Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

ผอ.โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ภายใต้ปรัชญาการทำงาน 'จะทำสิ่งไรควรทำให้จริง'

พลเรือตรี ชาตรี เปี่ยมสิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล อาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จบการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียน พระปฐมวิทยาลัย และระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรีแพทย์ศาสตร์ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ พระมงกุฎเกล้า มีความเชี่ยวชาญ ด้านอายุรศาสตร์ โรคข้อ และรูมาติสซั่ม ศึกษาเพิ่มเติม แพทย์เวชศาสตร์การบิน จากโรงเรียนเวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศ 
การบริหารโรงพยาบาลจากคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ หลักสูตรเวชศาสตร์ใต้น้ำ และความดันบรรยากาศสูงสำหรับผู้บริหาร กรมแพทย์ทหารเรือ

ประวัติการทำงานที่สำคัญ ได้แก่ หัวหน้ากองเวชศาสตร์ใต้น้ำ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ ผู้อำนวยการกองเวชกรรมป้องกันโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาล อาภากรเกียรติวงศ์ฯ และได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เป็น
ผู้อำนวยการโรงพยาบาล อาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เมื่อ 1 ตุลาคม 2567 ปรัชญาในการทำงาน 'จะทำสิ่งไรควรทำให้จริง'

พล.ต.ท.ประจวบฯ ชื่นชมตำรวจจราจรกระบี่ และตำรวจทางหลวงมอเตอร์เวย์ช่วยประชาชนพ้นเหตุอันตรายไฟไหม้รถ ดึงผู้บาดเจ็บทั้งสองเหตุ ออกจากรถก่อนไฟลุกไหม้ทั้งคัน

  

วันนี้ (24 ต.ค.67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากการเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสนักเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่มีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้รถมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจจราจร สภ.เมืองกระบี่ ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้รถจักรยานยนต์ และตำรวจทางหลวงมอเตอร์เวย์ ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกจากรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่มีน้ำมันรั่วไหล และเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ในเวลาต่อมา โดยทั้ง 2 กรณี ผู้บาดเจ็บได้รับการช่วยเหลือออกมาจากรถคันที่ประสบอุบัติเหตุ อย่างทันเวลาก่อนที่เพลิงจะลุกไหม้ทั้งคัน แล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำส่งโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย ต้องชมเชยตำรวจจราจร สภ.เมืองกระบี่ และตำรวจทางหลวงมอเตอร์เวย์ ที่ไปถึงที่เกิดเหตุและเข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว  

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ขณะ ร.ต.ต.กฤษณะ บุตรสวัสดิ์ รอง สว.(ป.) ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. , ร.ต.ต.สมสมัย เดชยศดี รอง สว.(ป.) ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. และ ด.ต.ธีรภัทร์ จันประทักษ์ ผบ.หมู่ ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 พบอุบัติเหตุรถกระบะพลิกคว่ำ มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่ในรถ บริเวณ กม.ที่ 67 ขาเข้ากรุงเทพมหานคร มีน้ำมันรั่วไหลออกมาจากตัวรถ และไฟเริ่มไหม้ จึงเร่งให้การช่วยเหลือโดยนำถังดับเพลิงในรถสายตรวจของตำรวจทางหลวงออกมาทำการฉีดดับไฟ ขณะนั้นเพลิงโหมแรงขึ้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ จนท.ตำรวจทางหลวงจึงได้ช่วยกันส่งสัญญาณขอรับการสนับสนุนถังดับเพลิงจากรถบรรทุกพ่วงที่ขับผ่านมา อีก 2 ถัง เพื่อนำมาระดมฉีดดับเพลิง จนสามารถควบคุมเพลิงได้ ก่อนนำผู้บาดเจ็บออกมาจากรถและปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้อย่างอย่างปลอดภัย จากนั้นได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป

เหตุการณ์ที่สอง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 09.45 น. ขณะ ร.ต.อ.พีระยุทธ์ โนวัฒน์ รอง สว.(จร.) สภ.เมืองกระบี่ และ จ.ส.ต.นนทวัช แก่นเมือง ผบ.หมู่ (จร.) สภ.เมืองกระบี่ ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนกับรถจักรยานยนต์ บริเวณถนนนาเตย ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมืองกระบี่ จึงรีบไปที่เกิดเหตุเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรและรักษาความปลอดภัย พบว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บหมดสติ จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยกระบี่พิทักษ์ประชา และพลเมืองดีเข้าทำการช่วยเหลือและนำผู้บาดเจ็บออกจากรถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุก่อนไฟลุกไหม้ท่วมทั้งคัน นำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อไป ส่วนรถจักรยานยนต์สามารถระงับเพลิงได้ในเวลาต่อมา 
 
ทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าว ได้รับการชื่นชมอย่างมากจากประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์และสื่อสังคมออนไลน์       

ในความพร้อม และการเดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยความรวดเร็วของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้สามารถช่วยเหลือผู้บาดเจ็บไว้ได้ รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลประชาชนให้ปลอดภัยอยู่เสมอ  
 
พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กล่าวว่า ทั้ง 2 กรณี ต้องขอบคุณและชื่นชมตำรวจจราจร สภ.เมืองกระบี่ ที่เดินทางไปที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว และตำรวจทางหลวงที่มีความพร้อมในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ และอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน มีถังดับเพลิงและชุดปฐมพยาบาลติดประจำรถตำรวจทางหลวงทุกคัน ทำให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วและการมีความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง มีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตำรวจทั่วประเทศ  
 
ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แนะนำประชาสัมพันธ์ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้ง ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง 
- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ  
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล  
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ  
- โทร. 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สว.'ชี้'คดีตากใบโหมไฟใต้ 23-26 ต.ค. หน่วยความมั่นคงบูรณาการปกครองรับมือ ป้องกันเหตุร้าย สถานที่ราชการ ฐานปฏิบัติการณ์ จุดตรวจ ร้านค้า ปั้มน้ำมัน ชุมชนไทยพุทธ

