัวต่อสุขภาพมนุษย์นั้นมีอยู่จำนวนมาก โดยในผลการศึกษาเกี่ยวกับการแก่ตัวลงของอวัยวะในมนุษย์ครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่ง คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่าผู้มีหัวใจแก่มีแนวโน้มเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่าคนอื่น ขณะผู้มีสมองอ่อนวัยมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมช่วงบั้นปลายชีวิตน้อยกว่าผู้มีสมองปกติหรือสมองแก่ประมาณร้อยละ 80

ด้านแฮมิลตัน เซ-ฮวี โอ นักวิจัยหลังปริญญาเอก ผู้นำการศึกษาวิจัยระหว่างศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าผลลัพธ์ข้างต้นตอกย้ำว่า “ความแก่ตัวเป็นเรื่องซับซ้อนเพียงใด” และถือเป็นหนึ่งในข้อสรุปแรกๆ ที่เป็นไปได้จากในบรรดาศาสตร์ด้านการแก่ตัวลงของมนุษย์ที่มักถูกพูดถึงแบบเกินจริงไปมาก

‘ดร.สุวินัย’ ซูฮก 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ไม่หลงในเงินตรา หลังบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดให้การกุศล

(27 พ.ย. 67) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าบั้นปลายของ "เทพสมบัติ" อันดับหนึ่งของโลก

'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ปิดฉากอาณาจักรความมั่งคั่งของเขา ด้วยการ บริจาคเงินทั้งหมดของเขาให้การกุศล โดยเขาได้บริจาคเงินให้การกุศลเพิ่มอีก 1.1 พันล้านดอลลาร์ และตั้งทรัสตี 3 คนรับไม้ต่อจากลูกทั้ง 3 เพื่อบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเขาไม่วางใจคนรุ่นต่อไปว่าจะบริหารสินทรัพย์ได้ดีแค่ไหน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างจากมหาเศรษฐีหลายคน ด้วยการตัดสินใจ ไม่สร้างอาณาจักรความมั่งคั่ง ให้กับทายาทของตนเอง

เพราะแทนที่จะส่งต่อทรัพย์สินมหาศาลให้ลูกหลานโดยตรง บัฟเฟตต์กลับเลือกที่จะแต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คนเพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกนำไปใช้เพื่อการกุศลอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง หลังจากที่เขาและภรรยาเสียชีวิตลง พร้อมกับบริจาคหุ้น Berkshire Hathaway เพิ่มอีก 1,100 ล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิทั้ง 4 แห่งของครอบครัว เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเขา

ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ได้ให้สัญญามาโดยตลอดว่าจะบริจาคเงิน 99% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ได้มาตั้งแต่ปี 1965 แทนที่จะทิ้งเป็นมรดกให้กับลูกทั้ง 3 คน เพราะเขามองว่ามรดกอาจทำให้ขาดแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง และสร้างความแตกแยกในครอบครัว 

นอกจากนี้ การที่ทรัพย์สินมหาศาลตกทอดไปยังคนรุ่นหลัง อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางสังคมได้เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนรุ่นถัดไปจะเลือกกระจายทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร

บัฟเฟตต์ไม่ได้ต้องการสร้างอาณาจักรธุรกิจมอบให้ลูกหลาน แต่เลือกที่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับการกุศลแทน เนื่องจากกังวลว่ารุ่นต่อ ๆ ไปอาจไม่สามารถบริหารจัดการความมั่งคั่งมหาศาลได้อย่างเหมาะสม

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็น "เทพสมบัติ" โดยแท้ 
คือเป็นผู้ที่มีอำนาจจิตที่เหนือเงินตรา เป็นนายของเงินตรา 
โดยที่เงินตราเป็นข้ารับใช้ที่ดีของเขาเท่านั้น
คนแบบนี้น่าจะมีแค่หนึ่งในพันล้าน
ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเป็น "ผู้ชนะถาวร" อย่างชนิดอยู่เหนือเกมการเงิน
แต่กลับกินอยู่อย่างสมถะ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ติดหรู ไม่อวดรวย ไม่ฟุ้งเฟ้อ 
เพราะมีปัญญาญาณที่มองทะลุถึง 'มายาของเงินตรา'
ภายหลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว กลับบริจาคเงินเกือบทั้งหมด (99%) ให้กับการกุศล เพื่อบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่ง

