Thursday, 2 May 2024
TheStatesTimes

แผนร้าย Jimmy Lai จุดชนวนการล่มสลายของจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสถาปนาประชาธิปไตยตามแบบสหรัฐฯ

Jimmy Lai เจ้าพ่อสื่อชาวฮ่องกงวัย 76 ปี ผู้ก่อตั้ง Giordano International แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง, Next Digital (เดิมชื่อ Next Media) บริษัทสื่อที่จดทะเบียนในฮ่องกง และ Apple Daily หนังสือพิมพ์ของฮ่องกงและไต้หวัน 

เขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ และเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในค่ายสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะต่อพรรค Democratic ที่เป็นชนวนเหตุให้เกิดการประท้วงกระทั่งกลายเป็นการจลาจลทางการเมืองของฮ่องกง 

ทั้งนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักว่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของฮ่องกง แต่จริง ๆ แล้วเขาถือสัญชาติอังกฤษมาตั้งแต่ปี 1996 

Lai ซึ่งมักจะวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่เสมอ ถูกตำรวจฮ่องกงจับกุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2020 ในข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ต่อมาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม แต่ในวันที่ 3 ธันวาคม 2020 Lai ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกง และถูกเพิกถอนการประกันตัว ศาลฮ่องกงตัดสินจำคุก Lai จนถึงเดือนเมษายน 2021 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาถูกควบคุมตัว แต่ตัว Lai เองกลับมองว่า การจำคุกของเขาเป็น 'จุดสูงสุดในชีวิตของเขาเอง'

ในเดือนกรกฎาคม 2019 Lai ได้พบกับ Mike Pence รองประธานาธิบดี Mike Pompeo รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และ John Bolton ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ของสหรัฐฯ Lai กล่าวว่า "พวกเราในฮ่องกงกำลังต่อสู้กับจีนเพื่อค่านิยมร่วมกันของสหรัฐฯ เรากำลังต่อสู้ในสงครามของพวกเขาในพื้นที่ของศัตรู"

ในเดือนธันวาคม 2020 Lai ได้รับรางวัล 'Freedom of Press Award' จาก Reporters Without Borders ภายหลังการก่อตั้ง Apple Daily สำนักข่าวภายใต้การนำของ Lai ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งกล้าวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองของจีนอย่างเปิดเผย ทั้งยังสนับสนุนการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยโดยครอบคลุมอย่างกว้างขวาง 

ในวันที่ 29 ธันวาคม 2020 Lai ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการและประธานคณะกรรมการของ Next Digital ในเดือนเมษายน 2021 เขาถูกตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 14 เดือนจากการจัดชุมนุมประท้วงโดยผิดกฎหมาย Lai ถูกจำคุกในห้องขังเดี่ยวที่เรือนจำ Stanley ของฮ่องกง

ระหว่างการไต่สวนคดีความมั่นคงที่ Lai ตกเป็นจำเลย Wayland Chan (Chan Tsz-wah) นักกฎหมายซึ่งเป็นพยานในการดำเนินคดีให้การว่า Lai ได้เล่าถึงแผนการที่จะโน้มน้าวรัฐบาลต่างประเทศระหว่างการพบปะหารือกันที่บ้านพักของ Lai ในเมืองหยางหมิงซาน กรุงไทเปในเดือนมกราคม 2020 โดยขณะนั้น Jimmy Lai ได้บอกว่า "จากประสบการณ์ในอดีต เขาเชื่อว่า การล่มสลายทางการเมืองและเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนระดมทรัพยากรจำนวนมากเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบพลเมือง" 

ขณะที่ Chan เสริมว่า "การล่มสลายดังกล่าวมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของประเทศตะวันตก ซึ่งที่สุดจะเป็นการปูทางไปสู่การนำประชาธิปไตยแบบอเมริกันมาใช้ในจีน"

นอกจากนั้น Chan ยังให้การด้วยว่า Lai ต้องการที่จะ 'ฟอกตัว' ผู้ประท้วงหัวรุนแรงในฮ่องกงปี 2019 เนื่องจากเกรงว่า จะสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ โดย Lai กังวลว่า การกระทำที่รุนแรงของบรรดาผู้ประท้วงในฮ่องกงบางคนจะทำให้ขบวนการประท้วงสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากสหรัฐฯ 

ถึงตรงนี้ คงพอจะเห็นได้ว่า ‘ประชาธิปไตย’ ยังคงเป็นคำที่ถูกใช้เครื่องมือที่ชาติตะวันตกใช้ในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ ที่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ เห็นต่าง ไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายและเอื้อผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจตะวันตก จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองน้อยและยอมเชื่อตาม ซึ่งก็มีบทเรียนที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศให้เห็นชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองใน อิรัก, ลิเบีย และซีเรีย ที่ยังไม่สามารถใช้ ‘ประชาธิปไตย’ สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้กับประเทศเหล่านั้นได้จนทุกวันนี้

ขอนแก่น - วันคล้ายวันสถาปนา "คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มข." ครบรอบ 32 ปี

คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มีวิสัยทัศน์ในการเป็น "สถาบันการศึกษาชั้นนำและเป็นเลิศด้านบริหารธุรกิจและการบัญชี ที่ได้มาตรฐานสากล" โดยมีเป้าหมายของวิสัยทัศน์คือ อันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ และ 1 ใน 20 ของอาเชียน ภายในปี พ.ศ.2567

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 19 เมษายน 2567 ที่ ห้องวังเลิศ Smart Classroom คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธานในพิธีทำบุญถวายปานะ ถวายจตุปัจจัย ถวายสังฆทาน แด่พระสงฆ์ 9 รูป เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ครบรอบ 32 ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมี พระมหาบุญตา ชาตปุญโณ เจ้าอาวาสวัดเกาะทองบ้านหนองเต่า และพระเถรานุเถระ พระมหาบุญตา ตลอดจน รศ.ดร.เพ็ญศรี เจริญวานิช คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ,ผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น, ผู้บริหารจากส่วนงาน หน่วยงาน และศูนย์ต่างๆ ผู้บริหารและผู้แทน 8 องค์กรเศรษฐกิจขอนแก่น เครือข่ายชมรมศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี คณาจารย์และบุคลากร นักศึกษา สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติ ร่วมงาน