(25 ต.ค.67) นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่าแน่นอนแล้วว่ารัฐไม่สามารถจะนำตัวผู้ต้องหาที่ศาลออกหมายจับคดีตากใบ มาเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมได้แน่นอนแล้ว ทำให้กลุ่มขบวนการ บีอาร์เอ็น. เอากรณีที่รัฐไม่สามารถจับผู้ต้องหาคดีตากใบ มาดำเนินคดี  ซึ่งวันสุดท้ายคดีหมดอายุความในวันนี้ ( 25 ต.ค.) มีการโฆษณาปลุกระดม 

นายไชยยงค์ กล่าวว่า โดยอ้างว่าพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะเอาตัวผู้ต้องหามาเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม มาเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมมวลชน และสร้างสถานการณ์ร้ายในพื้นที่ชายแดนใต้ เช่นคาร์บอมม์ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี และอีกหลายจุดที่เกิดเหตุร้าย ส่วนรัฐบาลจะออก พรก.ขยายเวลาคดีตากใบนั้นไม่สามารถกระทำได้

นายไชยยงค์ กล่าวว่า สมาชิกวุฒิสภามีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่ได้รับรายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้ ว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 26 ต.ค.67 จึงขอให้หน่วยงานความมั่นคงบูรณาการกับฝ่ายปกครอง ในพื้นที่ชายแดนใต้ เข้ามาดูแลเพื่อป้องกันทรัพย์สินของทางราชการ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่  สำนักงาน ฐานปฏิบัติการ จุดตรวจ จุดสกัด ร้านค้า ปั้มน้ำมันและชุมชนคนไทยพุทธ

เชียงใหม่-คณะพยาบาลศาสตร์  มช. จัดงาน 'บ้านสีแสดขอบคุณ ทุกความทรงจำ นำองค์กรสู่ความสุข'

ที่ประชุมอาจารย์และบุคลากร สมัยที่ 8 ร่วมกับ สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ สำนักงานคณะพยาบาลศาสตร์ และ ศูนย์บริการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานบ้านสีแสดขอบคุณ ทุกความทรงจำ นำองค์กรสู่ความสุข (Say Love Say Thank You My Dean & Team) ในวาระครบรอบการบริหารงานของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ (พ.ศ. 2563-2567) ณ ข่วงม่วนใจ๋ อาคาร 2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2567

ผลงานแห่งความสำเร็จภายใต้การบริหารงานของท่าน ได้แก่ ในปี พ.ศ. 2564 คณะฯ ผ่านการรับรองหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต จากสภาการพยาบาล ระยะเวลาสูงสุด 5 ปีการศึกษา (พ.ศ. 2564-2568) นำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้แก่องค์กรอย่างมาก นอกจากนี้ คณะฯ ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class) ประจำปี 2565 รางวัลเกียรติยศแสดงถึงมาตรฐานด้านการบริหารจัดการองค์กรเทียบเท่าระดับมาตรฐานโลก จากสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม

ในปี พ.ศ. 2566 เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งคณะฯ ผ่านการตรวจรับรองหลักสูตรในระดับนานาชาติ โดยใช้เกณฑ์ International Accreditation: Accreditation Commission for Education in Nursing (ACEN) ประเทศสหรัฐอเมริกา (2022-2028) ประกอบด้วย 2 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาตรี) และ 10 หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาโท) แสดงถึงความมีคุณภาพมาตรฐานสากลที่สามารถส่งมอบคุณค่าแก่ผู้เรียนและผู้ใช้บัณฑิตเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนต่อไป

และ ในปี พ.ศ. 2567 คณะฯ ได้รับการจัดอันดับจาก QS World University Rankings by Subject 2024 (สาขาวิชา Nursing) ให้อยู่ในลำดับที่ 101-150 ของโลก และเป็นสถาบันทางการศึกษาพยาบาลอันดับ 1 ร่วมของประเทศ เป็นต้น

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอขอบพระคุณท่านคณบดีและทีมผู้บริหารทุกท่าน ตลอดทั้ง 4 ปี มีส่วนสำคัญในการพัฒนาคณะฯ ทุกด้าน ทำให้เจริญรุ่งเรืองแข็งแกร่ง มุ่งสรรค์สร้างให้คณะฯ เป็นแบบอย่างของสถาบันการศึกษาทางการพยาบาลที่มีคุณภาพ มาตรฐานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ที่ว่า "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถาบันชั้นนำระดับสากลด้านการศึกษาและการวิจัย"

ประชาธิปัตย์นำร่อง 'เมืองคอนโมเดล' สำเร็จ สส.ปชป.นครศรีธรรมราช ขอบคุณ 'รัฐมนตรี เฉลิมชัย' แก้ปัญหาฉับไวมอบสมุดที่ดินทำกินคทช.ล็อตแรก1หมื่นราย8หมื่นไร่รอของขวัญปีใหม่ครบ 3 แสนไร่

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช เปิดเผยวันนี้ว่า ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะที่ได้เดินทางมาแจกสมุดประจำตัวผู้ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการที่ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราชได้หารือในสภาผู้แทนราษฎรเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อนระหว่างรัฐและประชาชน ในนครศรีธรรมราชมีทั้งหมด 380,000 ไร่ในความเป็นจริงแล้วมีที่ดินมากกว่านี้ เป็นปัญหามาอย่างยาวนานนับร้อยปีบางพื้นที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคนไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินเลย หลังจากได้มีการหารือในสภา รมว ทส.จึงได้เรียกไปพูดคุยกันหาแนวทางในการแก้ไข สุดท้าย รมว.ทส. จึงได้นำเสนอเข้าสู่โครงการ คทช.จึงได้แจกสมุดคู่มือให้กับเกษตรกรทุกท่าน ทั้ง 11 อำเภอ ทั้งหมดกว่า 10,000 ราย ที่ดินจำนวน 80,000ไร่ และเหลือพื้นที่เข้าโครงการแล้วอีก 300,000 ไร่ รมว มา รับปรกแล้วปีใหม่นี้จะมอบให้กับเกษตรกรทั้งหมด ทั้งนี้ สส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 6 ท่านได้เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชนในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องภายใต้” เมืองคอนโมเดล“

