Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

27 มิถุนายน พ.ศ. 2404 สยามส่งทูตฯ (แพ บุนนาค) พบ ‘นโปเลียนที่ 3’ ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศสถวาย ‘วัวกระทิง’ ชั้นเยี่ยม ตอบแทนมิตรไมตรี

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2404 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งคณะราชทูตนำโดยเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (แพ บุนนาค) เดินทางไปกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ถือเป็นภารกิจสำคัญที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศของสยามในยุคต้นรัตนโกสินทร์

ของขวัญพิเศษจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการครั้งนั้น คือเครื่องมงคลราชบรรณาการจำนวนมหาศาล ซึ่งมีบันทึกว่ารวมถึงพระบรมรูปและเครื่องราชูปโภคของใช้ส่วนพระองค์ ส่งผ่านเรือข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังยุโรป โดยมีการต้อนรับคณะทูตไทยอย่างอบอุ่นที่พระราชวังฟองเตนโบล ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861)

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ก็ได้ตอบแทนด้วยราชบรรณาการแด่พระเจ้ากรุงสยาม หนึ่งในของขวัญที่ถูกกล่าวถึงมากคือ “วัวกระทิง” พ่อพันธุ์ชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศส ซึ่งได้รับรางวัลจากงานเกษตรแห่งชาติในปีเดียวกัน คณะทูตไทยตั้งชื่อให้ว่า “ศาลาไทย” หวังนำกลับมาเพาะพันธุ์ในสยาม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างสองชาติ

สำหรับของขวัญประเภทสัตว์ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคนั้น เพราะก่อนหน้านี้ รัชกาลที่ 4 ก็เคยมีพระราชดำริถวาย “ช้าง” แด่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับในประวัติศาสตร์จีนที่เคยมีการส่ง “ยีราฟ” เป็นบรรณาการมาแล้วเมื่อกว่า 400 ปีก่อน โดยแม้จะไม่แน่ชัดว่าวัวกระทิงตัวดังกล่าวรอดข้ามซีกโลกมาถึงกรุงเทพฯ หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็บ่งบอกถึงความตั้งใจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แนบแน่นในยุคนั้น

‘พีระพันธุ์’ ชงครม. ใช้มาตรการทางภาษีจูงใจติดโซลาร์ ชี้ ติดตั้งในบ้านอยู่อาศัยใช้ลดหย่อนภาษีได้ 200,000 บาท

‘พีระพันธุ์’ ชง ครม. มีมติเห็นชอบใช้มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีหนุนพลังงานทดแทน จูงใจผู้ประกอบการและภาคครัวเรือนลงทุนลดภาระค่าไฟ ข่าวดี!! ติดตั้ง Solar rooftop มีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ถึง 200,000 บาท เตรียมนำร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้า ครม. เร็ว ๆ นี้

(24 มิ.ย.68)นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้นำข้อเสนอของกระทรวงพลังงานเรื่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นอีกแนวทางในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งของผู้บริโภคและของประเทศในภาพรวม โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. การส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี และ 2.การส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 200,000 บาท  นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังเตรียมนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เข้าสู่การประชุมของคณะรัฐมนตรีภายใน 1-2 สัปดาห์หน้าด้วย 

นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา อัตราค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง แต่กระทรวงพลังงานได้พยายามบริหารจัดการตรึงราคาค่าไฟมาตลอดเพื่อไม่ให้เป็นภาระเดือดร้อนแก่ประชาชน และจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วนหลายแนวทางเพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าด้านพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้าของประเทศ  ซึ่งจากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลพบว่า การใช้กลไกสิทธิประโยชน์ทางภาษีสนับสนุนจะสามารถช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน อีกทั้งจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNP) เพื่อผลิตไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว  และสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทยด้วย

“มาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษีนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน และของประเทศในภาพรวม อีกทั้งยังสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และสนับสนุนแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วขึ้น” นายพีระพันธุ์กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังเปิดเผยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ กระทรวงพลังงานจะนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผ่านการทำประชาพิจารณ์แล้ว เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป  

สำหรับการพัฒนาเครื่อง Inverter ของคนไทย ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงพลังงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์โซลาร์ราคาถูกสำหรับคนไทยนั้น ปัจจุบันเครื่องต้นแบบได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) แล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมการต่าง ๆ สู่ขั้นตอนการผลิตเพื่อนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนในราคาถูกเร็ว ๆ นี้

