‘ดร.กอบศักดิ์’ วิเคราะห์ท่าที ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ คาดรอบนี้ของจริง สหรัฐไม่ถอยเก็บภาษีตอบโต้แล้ว เดินหน้าขึ้นภาษี 1 ส.ค. นี้ ไทยโดน 36%
(10 ก.ค.68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก 'Kobsak Pootrakool' ระบุว่า ครั้งนี้ของจริง !!! รอบนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ คงจะไม่มีการถอยเรื่องการเก็บภาษี Tariffs ที่ประกาศออกมา โดยที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนที่จะมากดดันให้ประธานาธิบดีสหรัฐเปลี่ยนใจได้หายไปมาก
1.ตลาดทุน-รอบนี้ตลาดทุนแทบจะไม่มีอาการเข่าอ่อนเช่นเดียวกับช่วงต้นเมษายน Dow Jones, S&P500, Nasdaq, ตลาดพันธบัตรสหรัฐ, ค่าเงินสหรัฐ, VIX และราคาทองคำปรับน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่ตัวเลข Tariffs ที่ออกมาสำหรับประเทศส่วนใหญ่แทบจะไม่แตกต่างจากเมื่อ 2 เมษายนที่ผ่านมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดรับข่าวไปมากแล้ว และสำหรับจีน ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญนั้น สหรัฐคงได้รับบทเรียนไปมาก และมีสายตรงที่จะคุยกับทีมจีน
ทั้งนี้ การที่ดัชนีหุ้นสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเมษายนมาก หมายความว่า ประธานาธิบดีสหรัฐสามารถสบายใจเรื่องนี้ มีช่องให้ประกาศภาษีต่าง ๆ ที่ท่านต้องการ โดยไม่ต้องกังวลใจเช่นรอบที่แล้ว
2.ผู้ประกอบการสหรัฐ-การที่สหรัฐยอมถอย 90 วัน และยอมเก็บที่อัตรา 10% ได้ช่วยเปิดช่องในการหายใจให้กับภาคธุรกิจสหรัฐ จากเดิมทุกอย่างมากะทันหันมาก อัตราภาษีที่จะถูกเก็บก็สูงมาก ทำให้หลายธุรกิจปรับตัวไม่ทัน แต่ 90 วันที่ยอมชะลอไว้ได้เปิดช่องให้ทุกคนเร่งนำเข้า Raw Materials และสินค้าต่าง ๆ และหา Suppliers ใหม่ที่ไม่ใช่ผู้ผลิตจีน เพราะทุกคนรู้ว่าถ้ารอผลเจรจายังไงก็ไม่ได้ภาษีที่ดีกว่า 10% และจีนก็จะโดนภาษีสูงกว่าคนอื่น ๆ สั่งนำเข้าช่วง 90 วัน น่าจะได้ถูกที่สุดแล้ว
ทำให้ในปัจจุบันผู้ประกอบการสหรัฐน่าจะมีสต๊อกของวัตถุดิบและสินค้าพอที่จะไปถึงปลายปีนี้ หมายถึงว่าพออัตราของทุกประเทศประกาศออกมาหมดแล้ว ก็จะมีเวลา 5-6 เดือน ในการเลือก Suppliers ที่ถูกสุดสำหรับปี 2569 ความจำเป็นที่ต้องออกมากดดันประธานาธิบดีจากกลุ่มนี้จึงลดลงมาก
นอกจากนี้ การที่มีวัตถุดิบที่มีต้นทุนภาษีเพิ่มแค่ 10% ก็หมายความว่าแรงกดดันต่อเงินเฟ้อสหรัฐก็จะยังไม่มาก จนกระทั่งต้นปีหน้าไปแล้ว
3.ประชาชนสหรัฐ-การที่กฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ผ่านสภาเรียบร้อย ก็มีนัยยะสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อช่วงเมษายนประชาชนมีแต่ด้านลบ จากภาษีนำเข้าที่ขึ้นมาก่อน เพราะทำได้เร็ว แต่การช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี No tax on tips, No tax on overtime, No tax on Social Security benefits ตลอดจนความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่จัดไว้ใน OBBB (รวมถึงการช่วยเหลือ SMEs และธุรกิจสหรัฐ) เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาผ่านสภา
“แต่เมื่อกฎหมายนี้เรียบร้อยแล้ว สำหรับประชาชนสหรัฐก็จะมีสองด้าน ด้านหนึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มจากสินค้าที่แพงขึ้น อีกด้านกระเป๋าตังค์ที่มีเงินมากขึ้น ที่ทำให้ผลกระทบต่อประชาชนลดลง ความยอมรับ การรับได้ก็จะมากขึ้น แรงกดดันต่อท่านประธานาธิบดีในส่วนนี้ก็จะลดลง”
4.การเมืองสหรัฐ-นอกจากภาคประชาชนที่นิ่งขึ้น ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ Mr.Bessent ออกมาบอกว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้สหรัฐเก็บภาษีจากการนำเข้าแล้วประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งปี 2568 จะมีภาษีที่เก็บได้จากการนำเข้ามากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มาช่วยปิดช่องว่างของการขาดดุลการคลัง และใช้ในการลดภาษีให้กับคนสหรัฐ
“ยิ่งเห็นเงินมากเช่นนี้ ท่านประธานาธิบดีก็คงยากที่จะถอยในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ดีลต่าง ๆ ที่สหรัฐได้มา ที่เป็น 'Good Deals' ก็จะทำให้ความยอมรับก็จะมากขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดรวมกันแล้วนำไปสู่ข้อสรุปเดียว “ครั้งนี้ของจริง”?? 1 สิงหาคม จะเป็นจุดเริ่มต้นของอัตรา Tariffs ใหม่สำหรับทุกประเทศ โอกาสที่จะชะลอรอบนี้น้อยมาก !!!”
ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้าคงจะเห็นตัวเลขครบทุกประเทศ ที่จะมากำหนด New Trade Landscape หรือโครงสร้างการค้าโลกใหม่ ว่าใครมีแต้มต่อ ใครจะได้เปรียบ ใครจะแข่งขันได้ดี ใครจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ซึ่งมีนัยยะอย่างยิ่งต่อระบบการค้าโลก ภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรมไทย ไม่นับ Tariffs อื่น ๆ ที่จะออกมาเพิ่มเติมสำหรับ BRICS สำหรับบางอุตสาหกรรมสำคัญ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะทำคิดขึ้นมาได้ และทำต่อไป