”ต้องยอมรับว่า โครงการ คทช.นอกเหนือจากแจกคู่มือที่ดินทำกินแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีปัญหาเข้าไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ไม่ได้ก็สามารถเข้าไปดำเนินการได้เป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีนโยบายเรื่องนี้มองเห็นและทำงานอย่างรวดเร็วในการคิกออฟแจกคู่มือที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรในพื้นที่และต่อไปแจกทั่วทั้งประเทศ 12 ล้านไร่โดยนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่นำร่อง

ต่อข้อถามนครศรีธรรมราชยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจอีกมากน้อยเพียงใดว่า “ผมเชื่อว่ายังคงมีพื้นที่ไม่ได้สำรวจอีกประมาณ 5-6 แสนไร่ ซึ่งในพื้นที่นั้นอาจจะอยู่ในพื้นที่สูงต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน อุทยาน รวมถึงพื้นที่ลุ่มน้ำหรือไม่ จึงเป็นหน้าที่ของ สส.ปชป.ที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป” 'ส.ส.ชัยชนะ'กล่าว

สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดงาน 'เรียนรู้ สร้างโอกาส เชื่อมโยงการศึกษากับอุตสาหกรรม'

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) เวลา 08.30 – 15.30 น. ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดงาน 'เรียนรู้ สร้างโอกาส เชื่อมโยงการศึกษากับอุตสาหกรรม' เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงการศึกษาและการพัฒนาทักษะของผู้เรียนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสร้างโอกาสการจ้างงานให้แก่ผู้เรียนในอนาคต

​โดยในงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ฉัตรชาญ ทองจับ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นประธานกล่าวเปิด

​พร้อมกันนี้ยังมีการเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ 'สร้างโอกาสในการพัฒนาผู้เรียนสู่การเป็นมืออาชีพในอนาคต' มีผู้ร่วมเสวนาจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายนิธิวัชร์ ศิริปริยพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน), รองศาสตราจารย์ ดร.สุรพันธ์ ยิ้มมั่น รองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, นายประทีป จุฬาเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก และ ดร.ปัญญาพล สุพรรณวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.เอ็ม.ซี (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ผศ.ดร.ดวงกมล โพธิ์นาค รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและกิจการพิเศษ สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนายจักรพันธ์ ดาปาน อุปนายก และผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานโครงการและความร่วมมือ สมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ

และภายในงานยังมีการเปิดตัว 'ชุดฝึกอบรม TPQI E-Training เพื่อสถานประกอบการ' พร้อมแนะนำ แพลตฟอร์ม E-Workforce Ecosystem Platform (EWE) ที่เป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะในการบริหารจัดการข้อมูลด้านกำลังคนและการพัฒนาสมรรถนะเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีการพิธีมอบโล่เกียรติคุณให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการจัดฝึกอบรมและประเมินสมรรถนะบุคคล รวมถึงการมอบประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิวิชาชีพอีกด้วย​

การจัดงานครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงการศึกษาเข้ากับภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้เรียนและเตรียมความพร้อมในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรในทุกระดับให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพและมีงานทำในอนาคต

‘สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง’ จัดประกวด ‘รถไฟในฝัน’ เปิดเวที!! ให้เยาวชนระดมไอเดียพัฒนา ‘การขนส่งทางราง’

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(24 ต.ค. 67) ห้องบอลรูม B โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ภายใต้กระทรวงคมนาคม ได้แถลงเปิดตัวโครงการ 'คิดใหญ่ไปให้สุดราง' (Think Beyond Track) ซึ่งเป็นการประกวดความคิดสร้างสรรค์ระดับเยาวชนในหัวข้อ 'รถไฟในฝัน' พร้อมเปิดวิสัยทัศน์และพันธกิจของ สทร. ในการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ

ดร.จุลเทพ เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นกิจกรรมนำร่องของ สทร. ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง  และมีพันธกิจสำคัญด้านหนึ่งคือ การพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ  จึงได้ริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราง โดยพุ่งเป้าที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ เชิญชวนให้นักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 16-22 ปี ในจังหวัดที่มีรถไฟสายหลักวิ่งผ่าน ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดภายใต้หัวข้อ 'รถไฟในฝัน' โดยมีรางวัลเป็นเงินทุนการศึกษารวม 420,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะของเยาวชนในการคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอไอเดียที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในอนาคต โดยผู้สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค.- 24 พ.ย. 2567 และปิดรับผลงานวันที่ 4 ธ.ค. 2567   

หรือศึกษารายละเอียดการสมัครเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานได้ทางเว็บไซต์ www.คิดใหญ่ไปให้สุดราง.net 

“ภารกิจหลักของ สทร. คือ การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของไทย เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถยกระดับขีดความสามารถของไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมระบบรางในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมระบบราง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบดำเนินการ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักในกลุ่มเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังหลักของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต เราจึงริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์การพัฒนาระบบราง และหวังว่ากิจกรรมนำร่องครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบราง และมองเห็นโอกาสด้านอาชีพในอุตสาหกรรมใหม่นี้” ดร.จุลเทพ กล่าว

นอกจากนี้ ดร.จุลเทพ ยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของ สทร.ว่า  สทร. เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กระทรวงคมนาคม ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ.2564 เพื่อบูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน ในการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ โดยมีภารกิจหลักที่สำคัญคือ การสร้างยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติและระดับกระทรวง โดยบูรณาการทิศทางและความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ประกอบด้วย ส่วนของผู้กำหนดนโยบาย ส่วนของผู้เดินรถและอุตสาหกรรม และส่วนของนักวิจัย/นักวิชาการ ให้ครอบคลุมทั้งบริบทด้านเทคโนโลยีระบบราง บริบทด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดลำดับความสำคัญอย่างชัดเจนและเป็นระบบ  พร้อมกำหนด Roadmap ตัวชี้วัด มาตรการ กลไก และผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศการสร้างอุตสาหกรรมระบบราง