26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ย้อนรำลึกวันคล้ายวันเกิด ‘พระสุนทรโวหาร’ หรือ ‘สุนทรภู่’ ที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็น ‘กวีเอกโลก’ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เป็นวันคล้ายวันเกิดของ 'พระสุนทรโวหาร' หรือ 'สุนทรภู่' กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรมไทยไว้อย่างทรงคุณค่า เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 เริ่มต้นชีวิตการศึกษาที่วัดชีปะขาว (ปัจจุบันคือวัดศรีสุดาราม) ย่านบางกอกน้อย และเริ่มต้นชีวิตราชการในกรมพระคลังสวน ก่อนจะเข้าสู่กรมอาลักษณ์ในสมัยรัชกาลที่ 2

แม้มีความสามารถด้านงานราชการ แต่สุนทรภู่มีใจรักการแต่งกลอนเป็นพิเศษ ในสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ต้องโทษจำคุกจากเรื่องเมาสุรา ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงตัดสินใจบวช และหลังจากลาสิกขาได้ถวายตัวอยู่กับพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กระทั่งสิ้นที่พึ่ง จึงต้องเร่ร่อนและใช้ชีวิตอย่างยากลำบากด้วยการแต่งหนังสือขาย

ด้วยพรสวรรค์ด้านการประพันธ์ ในปี พ.ศ. 2394 สุนทรภู่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร มีบรรดาศักดิ์เป็น 'พระสุนทรโวหาร' ผลงานสำคัญของเขามีมากมาย อาทิ พระอภัยมณี, นิราศภูเขาทอง, นิราศพระบาท ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลและได้รับความนิยมอย่างยาวนาน

จากผลงานที่เป็นคุณูปการต่อวัฒนธรรมและภาษาไทย องค์การยูเนสโกจึงประกาศยกย่องให้สุนทรภู่เป็น 'บุคคลสำคัญของโลก' ด้านวรรณกรรม เมื่อปี พ.ศ. 2539 และในทุกวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ประเทศไทยยังถือเป็น 'วันสุนทรภู่' เพื่อรำลึกถึงกวีเอกผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้

ททท. จัด 'คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ' ยิ่งใหญ่ พร้อมโชว์ Grand Moment ภาคเหนือ 

ททท. จัดยิ่งใหญ่ 'คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ' นำขบวนผู้ประกอบการ-สื่อมวลชนจีน/ไทย เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวภาคเหนือทางรถยนต์ โชว์ศักยภาพท่องเที่ยวภาคเหนือผ่านตำนานและ Grand Moment เมืองหลัก - เมืองน่าเที่ยว 17 จังหวัด

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)นำโดยนายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ และ นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน จัดกิจกรรม “คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” ระหว่างวันที่ 10-26 มิถุนายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว ผ่านการท่องเที่ยวในรูปแบบการขับรถ (self-drive) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวจีน ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศจีน ไทย ลาว ในด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ สู่ชุมชนท้องถิ่นตลอดเส้นทางคาราวาน

ซึ่งในครั้งนี้ คณะคาราวานฯ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 150 คน พร้อมด้วยรถยนต์จำนวน 35 คัน โดยได้เริ่มต้นเดินทางในวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ตามเส้นทาง R3A เชื่อมโยงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (คุณหมิง-สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน),  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศไทยในพื้นที่ 17 จังหวัดภูมิภาคภาคเหนือ 

“คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” เป็นการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนสู่ประเทศไทยผ่านเส้นทางรถยนต์ เข้าสู่ภาคเหนือซึ่งนับว่าเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนอีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอมุมมองทางการท่องเที่ยวใหม่ที่จะเปิดประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวที่น่าจดจำและแตกต่างออกไปจากเดิม 

โดยกิจกรรมคาราวานดังกล่าวได้นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ภายใต้แนวคิด “เที่ยวตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว (story telling) อันน่าประทับใจ ได้แก่ ตำนานพระแก้วมรกต ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย ตำนานไทลื้อ ณ วัดแสนเมืองมา จังหวัดพะเยา ตำนานกระซิบรักปู่ม่าน ย่าม่าน ณ วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน ตำนานบ้านเก่า เมืองแพร่ ณ วัดจอมสวรรค์และคุ้มวงศ์บุรี จังหวัดแพร่ 

ตำนานเมืองลับแล ณ ซุ้มประตูเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำนานพระอจนะพูดได้ ณ วัดศรีชุม อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ตำนานเมืองสองแคว ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก ตำนานเมืองชาละวัน  ณ บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ตำนานเมืองโบราณศรีเทพ ณ โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตำนานปากน้ำโพ ณ พาสาน - อาคารสัญลักษณ์ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ ตำนานแม่น้ำสะแกกรัง ล่องเรือชมชุมชนชาวแพสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ตำนานชั่วฟ้าดินสลาย ณ วัดพระบรมธาตุนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร 

ตำนานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ วัดสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วัดดอยข่อยเขาแก้ว) จังหวัดตาก ตำนานเขลางค์นคร ณ วัดไชยมงคล (วัดจองคา) จังหวัดลำปาง ตำนานพระนางจามเทวี ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน ตำนานสมเด็จพระสุพรรณกัลยา ณ วัดน้ำฮู จังหวัดแม่ฮ่องสอน และตำนานเจ้าดารารัศมี ณ วัดป่าดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่ 

นอกจากนี้ ภายในเส้นทางดังกล่าว ภูมิภาคภาคเหนือ ยังได้นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวตามเส้นทาง Grand Moment ที่มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำและมีความหมายสำหรับนักท่องเที่ยว พร้อมกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น Grand Experience กับการขับรถชมทิวทัศน์อันตระการตาบนเส้นทางคดเคี้ยวของภาคเหนือ และดื่มด่ำกับบรรยากาศล้านนา Grand Destination กับการเยือนแหล่งมรดกโลก สัมผัสความงดงามของวัดวาอาราม รวมทั้งสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน และ Grand Delight กับการลิ้มลองอาหารพื้นเมืองหลากหลายเมนูจากแต่ละท้องถิ่น การเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านอันประณีตเป็นของฝาก และการได้สัมผัสไมตรีจิตอันอบอุ่นของผู้คนในภาคเหนือ โดยแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ ในเส้นทาง Grand Moment ที่นำเสนอ

ในกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย กว๊านพะเยา วัดนันตาราม จังหวัดพะเยา ถนนสายหม้อห้อม จังหวัดแพร่ อนุสาวรีย์ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี วัดอาวาสใหญ่ วัดพระสี่อิริยาบถ วัดช้างรอบ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร วัดพระธาตุลำปางหลวง และกิจกรรมนั่งรถม้าชมเมือง จังหวัดลำปาง สะพานประวัติศาสตร์ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ฯลฯ

นักวิเคราะห์อิสราเอลชี้สงครามกับอิหร่าน เปลี่ยนมุมมองชาวเทลอาวีฟ

(25 มิ.ย. 68) ผู้ใช้บัญชี X (เดิมคือ Twitter) นามว่า Sanna865 โพสต์ข้อความโดยอ้างถึงนักวิเคราะห์การเมืองชาวอิสราเอล ทิรา โคเฮน (Tira Cohen) ออกมาพูดว่า : “The war with Iran taught Tel Aviv settlers the meaning of what Gaza envelope settlers had been ...”

แปลได้ว่า: “สงครามกับอิหร่านครั้งนี้ ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานในเทลอาวีฟเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้ตั้งถิ่นฐานในฉนวนกาซา ที่เคยประสบมาก่อน…”

สุดท้ายผู้ใช้บัญชี X ชื่อ Sanna865 ซึ่งระบุเพิ่มเติมว่า “And they didn't even experience half of it” หรือ “และพวกเขายังไม่ได้เผชิญแม้แต่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่กาซาเคยประสบ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของระดับความรุนแรงที่ชาวกาซาต้องอดทนมาตลอดหลายปี

หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ แฉเอง!! บึ้มอิหร่านล้มเหลว โครงการนิวเคลียร์ยังไม่ถูกทำลาย แผนยังเดินต่อได้

(25 มิ.ย. 68) รายงานจาก CNN โดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ที่มุ่งเป้าไปยัง 3 ฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่สามารถทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ทั้งหมด แต่เพียงแค่ทำให้แผนงานของอิหร่านล่าช้าออกไปไม่กี่เดือนเท่านั้น จากการประเมินเบื้องต้นของหน่วยข่าวกรองกองทัพสหรัฐฯ (DIA)

แหล่งข่าวระบุว่า อุปกรณ์หมุนเหวี่ยงยูเรเนียม (centrifuges) ‘แทบไม่ได้รับความเสียหาย’ และยูเรเนียมเสริมสมรรถนะระดับสูงที่อิหร่านครอบครองอยู่ ถูกเคลื่อนย้ายออกก่อนการโจมตี ทำให้เป้าหมายหลักไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะที่โรงงาน ฟอร์โดว์ (Fordow), นาทานซ์ (Natanz) และ อิสฟาฮาน (Isfahan) ซึ่งโครงสร้างใต้ดินยังอยู่รอดเป็นส่วนใหญ่