รศ.ดร.เพ็ญศรี  เจริญวานิช คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ในนามคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีทำบุญวันคล้ายวันสถาปนาคณะในวันนี้ ตามที่คณะวิทยาการจัดการ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535 และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ตามราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 21 เมษายน 2559 ดังนั้น วันที่ 21 เมษายนของทุกปีจึงถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันสถาปนาคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งในปีนี้ครบรอบ 32 ปี ด้วยวันที่ 21 เมษายน 2567 ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ แต่เพื่อให้บุคลากรและนักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการระลึกถึงวันสถาปนาคณะ จึงได้กำหนดจัดกิจกรรมทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาขึ้นในวันนี้ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2567 

รศ.ดร.เพ็ญศรี กล่าวอีกว่า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อให้บุคลากร นักศึกษา และศิษย์ก่าของคณะบริหารธุรกิจและการบัญชีเข้าร่วมทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและสถาบัน 2. เพื่อร่วมรำลึกถึงความสำคัญของคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี และเป็นการรวมพลังให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะและความภาคภูมิใจในสถาบันร่วมกัน3. เพื่อเป็นการสีบสานและถ่ายทอดวัฒนธรรมให้เป็นประเพณีที่ดีงามต่อไป

รศ.ดร.เพ็ญศรี กล่าวต่อไปว่า  คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มีวิสัยทัศน์ ในการเป็น "สถาบันการศึกษาชั้นนำและเป็นเลิศด้านบริหารธุรกิจและการบัญชี ที่ได้มาตรฐานสากล" โดยมีเป้าหมายของวิสัยทัศน์คือ อันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ และ 1 ใน 20 ของอาเชียน ภายในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งคณะฯได้ดำเนินการพัฒนาคณะฯ ตามพันธกิจที่กำหนดไว้คือ 1. สร้างและพัฒนานักบริหารธุรกิจ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี และผู้ประกอบการให้มีความรู้ความสามารถในการแข่งขันทั้งในยุคปัจจุบันและอนาคต 2. สร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 3. บริการวิชาการแก่สังคมอย่างมีคุณภาพ และ 4. การบริการโรงแรมและร้านอาหารภายใต้คุณภาพมาตรฐาน

รศ.ดร.เพ็ญศรี  กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 31 ปี คณะฯ ได้ทุ่มเทในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องส่งผลให้คณะผ่านการประเมินคุณภาพระดับ 300 คะแนน ซึ่งนับเป็นคณะแรกของกลุ่มคณะวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาบริหารธุรกิจ ในประเทศไทย และจากการจัดอันดับของสถาบัน SCIMAGO  ประเภทสาขาวิชาด้าน BUSINESS, MANAGEMENT AND ACCOUNTING อยู่ในอันดับ 3 ของประเทศ นอกจากนี้คณะฯ ยังมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อตอบสนองนโยบายและการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยขอนแก่นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าตามที่ท่านคณบดี คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ได้กล่าวรายงานไปแล้วนั้น ตนมีความชื่นชมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความสำเร็จและการเติบโตของคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี และในวันที่ 21 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาของคณะ และในปีนี้ครบรอบ 32 ปี เป็นที่ทราบกันว่าคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เป็นอีกหนึ่งคณะในมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีความโดดเด่น และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านวิชาการ และการบริหารจัดการ ในวันอันเป็นมงคลนี้ กระผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดช่วยดลบันดาล ปกปักรักษา ให้ท่านคณบดี พร้อมด้วยบุคลากรคณะบริหารธุรกิจและการบัญชีทุกท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญ พบแต่ความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป และก้าวไปพร้อมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น

รศ.นพ.ชาญชัย  กล่าวอีกว่า คณะบริหารธุรกิจและการบัญชีเป็นคณะที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันนี้คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี นั้นมีหลักสูตร ที่น่าสนใจ และทันสมัยเป็นทั้งหลักสูตร มาตรฐานระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ซึ่งคณะเองก็อยู่บนเส้นทาง และในปีหน้าก็จะผ่านมาตรฐานสากล ซึ่งมีไม่กี่แห่งในเมืองไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษา ในหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน นานาชาติให้การรับรอง ดังนั้นคิดว่าคณะบริหารธุรกิจและการบัญชีเอง เป็นคณะที่มีอายุถึง 32 ปี และสร้างผลงานที่โดดเด่น และมีผลงานเชิงประจักษ์มากมาย และเป็นอีกหนึ่งคณะที่สร้างผลงานให้กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น

รศ.นพ.ชาญชัย  กล่าวด้วยว่าในโอกาสนี้จึงขอแสดงความยินดีและความสำเร็จ ความเจริญก้าวหน้าของคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เนื่องในวันเฉลิมฉลองวันสถาปนาครบรอบ 32 ปี และหลังจากนี้ไปคิดว่าคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ก็ได้มีรากฐานที่แข็งแรง มีความเข้มแข็ง ก็ยังเป็นคณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีความเจริญเติบโตก้าวหน้า โดยที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีอายุ 60 ปี ในปีนี้ กำลังเข้าก้าวข้าสู่ปีที่ 61 ในขณะเดียวกันคณะบริหารธุรกิจและการบัญชีก็จะเข้าสู่ปีที่ 33 ก็คิดว่าคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เป็นคณะหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความเจริญก้าวหน้าสืบต่อไป

เปิดใจ 'น้องปีใหม่' นร.ทุนโอลิมปิกวิชาการ เตรียมอุดมฯ ตะลุยด้านวิชาการ บนแนวคิด 'ไม่เครียด-ไม่กดดันตัวเอง'