ภารกิจหลักของ สทร. ยังประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การสร้างมาตรฐานระบบรางและระบบการทดสอบด้านระบบราง การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศในการรับ แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบรางด้วย

ที่ผ่านมา สทร. ได้สร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบราง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรผ่านการฝึกอบรม และการส่งเสริมหลักสูตรด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ  อีกทั้งยังมีการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยในเบื้องต้นว่า จะสามารถเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมระบบรางตามมาตรฐานระดับโลกได้หรือไม่

“ตอนนี้ผู้ประกอบการและแรงงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างอุตสาหกรรมระบบรางโดยอาศัยเทคโนโลยีที่เป็นของคนไทย จะสามารถช่วยแก้ปัญหาผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อีกทางหนึ่ง และอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” ผอ. สทร. กล่าวทิ้งท้าย

ครบรอบ 1 ปีรถไฟฟ้า 20 บาท รฟม. เผยผลสำเร็จโครงการ ผู้โดยสารสีม่วงพุ่ง 17.70% รับ อานิสงส์ครบทั้งลานจอดรถ-สายสีน้ำเงิน

(25 ต.ค. 67) เมื่อ 23 ต.ค. 67 ที่ผ่านมาครบรอบการดำเนินการตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 1 ปีในการนี้ทางการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจึงออกมาแถลงถึงผลการดำเนินการที่ผ่านมา

โดยนายวิทยา พันธุ์มงคล รักษาการแทน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า 

หลังจากที่ รฟม. ได้ดำเนินการตามนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งนโยบาย Quick Win “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ที่สำคัญของกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน 

โดยเริ่มดำเนินการในระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ก่อนเป็นลำดับแรก ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 จากนั้นในระยะที่ 2 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 จึงเริ่มใช้อัตราค่าโดยสารร่วมสูงสุด 20 บาท สำหรับผู้เดินทางเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง และระบบรถไฟฟ้าชานเมือง สายนครวิถี (สายสีแดง) โดยใช้บัตร EMV Contactless ใบเดียวกัน และเปลี่ยนถ่ายระบบ ณ สถานีบางซ่อน ภายในระยะเวลา 30 นาที 

ทั้งนี้ ตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ได้เริ่มดำเนินการมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท พบว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 17.70 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเริ่มมาตรการ โดยปัจจุบันผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 66,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงผลของการดำเนินงานตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ได้อย่างชัดเจน  

นายวิทยา พันธุ์มงคล กล่าวต่อว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงที่เพิ่มสูงขึ้น ยังช่วยเพิ่มปริมาณผู้โดยสารให้กับรถไฟฟ้าสายอื่นได้เป็นอย่างดี โดยจากผลการเปรียบเทียบจำนวนผู้โดยสารในช่วงก่อนดำเนินการนโยบายเทียบกับปัจจุบัน พบว่า รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 11.92 หรือคิดเป็นจำนวนเฉลี่ยกว่า 420,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน 

สถานีรถไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สถานีสุขุมวิท สถานีเพชรบุรี สถานีพระราม 9 สถานีพหลโยธิน และสถานีสีลม โดยสถานีสุขุมวิทและสถานีสีลมซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.11 และ 9.80 ตามลำดับ 

ในส่วนของรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสถานีที่มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สถานีเตาปูน สถานีตลาดบางใหญ่ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี สถานีบางซ่อน และสถานีคลองบางไผ่ โดยในส่วนของสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 63.36 และสถานีตลาดบางใหญ่ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า แหล่งชุมชน มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.22 ตามลำดับ

นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการอาคารจอดแล้วจร MRT สายสีม่วง ก็มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนดำเนินการนโยบาย เช่น อาคารจอดแล้วจรสถานีสามแยกบางใหญ่ มีจำนวนผู้ใช้บริการในช่วงวันธรรมดาเพิ่มสูงถึงร้อยละ 29 อาคารจอดแล้วจรสถานีบางรักน้อยท่าอิฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 และอาคารจอดแล้วจรสถานีคลองบางไผ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เป็นต้น 

สถานีคลองบางไผ่นอกจากจะมีอาคารจอดแล้วจรให้บริการแล้วนั้น ยังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์คมนาคมขนส่งด้านตะวันตก (คลองบางไผ่) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยเปิดให้บริการจุดจอดรถรับ-ส่ง รถโดยสารประจำทางของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างระบบขนส่งสาธารณะทางบกและทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Transport) 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้สะท้อนให้เห็นว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น นอกจากจะช่วยเพิ่มปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงแล้วนั้น ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้รถไฟฟ้าในภาพรวมของทั้งโครงข่าย ลดการใช้รถส่วนบุคคลเพื่อลดปัญหาการจราจรและมลพิษทางอากาศ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบของสถานีรถไฟฟ้า 

‘ไทย’ ยังสุ่มเสี่ยงตกเป็นเป้า ‘ก่อการร้ายสากล’ แม้แสดงจุดยืนรักษาความเป็นกลาง สร้างสัมพันธ์ทุกฝ่าย

เหตุการณ์การก่อการร้ายสากลที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

การก่อการร้ายในความหมายกว้าง ๆ คือ การใช้ความรุนแรงต่อผู้ซึ่งไม่ใช่ตำรวจ-ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองหรืออุดมการณ์ คำนี้ใช้ในเรื่องนี้เป็นหลักเพื่ออ้างถึงความรุนแรงโดยเจตนาในยามสงบหรือในบริบทของสงครามต่อประชาชนพลเรือนทั่วไป คำจำกัดความของการก่อการร้ายเน้นย้ำถึงความสุ่มเป้าหมายในการสร้างความหวาดกลัวเพื่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างที่มากเกินกว่าผลต่อเป้าหมายที่เป็นเหยื่อโดยตรง ด้วยกลวิธีต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง อุดมการณ์ ความเชื่อ ฯลฯ โดยมักใช้ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์เพื่อโน้มน้าวผู้มีอำนาจตัดสินใจ โดยผู้ก่อการร้ายมุ่งเป้าไปที่พื้นที่สาธารณะที่มีประชากรหนาแน่น เช่น ศูนย์กลางการขนส่ง สนามบิน ศูนย์การค้า แหล่งท่องเที่ยว และสถานบันเทิงยามค่ำคืน เพื่อสร้างความไม่ปลอดภัยในวงกว้าง กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายผ่านการจัดการทางจิตวิทยาและบั่นทอนความเชื่อมั่นในมาตรการรักษาความปลอดภัย