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีกลาโหมจะยืนยันว่าการโจมตีครั้งนี้ ได้ทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านทั้งหมดแล้ว แต่รายงานจากหน่วยข่าวกรองกลับให้ข้อมูลไม่ตรงกัน โดยนักวิเคราะห์ด้านอาวุธจาก Middlebury Institute ชี้ว่า สหรัฐฯ และอิสราเอลยังไม่สามารถทำลายโครงสร้างใต้ดินลึกที่สำคัญของอิหร่านได้ทั้งหมด

ล่าสุด ทำเนียบขาวยอมรับว่ามีรายงานการประเมินผลการโจมตีจริง แต่ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาในรายงาน พร้อมระบุว่าคนที่นำข้อมูลมาเปิดเผยเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ไม่น่าเชื่อถือ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังยืนยันผ่าน Truth Social ว่า “ภารกิจนี้เป็นหนึ่งในความสำเร็จทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” 

อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาจากทั้งสองพรรควิจารณ์ว่าเขา (ทรัมป์) “พูดเกินจริง” เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการโจมตีจะสามารถหยุดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้จริง

'ดร.เอ้' ฝากการบ้าน ว่าที่ รมว.ศึกษาฯ- รมว.อุดมศึกษาฯ เน้น ‘คณิต- วิทย์- ภาษาอังกฤษ’ สร้างคนตอบโจทย์ศก. โลก

เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย. 68) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ นักวิชาการ อดีตนายกสภาวิศวกร อดีตอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า…

'จดหมายเปิดผนึก' ถึง ว่าที่ 'รมว.ศึกษาธิการ' และ ว่าที่ 'รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม'

สถานการณ์การเมืองไทย ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจุดเปลี่ยนหลายประการ รวมทั้งการปรับครม. ซึ่งรวมถึง กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ 

ประเทศไทยใช้ 'รัฐมนตรีศึกษาฯ' เปลืองที่สุด เพราะ 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้รัฐมนตรีศึกษาฯ ไปเกือบ 20 คน พิสูจน์ 'ความไม่ใส่ใจ' และ 'ไม่ให้ความสำคัญ' กับการศึกษาไทย

ผมจึงขอแสดงความห่วงใย 3 ประการ ส่งไปถึง "ว่าที่รมว.ศึกษาธิการ" และ "ว่าที่รมว.อุดมศึกษาฯ" 

1. ทิศทางใหม่ "กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงเศรษฐกิจ"
ไทยกำลังเจอ 'วิกฤต' ทาง 'เศรษฐกิจ' ที่แข่งขันกันด้วยการผลิต และการบริการทางเทคโนโลยี 'มูลค่าสูง' หากไทยไม่ปรับตัว ไม่เรียนรู้ เราคงต้องรั้งท้ายแถวของเอเชีย

เพราะ โลกวันนี้ เน้นการสร้าง 'ทรัพยากรมนุษย์' ที่มีทักษะสูง เพื่อขับเคลื่อน 'อุตสาหกรรมใหม่' สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจเพิ่ม

ดังนั้น “การศึกษา คือ เศรษฐกิจ" ไม่ใช่แค่เพียง 'สวัสดิการสังคม' ประเทศใดให้การศึกษาที่ดี ประเทศนั้นย่อมมีพลเมืองเก่ง มี 'คุณภาพ' สร้างรายได้สูง คุณภาพชีวิตดี

ผู้นำกระทรวงศึกษาฯ และผู้นำกระทรวงอุดมศึกษาฯ  ต้อง 'ทำงานร่วมกัน' อย่างมี 'เป้าหมายเดียวกัน' คือ การสร้างคนไทยคุณภาพ ทันโลก แข่งขันได้ และมีความสุข

กระทรวงต้องสร้างความร่วมมือ 'รัฐและเอกชน' ในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ 'ปรับหลักสูตร' ทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เพื่อตอบโจทย์ "เศรษฐกิจโลก" 

ทั้งต้อง 'จริงจัง' กับปัญหาความอ่อนแอ ด้าน "คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ" ของเด็กไทย เพื่อ 'ก้าวใหม่' ให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ที่วันนี้เข้าสู่ยุค AI ก่อนจะสายเกินไป กลายเป็น 'ผู้แพ้' ไม่ก้าวสู่ 'ประเทศพัฒนาแล้ว' เสียที