นี่คือการใช้ชีวิตดุจ "เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง" อย่างแท้จริง
เพราะกระทำเช่นนี้ เรื่องราวของเขาจักเป็นตำนานตลอดไปอีกนานเท่านาน

“แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับ ไม่ชอบก็เลื่อนผ่าน บล็อกทุกคนที่ด่าครับ”

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ทนายคลายทุกข์’ ว่า วันนี้แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ
ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับไม่ชอบก็เลื่อนผ่านครับบล็อกทุกคนที่ด่าครับ

พร้อมกับโพสต์ข้อความในช่องคอมเมนท์ต่ออีกว่า ทุกคนที่ไม่ชอบผมก็เลื่อนผ่านไม่ต้องเข้ามาดูครับเพจทนายคลายทุกข์เป็นเพจให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย

ทีม ‘สุพิศ’ เร่งถอดบทเรียนก่อนเดินต่อ ‘นายกฯอบจ. สงขลา’ หลัง ปชป.เสียทีในสนามเลือกตั้ง ‘นายก อบจ.นครศรีฯ’

เป็นที่รับทราบกันแล้วสำหรับผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลปรากฏน้ำท่วมเมืองนครศรีฯ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ จากสายสีน้ำเงิน เอาชนะ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ จากค่ายสีฟ้ากว่า 30000 คะแนน

สรุปนะครับ #ผลนับคะแนนเลือกตั้งนายกฯอบจ.นครศรี
-เบอร์ 2 328,823 (น้ำ)
-เบอร์ 1 294,835 (เจ้ต้อย)
-เบอร์ 4 31,586 (ชัย)
-เบอร์ 3 3,657 (อาญาสิทธิ์)

ต้องยอมรับความจริงว่า เจ้ต้อยถึงแม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่มีคะแนนมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 20 ธันวาคม 2563 เพราะครั้งนั้น เจ้ต้อยได้มา 260000 กว่าคะแนน เพียงแต่ 300000 กว่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นยังไม่อาจต้านกระแสแรงของน้ำได้

ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับในวันที่น้ำเปิดตัว และไปยื่นใบสมัคร ยังมีคนนครศรีฯจำนวนมากถามกันว่า เบอร์ 2 คือใคร น้ำเป็นใคร ในขณะที่เจ้ต้อยคนรู้จักกันทั้งจังหวัด แต่ผ่านไปเพียงสองอาทิตย์คำถามว่า เบอร์ 2 คือใคร เริ่มไม่ได้ยินคำถามนี้ แต่กลับเริ่มมีกระแสเปลี่ยนเลือก 'น้ำเบอร์ 2' เหตุผลสำคัญของกระแสเปลี่ยนมาจากหลากหลายเหตุผล

พิจารณาประเด็นของน้ำก่อน ด้วยบุคลิกของสาวมั่น พูดจาฉะฉาน ปราศรัย หรือให้สัมภาษณ์ไม่ต้องดูโพย อันเป็นการสะท้อนว่า รู้จริง ทำการบ้านมาดี นโยบายที่เน้นไปทางเศรษฐกิจ มันตรงกับสภาวะปัจจุบันของคนไทย เมื่อบวกรวมกับทีมยุทธศาสตร์ผู้ช่ำชองการเลือกตั้ง ทีมสื่อที่ทำสื่อเสนอผ่านโซเชียลอย่างเป็นระบบ ส่งเข้าถึงห้องนอนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกช่วงวัย การปราศรัยของน้ำในช่วงโค้งท้าย ๆ สะท้อนความมั่นใจ ความเชื่อมั่นสูง อันเป็นภาวะผู้นำ