จากรายการ Y WORLD THE MAGNET ดึงมาคุย ลุยความคิด ตอนที่ 4 ออกอากาศเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67 ได้สัมภาษณ์ 'น้องปีใหม่' หรือ ปาณิสรา โฆษิตสุรังคกุล นักเรียนทุนโอลิมปิกวิชาการ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยน้องปีใหม่ได้มาแชร์การเตรียมตัวสอบ อาชีพในอนาคต และแนวทางด้านการศึกษาของตัวเอง ดังนี้

❓️Q: ความรู้สึกของการสอบเข้าเตรียมอุดม เป็นอย่างไรบ้าง?
👩น้องปีใหม่: ก็ถือว่าข้อสอบก็ยาก แต่คิดว่าอยู่ในขอบเขตที่หนูเตรียมตัวมาค่ะ

❓️Q: เล่าประวัติการศึกษาและการแข่งขัน
👩น้องปีใหม่: เรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลฉัตรเฉลิม เรียนประถมที่โรงเรียนสาธิตเกษตรฯ เรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ แล้วก็จะศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ส่วนการแข่งขันที่ผ่านมาของหนู หนูเริ่มแข่งขันตั้งแต่ ป.2 เริ่มจากสนามราชภัฏพระนครเป็นแข่งขันคณิตศาสตร์ค่ะ

ในตอนนั้นคุณแม่เห็นแววว่าหนูสอบได้เหรียญทองแดง โดยที่หนูไม่ได้เรียนพิเศษหรือเตรียมตัวอะไรมากสําหรับสอบ จึงเริ่มปั้นให้เป็นเด็กแข่ง และก็แข่งมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ค่ะ

แต่ว่าพอเริ่มเป็นเด็กแข่งแล้ว หนูก็ไปติว เพื่อให้มีความรู้เพิ่มเติม นอกจากที่โรงเรียนสอน

❓️Q: มาสอบเข้าเตรียมอุดมฯ โควตาโอลิมปิกวิชาการได้อย่างไร?
👩น้องปีใหม่: หนูก็รู้ข่าวจากพ่อแม่ค่ะ เพราะว่าหนูก็มีรุ่นพี่ และพ่อแม่ของรุ่นพี่เขาก็แนะนำมาว่ามีเข้าด้วยโอลิมปิกวิชาการ เนื่องจากเป็นกลุ่มเด็กแข่งเหมือน ๆ กัน ก็เลยได้รับคำแนะนำต่าง ๆ มาเยอะเลยค่ะ ทั้งเรื่องการสอบ การทำพอร์ต และขั้นตอนต่าง ๆ 

สําหรับขั้นตอนการสมัครก็คือจะต้องไปยื่นพอร์ตก่อนที่จะสอบรอบจริง แต่ว่าโควตาโอลิมปิกวิชาการ จะประกาศผลก่อนวันสอบธรรมดาประมาณ 3 วัน จะมีประกาศรายชื่อคนผ่านเข้าเกณฑ์ก่อน 

หลังยื่นพอร์ตเสร็จแล้วก็ต้องไปสัมภาษณ์ ซึ่งการสัมภาษณ์ ก็จะดูว่าสามารถพรีเซนต์พอร์ตอย่างไรบ้าง ได้ไปทํามาจริง ๆ หรือไม่?

❓️Q: แนะนำการเตรียมตัวสำหรับการยื่นพอร์ตหน่อย ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง?
👩น้องปีใหม่: ลองศึกษาจากพอร์ตของคนที่เคยยืนติดก็ได้ค่ะ สำหรับหนูก็แต่งพอร์ตให้มีความสวยงาม ใส่ผลงานของเรา เช่น เกียรติบัตร และเขียนคําอธิบายไว้ด้วย ส่วนตอนเข้าห้องสัมภาษณ์ ก็เล่าประสบการณ์ กิจกรรมที่เคยทำ หรือเล่าผลงานที่เคยได้รับรางวัล ตามที่เขียนไว้ในพอร์ตค่ะ

❓️Q: ขณะสัมภาษณ์กดดันมากไหม? แล้วเตรียมตัวเยอะไหม?
👩น้องปีใหม่: ค่อนข้างกดดันค่ะ แต่ว่าหนูก็ยิ้มสู้ เพราะว่าก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ส่วนเรื่องการเตรียมตัว หนูเตรียมตัวไม่เยอะค่ะ เพราะว่าเขาไม่ได้ถามคําถามเพื่อวัดอะไร แต่แค่ฟังเราพรีเซนต์ในสิ่งที่เราทำมาค่ะ

❓️Q: สอบติด 3 โรงเรียน (มหิดลวิทยานุสรณ์ กําเนิดวิทย์ เตรียมอุดมฯ) ทําไมถึงเลือกโรงเรียนเตรียมอุดม?
👩น้องปีใหม่: หนูเลือกเรียนเตรียมอุดม เพราะว่าเดินทางสะดวก อยู่ใกล้ที่พัก และเตรียมอุดมฯ น่าจะตอบโจทย์ที่สุด หนูฝันอยากเป็นแพทย์จุฬาฯ เมื่อเทียบแล้ว คนที่จบเตรียมอุดมฯ ส่วนใหญ่ไปเรียนแพทย์จุฬา ถ้าหนูอยู่เตรียมอุดมฯ ก็จะมีเพื่อนที่ช่วยเรียนแล้วก็ผลักดันให้เป็นแพทย์จุฬาฯ ไปด้วยกันค่ะ 

❓️Q: ด้วยความเป็นเด็กวิชาการ คิดว่าตัวเองเครียดไหม?
👩น้องปีใหม่: ความเครียดมันไม่ค่อยอยู่ในพจนานุกรมของหนูค่ะ เพราะว่าหนูปรับตัวมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้วที่ต้องเรียนเพิ่มจากที่เรียนในโรงเรียน และก็ปรับตัวมาเรื่อย ๆ จนไม่ได้รู้สึกว่ากดดันเพิ่มจากปกติค่ะ