‘การก่อการร้ายสากล’ เป็น การปฏิบัติการ (คุกคามหรือใช้ความรุนแรง) ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มุ่งหวังผลตามเงื่อนไขข้อเรียกร้องทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งส่วนใหญ่จะปฏิบัติการล่วงล้ำเขตแดนหรือเกี่ยวพันกับชาติอื่น การกระทำนั้นอาจเป็นไปโดยเอกเทศปราศจากการสนับสนุนจากรัฐใด ๆ หรือมีรัฐใดหนึ่งสนับสนุนรู้เห็นก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประโยชน์ของชาติ พันธกรณีระหว่างประเทศ นโยบายของชาติทั้งด้านการเมือง และการป้องกันประเทศ เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของชาติ

พลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัน (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ และ
พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหารในขณะนั้น ยอมเป็นตัวประกันออกไปกับผู้ก่อการร้าย

ราชอาณาจักรไทย อันเป็นที่รักยิ่งของพี่น้องประชาชนคนไทย แม้จะพยายามวางตัว ดำรงบทบาทเป็นกลางในเวทีโลกก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ก่อการร้ายสากลได้พ้น สำหรับเหตุการณ์การก่อการร้ายที่นับเป็นการก่อการร้ายสากลที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นคือ เหตุการณ์ยึดสถานทูตอิสราเอลโดยกลุ่ม Black September ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 โดยสมาชิกขบวนการก่อการร้ายปาเลสไตน์ในนามของ The Black September Organization จำนวน 4 คน ได้บุกเข้ายึดสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ถนนหลังสวนกรุงเทพฯ และจับบุคคลที่อยู่ในสถานทูตไว้เป็นตัวประกัน 6 คน โดยยื่นข้อเรียกร้องต่อทางการอิสราเอล  3 ข้อ อาทิ เรียกร้องการปล่อยตัวนักโทษ 36 คนในเรือนจำ เหตุการณ์สงบลงด้วยการเจรจาของรัฐบาลไทย และเอกอัครราชทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย และผู้นำทางศาสนาอิสลามของไทย ใช้เวลาเจรจา 19 ชั่วโมง โดยรัฐบาลไทยได้จัดเครื่องบินพิเศษพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่คุ้มกันนำออกไปส่งที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง บุคคลสำคัญที่ยอมเป็นตัวประกันออกไปกับผู้ก่อการร้ายคือ พลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัน (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น และ พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหารในขณะนั้น ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน ผู้ก่อการได้มอบอาวุธปืนเล็กกลที่ใช้ก่อเหตุเป็นของที่ระลึกแก่จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีกระบอกหนึ่ง และอีกกระบอกมอบให้จอมพลประภาส จารุเสถียร ผู้บัญชาการกองทัพบก ผู้ก่อการปาเลสไตน์ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากรัฐบาลอียิปต์ โดยหลังจากที่พวกเขาลงจากเครื่องบิน ผู้ก่อการได้ถูกนำไปขึ้นรถตำรวจโดยไม่ได้ใส่กุญแจมือแต่อย่างได ส่วนสำนักข่าวต่าง ๆในอียิปต์ต่างเรียกพวกเขาเป็นวีรบุรุษ ในด้านของอิสราเอล นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลในขณะนั้น โกลดา เมอีร์ และคณะได้แสดงความชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลไทยอย่างยิ่งสำหรับการจัดการอันระมัดระวังซึ่งทรงประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบอย่างสูง (Active vigilance and supreme responsibility)

เครื่องบินแบบ BAC 1-11 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์แบบเดียวกับที่ถูกจี้

เหตุการณ์ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2519 ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม 3 คน จากขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติโมโรแห่งมินดาเนา (Moro National Liberation Front of Mindanao) ได้จี้และยึดเอาเครื่องบินโดยสารภายในประเทศที่เมืองคากายัน เดอ โอโร พร้อมด้วยผู้โดยสาร 70 คน ไว้เป็นตัวประกันและตั้งข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ 3 ข้อ ผู้ก่อการร้ายได้บังคับให้กัปตันนำเครื่องบินไปลงที่สนามบินมะนิลา และยินยอมปล่อยผู้โดยสารทั้ง 70 คน ที่ยึดไว้เป็นตัวประกัน ต่อมาการเจรจาระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์ตกลงกันไม่ได้ ผู้ก่อการร้ายจึงบังคับเครื่องบินให้บินออกนอกประเทศตามเส้นทางโกตาคิ นะบาลู รัฐซาบาร์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และมาลงดอนเมืองเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2519 ไทยเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างผู้ก่อการร้ายกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ ในที่สุดผู้ก่อการร้ายได้นำเครื่องบินต่อเดินทางไปลิเบียเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2519          