การประกาศเป็นยุทธศาสตร์ของน้ำ “ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนน” ถือเป็นการสวนกระแสที่ท้าทายกับภูมิทัศน์การเมืองใหม่ จึงมีคำถามตามมาว่า ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนนจะชนะอย่างไร จะเอาคะแนนมาจากไหน

ส่วนเจ้ต้อย ไม่ได้มีข้อด้อยอะไรมาก เพียงแต่โดนหนักประเด็นลาออกแล้วมาสมัครใหม่ ทำให้ต้องเสียงบจัดการเลือกตั้งสองครั้ง 100 กว่าล้าน กับเรื่องการไปเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน(ถนน)มากไป กับการเป็นบ้านใหญ่ การเมืองครอบครัว

แต่ประเด็นที่เจ้ต้อยโดนหนักไปตกอยู่กับ 'แทน-ชัยชนะ เดชเดโช' สส.นครศรีฯ (ลูกชาย) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบารมีล้นเมืองคอน การนำพาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ (ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร) ที่คนใต้ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย การด้อยค่า ม.ทักษิณ รวมถึงประเด็นเนรคุณ ที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันมากในช่วงท้ายของการหาเสียง อันเกิดจากแทนไปพาดพิงถึงสองพี่น้องตระกูลยุติธรรมว่า สอบตกทั้งคู่ 

ประกอบกับคนไม่เอาประชาธิปัตย์ ไม่ชอบแทน มาร่วมกันรุมช่วยน้ำไม่ว่าจะเป็นเทพไท เสนพงศ์ (คึก) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล (ปุ้ย) เมื่อบวกรวมกับผู้แพ้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอนันต์ ทองอุ่น, อำนวย ยุติธรรม, สนั่น พิบูลย์ เป็นต้น ล้วนสร้างแรงบวกให้น้ำทั้งนั้น เมื่อสื่อโซเชียลมาช่วยเสริมจึงทำให้น้ำเป็นฝ่ายกำชัยในที่สุด

แต่ที่น่าสนใจคือแรงกระเพื่อมหลังจากนี้ ทั้งแรงกระเพื่อมในจังหวัด และแรงกระเพื่อมไปยังจังหวัดข้างเคียง แรงกระเพื่อมในจังหวัดต้องรอดูการเลือกตั้ง สส.ในสมัยหน้า เพราะการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ประชาชนได้สอนบทเรียนให้ประชาธิปัตย์อย่างเจ็บปวดแล้ว จะแลนด์สไลด์ไปถึงเลือก สส.ด้วยหรือไม่

มีการกล่าวถึงนครโมเดล จะมีการเปรียบเทียบไปถึงสงขลา จะเอานครโมเดลไปใช้ที่สงขลาได้หรือไม่ สงขลาแน่ชัดแล้วว่า ไพเจน มากสุวรรณ์ นายกฯอบจ.คนปัจจุบัน อำลาเวที ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ลาออกจากราชการเปิดตัวลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา ภายใต้การสนับสนุนของ ‘นายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รมช.สาธารณสุข และนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย ด้วยเห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจของสุพิศที่อาสาเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เมืองสงขลา ด้วยความพร้อมทั้งครอบครัว และธุรกิจ ประสบการณ์

ส่วนคู่แข่งของสุพิศ ที่ชัดเจนแล้ว มีเพียง ‘นิรันดร์ จินดานาค’ จากพรรคประชาชน ในทางการเมืองสำหรับสงขลาแล้ว นิรันดร์ ยังไม่เท่าไหร่ อยู่ที่การสร้างนโยบาย สร้างกระแส และทีมงานพรรคประชาชนว่าจะช่วยได้แค่ไหน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ชัดว่าจะมีใครลงแข่งบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคอื่นก็ยังไม่เห็นขยับชัด