หนูคิดว่าความเครียดไม่ได้ช่วยให้งานเราดีขึ้น เราต้องประเมินตัวเอง แล้วทําตามความสามารถเรามากกว่า

❓️Q: งานอดิเรกที่ชอบทำมีอะไรบ้าง?
👩น้องปีใหม่: หนูชอบดูอะนิเมะมากค่ะ นอกจากนี้จะเป็นการตัดต่อภาพวิดีโอ คอสเพลย์ และเล่นเกมค่ะ

❓️Q: คิดครอบครัวมีส่วนช่วยในเรื่องของการเรียนมากน้อยแค่ไหน?
👩น้องปีใหม่: ครอบครัวหนูสนับสนุนด้านการเรียน แต่ไม่เคยบังคับค่ะ ส่วนมากแม่จะหาข้อมูลแล้วให้หนูตัดสินใจเอง เช่น เรียนต่อที่โรงเรียนไหน บางครั้งก็คิดไม่ตรงกัน แต่แม่ก็ตามใจหนูค่ะ แม่บอกเสมอว่าชีวิตหนู หนูก็ต้องเลือกและตัดสินใจเอง ซึ่งก็ทําให้หนูพยายามแล้วก็ภาคภูมิใจมากขึ้น 

❓️Q: ช่วยเล่าที่มาของความฝันอยากเป็นแพทย์จุฬาหน่อย
👩น้องปีใหม่: ความฝันของหนูเริ่มมาจากว่าหนูเกิดมาจากฝีมือหมอค่ะ หนูก็เลยคิดว่าอาชีพหมอสูติฯ ที่ทํากิฟต์เพื่อให้คนมีลูก จะทําให้คนมีความสุข สมหวัง แม้ว่าพ่อแม่จะจบวิศวะ แต่ก็ไม่ได้กดดันให้หนูเรียนวิศวะค่ะ หนูอยากเป็นหมอ ครอบครัวก็ให้หนูตัดสินใจเอง ก็เลยตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นหมอที่แพทย์จุฬาฯ แล้วก็อาจจะไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศ

❓️Q: แนะนำเพื่อน ๆ ที่อยากสอบติดโควตาโอลิมปิกหน่อย ต้องทำอย่างไรบ้าง?
👩น้องปีใหม่: ควรเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ค่ะ ค่อย ๆ เก็บไปทีละน้อย ต้องมีวินัยค่อนข้างมาก จะได้ไม่ต้องมาเรียนอัดตอนช่วงใกล้สอบ 

❓️Q: ให้กำลังใจเพื่อน ๆ ที่กำลังท้อกับการเรียน การสอบหน่อย
👩น้องปีใหม่: ต้องดูเป็นขั้นตอน หากรู้สึกว่ายังทำไม่ได้ แต่เป้าหมายใกล้เข้ามาแล้ว ก็ต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่กดดันตัวเองนะคะ เพราะยิ่งกดดัน ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลง

❓️Q: กรณีอ่านหนังสือสอบไม่ทัน ช่วยแนะนำทริกอ่านหนังสือสอบให้เพื่อน ๆ หน่อย
👩น้องปีใหม่: ปกติหนูจะฝึกจากแนวข้อสอบเก่าค่ะ 
อาจจะไปหาหนังสือที่มีแนวข้อสอบเก่ามาอ่าน ฝึกทำข้อสอบเก่า ๆ ดูว่าเรื่องไหนออกบ่อย จึงไปอ่านเรื่องนั้น ๆ ค่ะ

❓️Q: หากคุยกับตัวเองในอีก 10 ข้างหน้าได้ อยากจะบอกหรือถามอะไรตัวเอง?
👩น้องปีใหม่: 10 ปีข้างหน้าหนูก็จะบอกว่าหนูจะสามารถเป็นอาชีพที่หนูต้องการได้ ซึ่งอาจจะถามว่าหนูมีความสุขกับการที่เป็นหมอจริง ๆ ใช่ไหม เพราะเป็นอาชีพที่หนูอยากเป็นมาตลอด อยากถามตัวเองว่าเรียนหมอแล้วมีความสุข ได้ลองดูอาจารย์ใหญ่ ได้เรียนชีววิทยาแบบที่ต้องการ มีความรู้สึกยังไงบ้าง อยู่สบายดีไหม ถามประมาณนี้ค่ะ

❓️Q: ยึดถือคติอะไรในการดำเนินชีวิต?
👩น้องปีใหม่: สำหรับหนู 'อะไรที่ผ่านไป แล้วอะไรที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันดีเสมอ' เพราะว่าการที่เราจมปลักกอยู่กับความผิดพลาดในอดีต มันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย แต่ว่าในทางกลับกัน ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว แล้วคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันเรามาถึงตอนนี้ เพราะว่าก่อนจะประสบความสําเร็จก็ต้องเคยผ่านความล้มเหลวมาก่อน ต้องเปลี่ยนมุมมองที่เราจะมองความผิดพลาดค่ะ

❓️Q: อยากขอบคุณใครบ้างที่ช่วยผลักดันเราจนมาถึงวันนี้?
👩น้องปีใหม่: หนูขอขอบคุณการสนับสนุนจากครอบครัวและโรงเรียนค่ะ เพราะที่โรงเรียนไม่ได้บังคับหรือรั้งให้หนูเรียนต่อที่เดิม แต่กลับส่งเสริมและให้กำลังใจหนูค่ะ และขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ช่วยกันติว แบ่งปันความรู้กันค่ะ

📌ติดตามชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่: https://youtu.be/XjJB5ruN6ow?si=p-zddn5KEBMcnGK4

ฝ่ายต่อต้าน รุกหนักถล่ม ฐานพัน.ร.275 ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด ส่งผลให้ ปชช.ชาวเมียนมา หนีตายเข้ามาฝั่งไทยแล้วกว่า 200 คน