เครื่องบินแบบ DC-8 ของ Garuda ลำที่ถูกจี้

เหตุการณ์ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2524 ผู้ก่อการร้ายกลุ่มคอมมานโดญิฮาด (Commando Jihad Movement) จำนวน 5 คน ได้ปล้นยึดเครื่องบิน Garuda เที่ยวบิน 206 สายการบินแห่งชาติของอินโดนีเซีย ขณะบินขึ้นจากสนามบินปาเล็มบังไปยังเมืองเมดาน และเรียกร้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียปล่อยนักโทษการเมืองอินโดนีเซียที่ถูกคุมขังอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศไปส่งยังกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ต่อจากนั้นได้บังคับให้นำเครื่องบินไปจอดแวะเติมน้ำมันและขอเสบียงที่สนามบินปีนัง มาเลเซีย และเดินทางต่อมายังประเทศไทยลงที่สนามบินดอนเมือง ทางฝ่ายไทยและฝ่ายอินโดนีเซียได้เจรจาต่อรองกับผู้ก่อการร้ายจนถึงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2524 จนในที่สุดได้ตกลงใจที่จะใช้กำลังเข้าช่วยเหลือตัวประกัน โดยฝ่ายไทยเป็นผู้คุ้มกันการปฏิบัติการ และฝ่ายอินโดนีเซียใช้หน่วยจู่โจมเข้าช่วยเหลือตัวประกัน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2524 เวลา 02.35 น. ผลการปฏิบัติการคือ ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 4 คน บาดเจ็บ 1 คน หน่วยจู่โจมอินโดนีเซียเสียชีวิต 1 คน นักบินที่ 1 เสียชีวิต และผู้โดยสาร 43 คนปลอดภัย ปรากฏเป็นข่าวในภายหลังถึงความไม่ชำนาญในปฏิบัติการจู่โจมสลัดอากาศของฝ่ายอินโดนีเซียจึงทำให้มีการเสียชีวิตของผู้ปฏิบัติและตัวประกันเกิดขึ้น  

สภาพความเสียหายของอาคารหลังจากเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2525

เหตุการณ์ครั้งที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2525 มีผู้นำกระเป๋าเอกสารซึ่งบรรจุระเบิดชนิด C4 น้ำหนักประมาณ 10 ปอนด์ ไปทิ้งไว้ในสำนักงานบริษัท เอ.อี.นานา จำกัด เลขที่ 27-29 ถนนอนุวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ซึ่งเคยเป็นที่ทำการของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์อิรักประจำกรุงเทพฯ และได้เกิดระเบิดขึ้นเมื่อเวลา 16.27 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแผนกวัตถุระเบิด กองพลาธิการ กรมตำรวจ กำลังพยายามจะนำกระเป๋าดังกล่าวออกจากตัวอาคารเป็นผลให้อาคารบริษัท เอ.อี.นานา จำกัด ซึ่งเป็นตึก 2 ชั้น 2 คูหา พังถล่มลงมา มีผู้เสียชีวิต 1 นาย คือ พ.ต.ท.สุรัตน์ สุมานัส หัวหน้าแผนกวัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 4 คน และประชาชนบาดเจ็บ 13 คน ต่อมาในวันที่ 3 ธันวาคม 2525 ผู้ก่อการร้ายขบวนการปฏิบัติการอิสลามแห่งอิรัก (Iraqi Islamic Action Organization) ได้โทรศัพท์แจ้งไปยังสำนักข่าว AFP ในกรุงปารีส อ้างความรับผิดชอบกรณีระเบิดดังกล่าว เหตุการณ์ครั้งที่ 5 เดือนเมษายน พ.ศ. 2531 สมาชิกขบวนการฮิซบอลเลาะห์ (HIZBALLAH) จำนวน  6-8 คน ยึดเครื่องบินของสายการบินคูเวตจากกรุงเทพฯ ไปลงที่เมืองมาชาต ประเทศอิหร่าน จับผู้โดยสารและลูกเรือ 112 คนเป็นตัวประกัน ซึ่งในจำนวนนั้น 3 คนเป็นเชื้อพระวงศ์ของคูเวต ผู้ก่อการร้ายเรียกร้องให้รัฐบาลคูเวตปล่อยตัวนักโทษชาวมุสลิมนิกายชีอะต์ 17 คน ซึ่งถูกคุมขังในข้อหาขับรถบรรทุกระเบิดพุ่งชนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และวางระเบิดสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในคูเวต 

แท็งก์น้ำภายในบรรจุระเบิดแสวงเครื่องประกอบด้วยระเบิดซีโฟร์ 2 ลูก แอมโมเนียมไนเตรท
พร้อมเชื้อปะทุ

เหตุการณ์ครั้งที่ 6 เดือนมกราคม พ.ศ. 2532 คนร้ายลอบสังหารนายซาเลห์ อัล-มาลิกิ เลขานุการตรีสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำกรุงเทพฯ เหตุเกิดที่หน้าบริษัทแห่งหนึ่งย่านถนนสาทรใต้ ต่อมาขบวนการก่อการร้ายกลุ่มเดอะ โซลเยอร์ ออฟ จัสติส (THE SOLDIERS OF JUSTICE : TRUTH) กับกลุ่มอิสลามิกญิฮาด (ISLAMIC JIHAD) อ้างความรับผิดชอบ เหตุการณ์ครั้งที่ 7 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2532 นักศึกษาพม่า 2 คน จี้เครื่องบินของสายการบินพม่าจากเมืองมะริดมาลงที่สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) เข้าเจรจาต่อรอง สุดท้ายคนร้ายได้ยอมมอบตัว เหตุการณ์ครั้งที่ 8 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 นักศึกษาพม่า 2 คน จี้เครื่องบินของสายการบินไทย ซึ่งมีกำหนดเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเมืองย่างกุ้ง จากสนามบินดอนเมืองไปลงที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และเรียกร้องให้ทางการพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมือง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายผู้ก่อการร้ายยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่อินเดีย เหตุการณ์ครั้งที่ 9 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 คนร้ายชาวอิหร่าน ขับรถบรรทุกหกล้อ บรรทุกแท็งก์น้ำ ซึ่งภายในบรรจุระเบิดแสวงเครื่องขนาดใหญ่ ประกอบด้วยระเบิดซีโฟร์ 2 ลูก และแอมโมเนียมไนเตรท พร้อมเชื้อปะทุอีกจำนวนมาก หวังบุกพุ่งชนสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย หรือสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โชคดีเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์รับจ้างเสียก่อน คนขับกับเพื่อนต้องลงมาเจรจา มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ระดมพรรคพวกมากดดันเรียกร้องค่าเสียหาย คนขับรถบรรทุกขอจ่ายเป็นเงินดอลลาร์อเมริกัน มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รับ คนขับกับเพื่อนขอตัวไปแลกเงินไทย แต่แล้วก็เดินหายไปไม่กลับมาอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีสถานที่เกิดเหตุต้องขับรถบรรทุกไปจอดไว้ที่ สน.ลุมพินีไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากนัก 