การจะเอานครโมเดลมาใช้กับสงขลาจึงน่าจะยังยากอยู่ เพราะผู้สนับสนุนหลักของสุพิศ ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการแพ้-ชนะ ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกับ การที่จะมีใครสักคนลุกขึ้นมาประกาศเป็นยุทธศาสตร์ 'ไม่ซื้อเสียง-ไม่มีหัวแนน' ตามนครโมเดล สำหรับสงขลาคงจะยาก เว้นเสียแต่ว่า พรรคภูมิใจไทย ไปเฟ้นหาคนใหม่ ใส ๆ มาแบบน้ำ และหาทีมบริหารดี ๆ เข้ามา สร้างนโยบายที่โดดเด่น แตกต่าง 

วันนี้สำหรับขั้วประชาธิปัตย์ ที่หันไปสนับสนุนสุพิศ คงต้องนำบทเรียนจากนครศรีฯมาทบทวน และหาข้อสรุป เพื่อกำหนดเป็นแนวทาง ถึงจะเห็น 'ชัย' ของ 'สุพิศ' เงินไม่ใช่ตัวกำหนดชัยชนะ 

สื่อนอกปูด รมว.กลาโหมจีนถูกสอบทุจริต ปักกิ่งกวาดล้างทุจริตครั้งใหญ่สะเทือนนายพล

(27 พ.ย.67) หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า พลเรือเอก ต่ง จวิน รัฐมนตรีกลาโหมของจีน กำลังถูกสอบสวนในปฏิบัติการกวาดล้างคอร์รัปชันครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อนายทหารระดับสูงในกองทัพจีน

รายงานดังกล่าวอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐทั้งในอดีตและปัจจุบัน ระบุว่า พลเรือเอกต่ง อายุประมาณ 62-63 ปี เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนที่ 3 ของจีนที่ถูกสอบสวนในคดีทุจริต โดยเขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2566 ต่อจากพลเอก หลี่ ซ่างฝู ซึ่งดำรงตำแหน่งได้เพียง 7 เดือน อย่างไรก็ตาม พลเรือเอกต่งไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีในการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม และไม่ได้รับตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารกลาง (CMC) ซึ่งเป็นองค์กรทหารสูงสุดของจีน โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นประธาน

ทั้งนี้ การประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติรัฐมนตรีกลาโหมจะต้องเป็นสมาชิกทั้งคณะรัฐมนตรีและ CMC แต่พลเรือเอกต่งไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว

สำหรับรัฐมนตรีกลาโหมจีน 2 คนก่อนหน้า พลเรือเอกต่ง ได้แก่ พลเอกหลี่ ซ่างฝู วัย 66 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมีนาคม-ตุลาคม 2566 และพลเอก เว่ย เฟิ่งเหอ วัย 70 ปี ที่ดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมีนาคม 2561-มีนาคม 2566 ทั้งคู่ถูกถอดยศและขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนมิถุนายน ด้วยข้อหาฝ่าฝืนวินัยร้ายแรง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุในขณะนั้นว่า การกระทำของทั้งสองเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของพรรคและ CMC ทำให้บรรยากาศทางการเมืองในกองทัพเสียหาย และสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของผู้นำอาวุโสในกองทัพ

อย่างไรก็ตาม สื่อในภูมิภาคเอเชียที่คอยเกาะติดรายงานความเคลื่อนไหวของจีนแผ่นดินใหญ่ อย่าง เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ หรือ สำนักข่าวนิเคอิ ยังไม่มีรายงานข่าวดังกล่าวว่าจีนกำลังกวาดล้างนายพลในกองทัพตามรายงานข้างต้น

ททท. ประกาศผลผู้ชนะ ‘TAT Travel Tech Startup 2024’ ทีม HAUP คว้าชัย พร้อมได้อีก 11 ทีม หัวกะทิ Travel Tech

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศผลผู้ชนะโครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 กิจกรรมบ่มเพาะและโจทย์ด้านการท่องเที่ยวสุดท้าทาย ภายใต้แนวคิด WORLD & ME โดยทีมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่มีแผนธุรกิจที่โดดเด่นและได้รับคัดเลือกคะแนนสูงสุด

โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ทีม HAUP  / ทีม CERO / ทีม Carbonwize จากทั้งหมด 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. มอบรางวัลแก่ผู้ชนะ ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า โครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 สะท้อนความตั้งใจของ ททท. ในการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อย หรือ สตาร์ทอัพ ผ่านการบ่มเพาะองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

รวมทั้งสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าคุณภาพ และมาตรฐานแก่สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นสร้างความประทับใจในทุก Touch Point ของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพและโอกาสการแข่งขันในตลาดโลกแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยในอนาคต

การประกวด TAT Travel Tech Startup ครั้งนี้ กำหนดภายใต้แนวคิด WORLD & ME โลกและเรา ท่องเที่ยวแบบห่วงใย ใส่ใจ ให้ทั้งโลกยังสวยงามและธุรกิจของเราเติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน โดยอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สร้างนวัตกรรมที่ทำได้จริง ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว โดยผู้เข้าร่วมประกวดจะมีโอกาสในการร่วมงานกับ ททท. และพันธมิตรที่ร่วมดำเนินโครงการฯ ในการนำเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว มาใช้รองรับเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในตลาดท่องเที่ยวที่เหมาะสม ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจของ Startup อีกทางหนึ่ง โดยการจัดแข่งขันในรอบสุดท้ายและมอบรางวัล ในงาน Opportunity Day  วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

สำหรับทีม Startup ที่คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวไปครอง โดยนายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ททท. เป็นประธานมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม HAUP รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม CERO รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ทีม Carbonwize เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร 

ซึ่งผู้ชนะทั้ง 3 ทีม ยังได้รับสิทธิ์ประโยชน์ต่าง ๆ จาก พันธมิตรในโครงการ อาทิ โอกาสเข้าร่วมงาน Startup Showcase ที่งาน Startup Thailand Event 2025 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ NIA 

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากพันธมิตรที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนโครงการนี้ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), ธนาคาร SME D BANK, สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย, บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, SCBx NEXT TECH, The Able By KING POWER, ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย, Mission To The Moon, Greenery Media และ The States Times เข้าร่วมแสดงความยินดี พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจในโครงการ Travel Tech Startup  สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขัน การทำกิจกรรมต่างๆของโครงการ ได้ที่ Page Facebook: TAT Startup Thailand และ www.TATStartup.com

'การบินไทย' ขายหุ้นเพิ่มทุน 4.48 บาท ระดม 44,000 ล้านบาท 6-12 ธ.ค.นี้ มั่นใจเดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ

(27 พ.ย.67) 'การบินไทย' เผยผลตอบรับการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการดีเกินคาด มีเจ้าหนี้แสดงเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมทะลัก 3 เท่าตัว เดินหน้าสู่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนอีก 9,822.5 ล้านหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงาน และ Private Placement มูลค่าไม่เกิน 44,004.7 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขาย 4.48 บาทต่อหุ้น ระหว่าง 6-12 ธันวาคม 2567

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การบินไทย ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตลอดระยะเวลาในช่วงฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา ที่ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการนำพาการบินไทยบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ เราได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนเพื่อลดค่าใช้จ่าย ปรับฝูงบินและเส้นทางการบิน เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในทุกเส้นทางบิน สู่ก้าวใหม่ในฐานะบริษัทเอกชนที่เปี่ยมศักยภาพกว่าที่เคย ในวันนี้การบินไทยประสบผลสำเร็จจากกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนซึ่งประกอบด้วย (1) การแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแบบภาคบังคับเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Mandatory Conversion) คิดเป็นมูลค่า 37,601.9 ล้านบาท โดยได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 14,773.7 ล้านหุ้น 

โดยเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 หรือกระทรวงการคลัง ได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างเต็มจำนวนในสัดส่วนร้อยละ 100 ในขณะที่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5, กลุ่มที่ 6 (สถาบันการเงิน) และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ ได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างในอัตราร้อยละ 24.50 และ (2) การใช้สิทธิแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นทุนเพิ่มเติมโดยความสมัครใจ (Voluntary Conversion) ซึ่งในระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหนี้จำนวนมากแสดงเจตนารวมกันเกินกว่า 3 เท่าของจำนวนหุ้นที่มีรองรับตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวน 4,911.2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 12,500.1 ล้านบาท พร้อมทั้ง (3) การใช้สิทธิแปลงดอกเบี้ยตั้งพักใหม่เป็นทุนมูลค่า 3,351.2 ล้านบาท และได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,304.5 ล้านหุ้น สุทธิภาษีหัก ณ ที่จ่ายรวม (1) – (3) คิดเป็นภาระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งสิ้นมูลค่า 53,453.2 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 20,989.4 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินของการบินไทยกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นการบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินให้สามารถดำเนินธุรกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินในระดับสากล การบินไทยจะดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนถัดไป ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 9,822.5 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของการบินไทยก่อนการปรับโครงสร้างทุนตามข้อมูลที่ปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่มีที่อยู่ในประเทศไทย และพนักงานของการบินไทย ตามลำดับ ในราคา 4.48 บาทต่อหุ้น 

โดยสามารถจองซื้อและชำระเงินระหว่างวันที่ 6 – 12 ธันวาคม 2567 ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีหุ้นสามัญคงเหลือจากการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน และพนักงานของบริษัทฯ ตามลำดับ จะดำเนินการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่ราคาเสนอขายเดียวกันต่อไป โดยการกำหนดราคาดังกล่าวที่กำหนดโดยผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการมีความเหมาะสม โดยการพิจารณาจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การประเมินมูลค่ายุติธรรม ทั้งจากวิธีเปรียบเทียบอัตราส่วนตลาด (Market Comparable Approach) เช่น อัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Enterprise Value to EBITDA Ratio: EV/EBITDA) อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio: P/E) และวิธีมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดของกิจการ (Discounted Cash Flow) ข้อจำกัดและโครงสร้างการเสนอขายภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ความเสี่ยงของนักลงทุนจากการที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนกว่าที่หุ้นจะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนประโยชน์และผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับเงินทุนจากการเสนอขายที่เหมาะสม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของการบินไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 แสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและความก้าวหน้าในการฟื้นฟูกิจการ โดยมีจำนวนผู้โดยสารกว่า 11.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) อยู่ที่ 47,778 ล้าน ASK เพิ่มขึ้น 19.2% สะท้อนถึงศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากแผนฟื้นฟูกิจการที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า  

ในส่วนของกำไร (ขาดทุน) จากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 24,191 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 29,330 ล้านบาท EBITDA ของงวดนี้อยู่ที่ 33,742 ล้านบาท เทียบกับ 37,590 ล้านบาทในปีก่อน การลดลงดังกล่าวเกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าซ่อมบำรุงอากาศยานที่สูงขึ้นตามจำนวนเครื่องบินใหม่ ค่าบริการการบินที่เพิ่มขึ้นทั้งจากจำนวนเที่ยวบินและอัตราค่าบริการต่อเที่ยว ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาที่เพิ่มตามปริมาณการจองเที่ยวบิน  

อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่าการลงทุนเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และช่วยให้การบินไทยกลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้”

เปิดจดหมายปู่บัฟเฟตต์ ตั้งใจบริจาค 1.1 พันล้านดอลลาร์ สานต่อการกุศล ไม่หวังลูกหลานบริหารความรวยต่อ

(27 พ.ย.67) วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกและผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) แสดงจุดยืนของเขาในฐานะที่มีแนวคิดต่างจากมหาเศรษฐีทั่วไปอีกครั้ง โดยการยืนยันว่าจะไม่ส่งต่อทรัพย์สินที่มีอยู่มหาศาลให้กับลูกหลานทายาท แต่เลือกที่จะบริจาคให้การกุศลแทน พร้อมแต่งตั้งดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คน เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