(20 เม.ย.67) สถานการณ์บริเวณชายแดน ไทย-เมียนมา ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ทางกองกำลังชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสหภาพเมียนมา ได้ใช้ปืนเล็ก ปืนกล และ เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) โจมตี พัน.ร.275 ภาคทหารบกตะวันออกเฉียงใต้ (ภทบ.ตอ./ต.) และ พล.ร.เบา 44 ซึ่งกระจายกำลังอยู่บริเวณพื้นที่ สะพานมิตรภาพ ไทย - เมียนมา แห่งที่ 2 (ฝั่งเมียนมา) บ.เยปู่ (MU 449471) อ.เมียวดี จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยงสหภาพเมียนมา ด้านตรงข้าม บ.วังตะเคียนใต้ ม.7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 1.5 กม. อย่างหนัก 

โดยขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างการปะทะ กินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่ทราบผลการสูญเสีย โดยฝั่งไทย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 งดการผ่านเข้า-ออก

ทางหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ได้วางกำลัง ตามแผนเผชิญเหตุ และได้นำอาวุธยิงสนุนเข้าที่ตั้ง เพื่อปกป้องอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนตลอดตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา 

โดยล่าสุดเวลา 08.30 น. มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ที่บริเวณ พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ.วังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ได้หลบหนีข้ามมายังฝั่งไทย จำนวน 217 คน

AI พัฒนาขึ้นมาก แต่ยังด้อยด้าน ‘เหตุผล-สามัญสำนึก’ คาดอีก 3-5 ปี ข้างหน้า อาจเข้ามาแย่งงานคน ในงานวิจัยขั้นสูง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Business Tomorrow รายงานว่า Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) หน่วยงานศึกษาวิจัยด้าน AI ของมหาวิทยาลัย Stanford ออกรายงานประจำปีดัชนีด้าน AI ประจำปี 2024 โดยได้แบ่งการศึกษาออกเป็นดังต่อไปนี้

AI มีความสามารถเหนือมนุษย์ แต่ยังไม่ใช่ทุกอย่าง
ในการทดสอบ 9 หัวข้อ HAI พบว่า AI มีความสามารถที่เหนือกว่าค่ามาตรฐานของมนุษย์แล้วหลายอย่าง (บางอย่างแซงนานแล้ว) เช่น การจำแนกรูปภาพ, การอ่านจับใจความ, การให้เหตุผลจากรูปภาพ, การตีความภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามบางอย่าง AI ยังทำได้แย่กว่ามนุษย์ โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยบริบทที่ซับซ้อนประกอบ เช่น การให้เหตุผลตามสามัญสำนึก หรือคณิตศาสตร์แก้โจทย์ปัญหาระดับแข่งขัน

งานวิจัย AI เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
งานวิจัยด้าน AI มีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2020 งานวิจัยมีประมาณ 88,000 หัวข้อ ส่วนปี 2022 มีถึง 240,000 หัวข้อ ส่วนโมเดล Machine Learning ที่โดดเด่นนั้น ในปีที่ผ่านมามี 51 โมเดล ที่มาจากภาคเอกชน, 21 โมเดลจากความร่วมมือสถาบันการศึกษาและเอกชน และ 15 โมเดล ที่มาจากภาคการศึกษา ส่วนใหญ่โมเดลเหล่านี้มาจากสหรัฐอเมริกา ตามด้วยจีนในอันดับสอง

AI อาจแย่งงานมนุษย์ แต่ช่วยได้มากในฝั่งวิทยาศาสตร์ 
ผลสำรวจโดย Ipsos ต่อประชาชนทั่วโลกว่ามอง AI จะส่งผลกระทบอย่างไร พบว่าการตระหนักรู้ของผู้คนนั้นมีมากขึ้น 66% (เพิ่มจาก 60%) บอกว่า AI จะกระทบกับชีวิตพวกเขาภายใน 3-5 ปี, 52% กังวลในความสามารถของ AI ที่จะส่งผลกระทบเรื่องต่าง ๆ ถึงแม้ผู้คนจะกังวลกับ AI แต่วงการวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นสูงนั้นได้ประโยชน์จาก AI มาก ในปี 2023 มีงานวิจัยหลายอย่างที่ใช้ AI ช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็วมากขึ้น เช่น AlphaDev ที่สามารถเขียนอัลกอริทึม Sort ความเร็วสูงที่เกินกว่าคนทั่วไปเขียนได้, FlexiCubes กระบวนการขึ้นรูป 3D, GraphCast โมเดลพยากรณ์อากาศ, GNoME ที่ช่วยค้นพบวัสดุใหม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ได้ AI มาช่วยเร่งความเร็วในการประมวลผล

‘ธนกร’ ต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหมารวมยกเข่ง ‘ม.110-ม.112’ ย้ำ!! จะขอค้านให้ถึงที่สุด จะให้ผู้ใดมาละเมิด ‘สถาบันเบื้องสูง’ ไม่ได้

(20 เม.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย สรุปให้ชัดเจนเกี่ยวกับคำนิยามเรื่อง 'แรงจูงใจทางการเมือง' และความผิด 25 ฐานที่มีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมืองใดว่าเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรมบ้าง ตนขอให้พิจารณาไม่รวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวกับการประทุษร้ายหมิ่นประมาทฯสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท ขอให้กมธ.อนุกมธ.พิจารณาให้รอบคอบ เพราะความผิดทั้ง 2 มาตรา เป็นความผิดร้ายแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐซึ่งประมุขของประเทศ ซึ่งไม่สามารถยอมรับได้

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้แม้ว่าบางพรรคการเมืองได้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รวมความผิดเกี่ยวกับมาตราดังกล่าวให้ได้รับการนิรโทษกรรมต่อสภามาแล้วก็ตาม แต่ตนขอย้ำในหลักการกฎหมาย ว่าไม่เห็นด้วย อย่างยิ่งและขอคัดค้านจนถึงที่สุด เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้