ต่อมาอีกหลายวันมีผู้ประกอบการรถเช่ามาสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีเกี่ยวกับรถบรรทุกหกล้อที่หายไป ก็พบรถคันนั้นพอดี แต่สงสัยว่าแท็งก์น้ำที่บรรทุกอยู่มาจากไหน เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นไปเปิดแท็งก์น้ำ ปรากฏว่าช็อกเมื่อพบศพคนขับคนไทยที่ขับรถคันนี้อยู่ประจำ และพบส่วนประกอบระเบิดปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรตผสมกับน้ำมันโซลาร์หนักกว่า 1 ตัน มีระเบิดซีโฟร์ขนาด 2 ปอนด์เป็นตัวจุดระเบิด มีสวิตช์กดระเบิดอยู่ในรถ การสอบสวนพบว่าชาวตะวันออกกลางไปเช่ารถคันนี้มาเมื่อหลายวันก่อน เจ้าของขอให้เอาคนขับคนไทยไปด้วย รถคันนี้ไปจอดค้างคืนอยู่ในที่จอดรถห้างเซ็นทรัลชิดลมอยู่คืนหนึ่งก่อนจะขับออกมาเจออุบัติเหตุกิ๊กก๊อกตอนเช้า คาดว่าเป้าหมายของคาร์บอมบ์ครั้งนั้นอยู่ที่สถานทูตอิสราเอลที่ขณะนั้นอยู่ห่างห้างเซ็นทรัลชิดลมไปแยกเดียวเท่านั้น ต่อมาในปี 2538 มีการจับผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอิหร่าน 3 คน ปล่อยตัวไป 2 คนในชั้นสอบสวน คงเหลือฟ้องร้องดำเนินคดี 1 คน 

เฮลิคอปเตอร์พร้อมตัวประกันสำคัญคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ (ขณะนั้น)
ไปส่งนักศึกษาพม่าหัวรุนแรง 5 คน ที่บ้านแม่เพี้ยเล็ก

เหตุการณ์ครั้งที่ 10 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 นักศึกษาพม่าหัวรุนแรง 5 คน บุกยึดสถานเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย จับตัวประกันไว้ 30 คน เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมือง พร้อมทั้งให้เปิดการเจรจาคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนประชาชน และให้รัฐบาลทหารร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนตั้งรัฐบาลผสม ทางการไทยได้เข้าเจรจา โดยจัดเฮลิคอปเตอร์พร้อมตัวประกันสำคัญคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) ไปส่งที่บ้านแม่เพี้ยเล็ก เขตอิทธิพลของกะเหรี่ยง KNU

เหตุการณ์ครั้งที่ 11 เดือนมกราคม พ.ศ. 2543 กองกำลังทหารกะเหรี่ยงกลุ่ม "God’s Army" 10 คน บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี จับแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยไว้เป็นตัวประกัน เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่ายุติการปราบปรามชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน ทางการไทยได้สนธิกำลังหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายสากลเข้าช่วยเหลือตัวประกัน และยึดพื้นที่คืน ปรากฏว่าทหารก็อดอาร์มีเสียชีวิตทั้งหมด ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทยบาดเจ็บ 8 นาย

เหตุการณ์ครั้งที่ 12 เหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558 เป็นเหตุระเบิดที่เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.55 น. ตามเวลาในประเทศไทย ที่ศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และในวันต่อมาได้เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดลงมาจากสะพานตากสิน บริเวณท่าเรือสาทร ทำให้เรือที่จอด

อยู่บริเวณใกล้เคียงถูกสะเก็ดระเบิดเล็กน้อย แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เกิดระเบิดสองครั้งบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามเหนือแยกราชประสงค์ โดยคนร้ายนำระเบิดไปวางไว้บริเวณประตูของจุดบริการด่วนมหานครสำนักงานเขตปทุมวันซึ่งให้บริการด้านทะเบียนราษฎร์ มีผู้บาดเจ็บสามคน โดยเชื่อว่าสาเหตุมาจากการเมือง และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2558 เกิดเหตุการณ์คาร์บอมที่ชั้นใต้ดินของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้บาดเจ็บ 10 คน โดยผู้ก่อเหตุที่ถูกออกหมายจับทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกันทั้ง 2 คดี โดยมีผู้ต้องหา 17 คน มีคนไทยร่วมขบวนการ 2 คน คือ วรรณา สวนสันต์ กับ ยงยุทธ พบแก้ว (อ๊อด พยุงวงศ์) และจนถึงตอนนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย คือบีลาเติร์ก มูฮัมหมัด และไมไรลี ยูซูฟู (ชาวอุยกูร์) ต่อมา นางวรรณา สวนสันต์ ถูกจับ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เหตุการณ์ร้ายที่กล่าวมา ยังไม่นับรวมการจับกุม "ริดวน อิซามุดดิน" หรือ "ฮัมบาลี" แกนนำกลุ่มก่อการร้ายเจไอ และเป็นตัวการประสานงานคนสำคัญระหว่างกลุ่มเจไอ กับ อัล-ไกดา ซึ่งถูกทางการไทยร่วมกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอสหรัฐควบคุมตัวได้ขณะกบดานอยู่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อปลายปี พ.ศ. 2546 ซึ่งฮัมบาลี ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญที่บงการให้มีการวางระเบิดสถานบันเทิงในเกาะบาหลีของประเทศอินโดนีเซีย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 ทางการไทยยังจับกุมนายวิคเตอร์ บูท ชาวรัสเซีย ซึ่งถูกกล่าวหาจากทางการสหรัฐว่า เป็นพ่อค้าอาวุธรายสำคัญ ถูกจับกุมตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2551 ตามหมายจับของตำรวจสากล ด้วยข้อหาขนส่งอาวุธสงครามให้กับขบวนการค้ายาเสพติดในโคลอมเบีย  ต่อมาศาลอุทธรณ์ไทยมีคำสั่งให้ส่งตัว วิกเตอร์ บูท ไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2553 และถูกตัดสินโดยศาลแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก จำคุกเป็นเวลาอย่างน้อย 25 ปี เหตุระเบิดบ้านเช่าของชาวอิหร่านสามคนในกรุงเทพมหานครเมื่อวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 หน้าโรงเรียนเกษมพิทยา ตั้งอยู่ระหว่างซอยปรีดีพนมยงค์ 33-35 ถนนปรีดีพนมยงค์ (ถ.สุขุมวิท 71) แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กทม. มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย รวมทั้งมือระเบิดที่ได้รับบาดเจ็บจนขาขาด  ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ศาลอาญาตัดสินลงโทษจำเลยชาวอิหร่านในความผิดฐานคดีร่วมกันทำความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดระเบิด ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ พยายามฆ่าผู้อื่น ทำให้เสียทรัพย์ และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 ดังกล่าว โดยนายซาอิด โมราดิ จำเลยที่ 1 อายุ 29 ปี ที่อยู่ในสภาพพิการตาขวาบอด ขาซ้ายขาดจากระเบิดของตัวเอง ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต  และนายมูฮัมหมัด ฮาซาอิ จำเลยที่ 2 อายุ 43 ปี ถูกตัดสินลงโทษจำคุก 15 ปี

แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้หน่วยงานด้านความมั่นคงจะมีการชี้แจงว่า กลุ่มขบวนการก่อการร้ายไม่ได้มีเป้าหมายที่จะโจมตีประเทศไทยโดยตรง เพียงแต่มีการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หรือใช้เป็นสถานที่กบดานซ่อนตัวเพื่อก่อนเดินทางไปลงมือปฏิบัติการในประเทศอื่นๆ แต่ทุกเหตุการณ์ไม่ได้ที่เกิดขึ้นชัดเจนว่าประเทศไทยของเราไม่ได้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ก่อการร้ายเลย แม้ว่า ประเทศไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของการก่อการร้ายสากล แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการก่อการร้ายในประเทศได้ ด้วยการก่อการร้ายในปัจจุบันเป็นในรูปแบบที่ไร้ขอบเขตในการปฏิบัติ มีการกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ และมีอำนาจตัดสินใจปฏิบัติการโดยอิสระมากขึ้น โดยที่ไทยเป็นประเทศเปิดเสรี ทำให้ผู้ก่อการร้ายสากลเคยและสามารถใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน แหล่งพักพิงชั่วคราว และแหล่งจัดหาอุปกรณ์สนับสนุนในการปฏิบัติการ เช่น เอกสารปลอม อาวุธ การอำพรางรูปพรรณและสถานะของบุคคล การรวบรวมข่าวสารและเงินทุน รวมถึงความพยายามในการจัดตั้งเครือข่ายปฏิบัติการ เนื่องจากไทยมีปัจจัยเกื้อกูลหลายประการ เช่น เป็นศูนย์กลางการคมนาคม การบังคับใช้กฎหมาย และการรักษาความปลอดภัยที่หย่อนยาน ขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ

ความเป็นเอกราชของบ้านเมืองเราแลกมาด้วยความชาญฉลาดและเสียสละของบูรพมหากษัตริย์และบรรพชนไทย เราอยู่รอดมาได้ด้วยเราไม่ดันทุรังทำในสิ่งที่เราไม่เห็นโอกาสว่าจะสำเร็จ สิ่งเหล่านี้รักษาไว้ซึ่งความเป็นชาติเอกราชเพียงชาติเดียวที่รอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในอดีต และจะหลุดพ้นจากบ่วงทุนนิยมของโลกเสรีอันเป็นเครื่องมือล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจตามลัทธิการล่าอาณานิคมสมัยใหม่ได้จนตลอด เรื่องที่พึงระวังในการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยคือ การตกบ่วงในการเลือกข้างฝักใฝ่เป็นพวกกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลไทยในอดีตเคยกระทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้งหลายหน สำหรับบทบาทท่าทีที่เหมาะสมที่สุดของประเทศไทยคือ การรักษาความเป็นกลางโดยเคร่งครัด การยึดมั่นในข้อตกลงตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ได้ทำไว้กับนานาประเทศ การประณามการใช้ความรุนแรง และการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ตลอดจนการกระทำอันเป็นการก่อให้เกิดการดูหมิ่นและเกลียดชังบนพื้นฐานความเชื่อถือศรัทธาด้านต่างๆ ในความต่างทางเชื้อชาติศาสนาและวัฒนธรรมประเพณี ด้วยอัธยาศัยไมตรีตลอดจนจารีตประเพณีที่ดีงามของสังคมไทย เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดจนความมั่นคงของชาติไทยเอาไว้ได้จนทุกวันนี้

‘สน.สามเสน’ แนะเริ่มวางแผนการเดินทาง รับก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก พ.ย. นี้

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘สถานีตำรวจนครบาลสามเสน’ ได้โพสต์ประชาสัมพันธ์ให้วางแผนในการเดินทางจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันตก) จากสถานีศูนย์วัฒนธรรมไปยังสถานีบางขุนนนท์ ความว่า 

ประชาสัมพันธ์ผู้ปกครองที่ใช้ถนนมาจากบางขุนนนท์ ถึง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื่องด้วยมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม จำนวน 11 สถานี 
ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.67 ถึงปี พ.ศ.2572 (รวม 5 ปี) 

(ผ่านถนนราชินี,อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย,ถ.ราชดำเนินกลาง,ถ.หลานหลวง,ถ.เพชรบุรี,ถ.ราชปรารภ,ถ.วิภาวดีรังสิต)

ขอประชาสัมพันธ์ในการวางแผนในการเดินทางด้วยครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top