ในจดหมายของบัฟเฟตต์ ที่เขียนถึงกลุ่มผู้ถือหุ้น นักลงทุนระดับตำนาน วัย 94 ปี ได้สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของชีวิตเขาในช่วงบั้นปลาย โดยกล่าวว่า ครั้งหนึ่งที่เขาหวังว่าภรรยาคนแรกของเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าและตัดสินใจเรื่องการกระจายทรัพย์สินหลังจากเขาจากไป "เวลาชนะเสมอ แต่สำหรับเขามักจะไม่แน่นอน แน่นอนว่ามันไม่ยุติธรรมและโหดร้ายมาก บางครั้งถึงขั้นจบชีวิตตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่บางคนก็ต้องรอเป็นศตวรรษก่อนเวลาที่พลัดพรากจะมาเยี่ยมเยียน" 

ในจดหมายที่มีความยาวเกือบ 1,300 คำ บัฟเฟตต์กล่าวว่าเขาหวังว่าลูก ๆ ทั้งสามของเขา ได้แก่ ซูซี ฮาวเวิร์ด และปีเตอร์ บัฟเฟตต์ ซึ่งมีอายุ 71, 69 และ 66 ปี จะมีชีวิตอยู่นานพอที่จะตัดสินใจได้ว่าทรัพย์สมบัติของพ่อของพวกเขาจะบริจาคให้กับองค์กรการกุศลใด เมื่อบัฟเฟตต์เสียชีวิต พวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ การตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติของพ่ออย่างไร

“ผมไว้ใจลูกทั้ง 3 อย่างสมบูรณ์ แต่สำหรับคนรุ่นต่อไป ผมไม่อาจคาดเดาความสามารถและความซื่อสัตย์ในการบริหารทรัพย์สินได้” 

บัฟเฟตต์ วางแผนไว้ว่า หากในกรณีที่ลูกๆ ทั้งสามคนของเขา ไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ หรือไม่สามารถดูแลทรัพย์สินของเขาตามเจตนารมณ์ได้ เขาได้แต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินที่อาจสืบทอดตำแหน่งอีก 3 คน (กองทรัสตี้ 3 คน) แต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร

ในจดหมายบัฟเฟตต์ยังระบุอีกว่า เขาจะเปลี่ยนหุ้น Class A จำนวน 1,600 หุ้นของบริษัทให้เป็นหุ้น Class B จำนวน 2.4 ล้านหุ้น ซึ่งมีสิทธิในการลงคะแนนน้อยกว่า โดย 1.5 ล้านหุ้นจะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิซูซาน ทอมป์สัน บัฟเฟตต์ ซึ่งตั้งชื่อตามภรรยาคนแรกของเขาที่เสียชีวิต และอีก 300,000 หุ้นจะถูกแบ่งให้กับสามมูลนิธิที่บริหารโดยลูก ๆ ทั้ง 3 คน รวมมูลค่าเกือบ 1.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 41,500 ล้านบาท) 

“อายุขัยของลูก ๆ ของผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2006 ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่งคั่งหรือแผนการใด ๆ ที่ยาวไปเกินลูก ๆ ของผม”

บัฟเฟตต์ ระบุในจดหมายว่า หากในวันที่เขาลาโลกและลูก ๆ ยังคงมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน เขาตั้งใจให้ลูก ๆ กระจายหุ้น Berkshire ทั้งหมดของเขาซึ่งคิดเป็น 99.5% ไปในการบริจาคด้านการกุศลตามองค์กรต่าง ๆ

“ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่นคงหรือดำเนินการตามแผนเพื่อความร่ำรวยใด ๆ ที่จะขยายออกไปไกลเกินกว่าลูกๆของผมจะบริหารได้”

ทั้งนี้ ตามรายงานของฟอส์บส์ระบุว่า ตลอดชีวิตของบัฟเฟตต์ น่าจะมหาเศรษฐีเป็นผู้ใจบุญมากที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้บริจาคเงินมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลต่าง ๆ ตลอดชีวิตของเขา จากการประเมินของฟอส์บส์ บัฟเฟตต์เป็นมหาเศรษฐีที่มีความร่ำรวยสุทธิราว 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ของโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top