“ขอเรียกร้องไปยัง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิจารณาตามหลักกฎหมายให้ดี ให้ถูกต้อง รอบคอบ เพื่อสรุปกำหนดนิยาม เรื่อง แรงจูงใจทางการเมือง ต้องไม่เหมารวมผู้กระทำความผิดร้ายแรงตามมาตรา110 และ112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม แต่หากกลับกันมีการเหมารวมยกเข่ง เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้คนทั้งประเทศที่รักเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นออกมาคัดค้านในเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอนรวมทั้งผมด้วย“นายธนกร ระบุ

โซเชียลรุมแซว ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ หน้าตาเหมือนผ้าอนามัย แท้ที่จริง ตั้งใจจะออกแบบให้เหมือน ‘ดอกเหมย’

(20 เม.ย.67) เป็นประเด็นที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ เมื่อโลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจกับการออกแบบของ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ ในประเทศจีน โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวจีนจำนวนมากมีความคิดเห็นว่า สถานีที่มีมูลค่ากว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์นี้ มีหน้าตาเหมือนกัน ‘ผ้าอนามัยยักษ์’

ตามรายงานเผยว่าการออกแบบ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ ได้แรงบันดาลใจมาจาก 'ดอกเหมย' หรือ 'ดอกบ๊วย' ซึ่งเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อในเมืองนี้

ทว่าชาวเน็ตจีนหลายคนอาจไม่เห็นด้วย และชี้ว่า สถานีแห่งนี้มีหน้าตาคล้ายกับ ‘ผ้าอนามัยยักษ์’ มากกว่า โดยมีชาวเน็ตจีนรายหนึ่งตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ว่า “นี่มันผ้าอนามัยขนาดยักษ์ชัด ๆ มันน่าอายนะที่จะบอกว่ามันดูเหมือนดอกบ๊วย”

โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัลทันที มีคอมเมนต์วิจารณ์มากมาย อาทิ

เห็นก็รู้เลยว่าผ้าอนามัย ทำไมสถาปนิกไม่สังเกต
ไม่ว่าผู้โดยสารจะเข้ามามากขนาดไหน ก็สามารถดูดซึมได้เต็มที่และแห้งได้ตลอดทั้งวัน
สไตล์นี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการรั่วซึมด้านข้างหรือไม่
ขณะที่คอมเมนต์บางส่วนเข้ามาปกป้องสถานี จนเกิดการถกสนั่น อาทิ

ทำไมผ้าอนามัยถึงมีความหมายไม่ดี ?
อย่าปากร้ายขนาดนั้น ถ้าแม่ของคุณไม่มีประจำเดือน เธอก็ไม่สามารถให้กำเนิดคุณได้ 

สำหรับ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ เป็นการลงทุนมหาศาลสำหรับเมืองที่มีประชากร 8.5 ล้านคน และจะกลายเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดของเมือง สถานีนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 14 ตารางไมล์ (37.6 ตารางกิโลเมตร) จะให้บริการผู้โดยสารประมาณ 36.5 ล้านคนต่อปี และคาดว่าสถานีรถไฟแห่งนี้จะมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านหยวนจีน (2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น การออกแบบเบื้องต้นได้รับไฟเขียวโดยรัฐบาลและกลุ่มการรถไฟแห่งรัฐจีน การก่อสร้างมีกำหนดจะเริ่มในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และคาดว่าสถานีแห่งนี้จะได้รับผู้โดยสารคนแรกภายในต้นปี 2571

‘Bitcoin Halving’ ครั้งที่ 4 เพื่อจำกัดปริมาณการขุดให้น้อยลง ส่งผลให้ราคาพุ่งสูง ตามปริมาณความต้องการถือเหรียญที่มากขึ้น

(20 เม.ย.67) Bitcoin Halving สำเร็จแล้ว! สิ้นสุด 4 ปีที่รอคอย กลไกดันราคาจาก ‘บิตคอยน์ฝืด’

Bitcoin Halving สำเร็จแล้ว! สิ้นสุด 4 ปีที่รอคอยในช่วงเช้ามืดวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ‘บิทคับ’เปิด 3 ปัจจัยดันราคาหลังรีวอร์ดการขุดลดลงเหลือแค่ 3.125 เหรียญบิตคอยน์ต่อ 1 บล็อก

นับเป็นการสิ้นสุดการรอคอยอีเวนต์ใหญ่ของนักลงทุนสายคริปโทเคอร์เรนซีทั่วโลก เมื่อสกุลเงินพี่ใหญ่สุดอย่างบิตคอยน์เกิดปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่จะเกิดขึ้นทุก 4 ปีอย่าง Bitcoin Halving เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในช่วงเช้ามืดวันที่ 20 เม.ย.2567

ทำความรู้จัก Bitcoin Halving

Bitcoin Halving เป็นการลดรางวัลบล็อก (Block reward) ของนักขุดให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งคือ จะลดรางวัลบล็อกบิตคอยน์ลงจาก 6.25 BTC เป็น 3.125 BTC โดยประมาณ เพื่อจำกัดปริมาณของบิตคอยน์ในทุกรอบ 4 ปี 

โดยการลดปริมาณรางวัลการขุดบิตคอยน์ให้น้อยลง สวนทางกับปริมาณความต้องการถือเหรียญบิตคอยน์มากขึ้น จึงส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์หลังปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ใน 3 ครั้งที่ผ่านมา เพิ่มสูงขึ้น 

ตามสถิติที่ผ่านมา หลังการเกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 1 ในช่วงปี 2012 ส่งผลให้บิตคอยน์สามารถทำราคาสูงสุด (ATH) ได้ที่ 1,042 ดอลลาร์ (Coinmarketcap) หรือ 37,657 บาท ต่อมาหลังการเกิด 

Bitcoin Halving ครั้งที่ 2 ในช่วงปี 2016 ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ทำ ATH ได้ถึง 17,500 ดอลลาร์ (Coinmarketcap) หรือ 632,450 บาท และหลังการเกิด 

Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 ในช่วงปี 2020 ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ทำ ATH ไปได้ถึง 68,789 ดอลลาร์ (Coinmarketcap) หรือ 2,486,034 บาท โดยในวันที่ 20 เมษายน 2567 นี้ จะนับเป็น Bitcoin Halving ครั้งที่ 4

3 ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อราคา Bitcoin ในช่วงปี 2567

1. การอนุมัติของ Spot Bitcoin ETF ในฝั่งสหรัฐฯ

เมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ได้เรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนคริปโตทั่วโลกเป็นอย่างมาก และส่งผลให้เกิดราคาสูงสุดครั้งใหม่ New Time High ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการอนุมัติของ Spot Bitcoin ETF ครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยบางส่วนกลับเข้ามาในตลาดและลงเล่นใหม่อีกครั้ง 

2. การอนุมัติ Spot Bitcoin ETF ครั้งแรกในทวีปเอเชีย และ Spot Ethereum ETF ครั้งแรกของโลก

โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) ได้อนุมัติผลิตภัณฑ์ของกองทุน spot Bitcoin และ Ethereum ETF เมื่อ 15 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา 

โดย Eric Balchunas นักวิเคราะห์จาก Boomblerg ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เป็นการแสดงถึงความคืบหน้าและก้าวสำคัญของฮ่องกง แต่เนื่องจากตลาดมีขนาดเล็กกว่ามาก จึงคาดการณ์ว่าคงจะยังไม่ได้รับเงินลงทุนไหลเข้ามหาศาลจนทำให้เกิดการขยับของราคาเมื่อเทียบเท่ากับที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

3. ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving

การลดลงของจำนวน BTC ในระบบให้มีจำนวนการเกิดขึ้นที่น้อยลงเรื่อย ๆ และยืดเวลาที่บิตคอยน์จะถูกค้นพบจนถึง 21 ล้านเหรียญให้ช้าลง จำนวนการไหลเวียนของบิตคอยน์จะเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้หายากขึ้นไปอีก 

จุดนี้เองที่จะช่วยสร้างความฝืดให้บิตคอยน์ และตาม Demand และ Supply แล้ว หากปริมาณเหลือน้อยลงแต่ความต้องการกลับมากขึ้น อาจจะทำให้เห็นของการขยับของราคาที่สูงขึ้นคล้ายกับที่เคยเกิดมาแล้ว 3 ครั้งตามสถิติที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ราคาของบิตคอยน์อาจจะยังไม่ได้ขยับขึ้นหลังจาก Halving ในทันที เนื่องจาก Halving เป็นการทำให้คุณสมบัติของบิตคอยน์มีความ “เกิดได้ยากขึ้น” ซึ่งไม่ได้หมายความว่า บิตคอยน์จะมีมูลค่าสูงขึ้นในทันทีทันใด และต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเศรษฐกิจของโลกด้วย

นักลงทุนทั่วโลกจึงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าหลัง Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 นี้จะส่งผลต่อราคาของบิตคอยน์อย่างไร

คำเตือน:
- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

‘ญี่ปุ่น’ ปลื้มแรงงานไทย เตรียมเพิ่มโควตานำเข้า พร้อมเปิดช่อง ให้เปลี่ยนนายจ้างได้ เมื่อทำงานครบ 1 ปี

(20 เม.ย.67) กระทรวงแรงงาน เดินหน้าขยายตลาดแรงงานไทย ไปทำงานในต่างประเทศ โดยได้ขอให้ทางการญี่ปุ่นส่งเสริมการจ้างแรงงานไทยในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานทักษะสูง แรงงานฝีมือ แรงงานทักษะเฉพาะ พร้อมยืนยันว่าไทยจะเข้มงวดให้แรงงานไทยเดินทางไปทำงานประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจะเตรียมความพร้อมให้มีทักษะด้านภาษาญี่ปุ่นสอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างด้วย

ฝ่ายญี่ปุ่น ชื่นชมแรงงานไทย โดยรับปากจะพิจารณาเพิ่มโควตาการนำเข้าแรงงานในภาคท่องเที่ยว อุตสาหกรรมก่อสร้าง งานบริบาล และ Osaka expo 2025 นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องจะนำระบบพัฒนาทักษะแรงงาน SDW มาแทนระบบผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค TITP เพื่อยกระดับแรงงานไทยให้เป็นแรงงานทักษะเฉพาะ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น พำนักและทำงานในญี่ปุ่นได้นานสูงสุด 5 ปี สามารถเปลี่ยนนายจ้างได้เมื่อครบ 1 ปี ช่วยให้แรงงานไทยสามารถเลือกทำงานกับนายจ้างที่มีสวัสดิการหรือรายได้มากกว่าได้

ปัจจุบัน ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่แรงงานไทยสนใจเดินทางไปทำงานมากที่สุด มีคนไทยฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคอยู่ 12,087 คน เป็นแรงงานทักษะเฉพาะ 2,875 คน

‘ส.อ.ท.’ นำเสนอแนวทางแก้ปัญหา ‘กากแคดเมียม’ ย้ำ!! ต้องได้มาตรฐานเพื่อ ‘การผลิต-การบริโภค’ ที่ยั่งยืน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ออกหนังสือข้อเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหา ‘กากแคดเมียม’ อย่างยั่งยืน และมีมาตรฐานที่ปลอดภัย โดยได้ระบุว่า ...

1.ผู้ก่อกำเนิดของเสีย (โรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม จังหวัดตาก) มีภาระความรับผิดตาม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมปี 2566 โดยได้มีการดำเนินงานดังนี้

ในกรณีนี้มีการขออนุญาตนำของเสียออกนอกโรงงานกับอุตสาหกรรมจังหวัดแล้ว มีการขนกากแคดเมียมจากโรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม จังหวัดตาก ซึ่งขุดขึ้นมาจากหลุมฝังกลบกากอันตราย (Hazardous waste) ของโรงงานต้นทางไปยังปลายทาง โรงงาน 106 ที่ได้รับอนุญาตหลอมหล่ออะลูมิเนียม ที่จังหวัดสมุทรสาคร (ผู้รับบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม (Waste Processor–WP) จำนวน 13,xxx ตัน

ซึ่งในกรณีที่ของเสียยังไม่ได้รับการบำบัดกำจัดแล้วเสร็จ ผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator–WG) จึงยังมีภาระความรับผิดตาม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมปี 2566

ตามรายงานอีไอเอของโรงงานถลุงสังกะสี จังหวัดตาก ได้ระบุว่าเป็นกากอุตสาหกรรมอันตรายให้ฝังกลบแบบถาวร

2.ผู้รับบำบัดจำกัด (โรงงานประเภท 106) และรับหลอมหล่ออะลูมิเนียม (โรงงานประเภท 60) จังหวัดสมุทรสาคร

2.1 กากของเสียต้องมีการจัดการตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรม และต้องทำ Mass Balance เพื่อป้องกันการสูญหายจากกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งกรณีนี้แสดงให้เห็นว่า การจัดทำ Mass Balance ควรจะต้องมีระบบรายงานที่ทันเหตุการณ์มากกว่าระบบ offline ดังเช่นในปัจจุบัน

2.2 ในทางกฎหมาย ร้านค้าของเก่าไม่สามารถรับของเสียอันตรายจาก โรงงาน 106 ได้ ในกรณีนี้เกิดจากการขาดความรู้เกี่ยวกับของเสียอันตรายที่ถูกต้อง และการกำกับดูแลร้านค้าของเก่าที่ไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการสื่อสารและให้ความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้น รวมถึงการกำกับดูแลที่ชัดเจนมากขึ้น

2.3 นักลงทุนต่างประเทศ นำกากของเสียฯ นี้ไปหลอมหรือส่งออกไปในช่องทางที่ไม่ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นโรงงาน กรณีนี้ จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายเรื่องนอกจากเรื่อง กากแคดเมียม ในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นปลายทางให้กับร้านค้าของเก่าในข้อ 2.2

2.4 ในมุมของ 'การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance: CG)' ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชนและภาครัฐทุกระดับตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ต้องตระหนักและยึดหลัก Corporate Governance: CG ในการปฏิบัติงานที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เป็นธรรม เพื่อสามารถติดตามเส้นทางและป้องกันการสูญหายระหว่างทาง และสามารถควบคุมผลกระทบที่อาจจะมีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้มีประสิทธิภาพขึ้น

3.มาตรการของ ส.อ.ท. เพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว

จากบทเรียนนี้ประเด็นสำคัญ คือ โรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม (Waste Generator–WG) มีภาระความรับผิดในระยะยาวตามกฎหมาย ดังนั้น จึงต้องเลือกผู้รับบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม (Waste Processor–WP) ที่น่าเชื่อถือและมีระบบการจัดการที่ได้มาตรฐาน

3.1 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ออกมาตรฐานและมอบตราสัญลักษณ์ Eco Factory for Waste Processor ซึ่งจะช่วยให้ผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมสามารถแยกแยะผู้ประกอบการโรงงานรับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลของเสียที่มีคุณภาพกับไม่มีคุณภาพออกจากกันได้ชัดเจนขึ้น

ปัจจุบันมีโรงงานรับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลของเสียได้รับการรับรองมาตรฐาน Eco Factory for Waste Processor แล้วทั้งสิ้น 16 แห่ง และอยู่ระหว่างการเตรียมขอการรับรองอีก 16 แห่ง

ภายในปี 2568 โรงงาน 101, 105 และ 106 ที่เป็นสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (จำนวน 76 แห่ง) และโรงงาน 101, 105 และ 106 ในนิคมอุตสาหกรรม จะเข้าสู่ระบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเกินกว่า 80% ของผู้ให้บริการบำบัดกำจัดและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมในตลาดปัจจุบัน จะทำให้โรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสียสามารถคัดเลือกโรงงานปลายทางที่เป็นผู้รับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น และช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้มาก

นอกจากนี้ ส.อ.ท. และ กนอ. ได้เชิญชวนบริษัทชั้นนำในประเทศไทย 4 องค์กร (SCGC, IRPC, PTTGC, TCMA) และสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้ ส.อ.ท. 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ร่วมประกาศเจตนารมณ์การสนับสนุนเลือกใช้บริการ Waste Processer ที่ได้รับรองมาตรฐาน Eco Factory for Waste Processor เพื่อให้สอดคล้องนโยบายการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain)

3.2 สนับสนุนการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ให้เป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อรวมศูนย์การพัฒนา สื่อสาร ส่งเสริมและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ

เนื่องจากอุตสาหกรรมประเภท 101, 105 และ 106 มีความอ่อนไหวต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน จึงจำเป็นต้องมีศูนย์กลาง การพัฒนา สื่อสาร การส่งเสริมและการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ

ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางในเรื่องนี้

ช่วยลดภาระการกำกับดูแลของภาครัฐลงได้อีกมาก ถ้าได้รับการส่งเสริมให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นศูนย์การจัดการในเรื่องสิ่งแวดล้อมคู่ขนานไปกับกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ

3.3 ผลักดันการนำแนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เกิดการหมุนเวียนใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่มีศักยภาพมาพัฒนาเป็นวัสดุหมุนเวียน (Circular Materials) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามคุณสมบัติของการสิ้นสุดความเป็นของเสีย (End of Waste) คือ (1) เป็นวัสดุที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานเฉพาะ (2) มีตลาดหรือความต้องการใช้ (3) เป็นไปตามกฎหมายหรือมาตรฐานที่มีคุณสมบัติทางเทคนิคตามข้อกำหนด และ (4) ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัยหรือสิ่งแวดล้อม โดยการต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อลดการนำกากของเสียไปฝังกลบ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top