2. คิดใหม่ "การศึกษา คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต" 
"สังคมสูงวัย คือ เรื่องจริง" วิกฤตจริง เพราะคนวัยทำงานลดลง แต่มีภาระการดูแลสังคมมากขึ้น  หนทางแก้ไข คือ การยืดอายุวัยทำงาน ให้นานขึ้น เพราะ "ผู้สูงวัยยังมีคุณค่า" ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ทุกประเทศพัฒนาแล้ว เน้นการ 'เพิ่มทักษะใหม่' ให้แก่พลเมืองทุกวัย ยิ่งวันนี้ 'เด็กเกิดน้อย' โรงเรียนว่าง มหาวิทยาลัยว่าง เพราะจากข้อมูลปีนี้มีเด็กเกิดเพียงไม่ถึงห้าแสนคน หายไปกว่าครึ่งจากรุ่นพ่อแม่ ทั้งสถิติการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงที่ผ่านมา มีที่นั่งมากกว่าคนสมัครเข้าเรียน ทำให้กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ใช้ทรัพยากร 'ไม่คุ้มค่า'

ดังนั้น โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ต้องปรับบทบาทจากการเรียนการสอนให้แก่เด็ก สู่การเรียนการสอน 'ผู้ใหญ่' ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้คนวัยทำงาน และผู้สูงวัย ได้เข้ามาเรียน 'ทักษะใหม่' เพื่อทำงานได้ 

ทั้งการจ้างงาน 'ผู้สูงวัย' คือ เรื่องจำเป็น จะช่วยแก้ปัญหา 'สุขภาพ' จนถึงแก้ปัญหา 'รายได้' เพราะหากแข็งแรงขึ้น พึ่งพาตนเองได้ ก็ลดภาระของรัฐ

3. ความจริง "ครู คือ ศูนย์กลางของห้องเรียน" 
เพราะ ครู คือ ผู้นำ ครูดี เด็กก็ดี ครูมีความสุข เด็กก็มีความสุข ผมในฐานะ 'ลูกครู' และ 'ป็นครู' จึงเข้าใจ รู้ซึ้งว่า ชีวิตครูไทยนั้นไม่ง่าย 

สังคม 'คาดหวัง' กับครูได้ แต่ก็ต้อง 'สนับสนุนครู' อย่างเต็มที่ ด้วยเช่นกัน 

กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ มีหน้าที่ 'สนับสนุนครู อาจารย์' เพราะครูแต่ละระดับ ต้องดูแลเด็ก แตกต่างกัน 'ครูอนุบาล' เป็นเหมือนพ่อแม่ 'ครูประถม' ปลูกฝังพื้นฐาน 'ครูมัธยม' เตรียมเด็กสู่วิชาชีพ 'ครูอาชีวะ' สร้างทักษะอาชีพ 'ครูมหาวิทยาลัย' สร้างวิชาชีพขั้นสูง และวิจัยพัฒนา

ผู้นำกระทรวง จึงต้องเข้าใจครู ถึงจะสามารถผลักดันนโยบาย สู่การเปลี่ยนแปลงได้

ทั้งเรื่องปัญหา 'ภาระงานล้นครู' กลายเป็นครูต้องทำงาน 'โครงการ' ตามนโยบายใหม่ ของรัฐมนตรีใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนแทบทุกปี มากกว่า 'การสอนหนังสือ' และ 'การพัฒนาตนเอง'

แม้ว่า "การประเมินการเรียนการสอน" คือ สิ่งจำเป็น แต่ต้องประเมิน "สมรรถนะ" เน้นคุณภาพ มากกว่าปริมาณ คืนเวลาครูให้กับนักเรียน และคืนเวลาครูให้กับการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ ท่านว่าที่รัฐมนตรีศึกษาฯ และท่านว่าที่รัฐมนตรีอุดมศึกษาฯ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อ "ส่วนรวม" และขอให้ท่านตระหนักว่า ท่านกำลังทำหน้าที่เพื่อ 'ความอยู่รอด' ของลูกหลานไทย และชี้นำ 'อนาคตไทย' 

ทหารพรานไทยดูแลนักเรียนกัมพูชาข้ามแดน แม้ชายแดนตึงเครียด แต่ขอยึดหลักมนุษยธรรม

(25 มิ.ย. 68) แม้จะมีการยกระดับมาตรการควบคุมการเข้า-ออกประเทศบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสระแก้วที่อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังบูรพา แต่เจ้าหน้าที่ทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักเรียนชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนมาเรียนในฝั่งไทยทุกเช้าอย่างต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ไทยยืนยันว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือสถานะของผู้เดินทาง ถือเป็นการให้ความสำคัญกับสิทธิด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของเด็กๆ มากกว่าประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่เปราะบางนี้

ขณะที่เช้าวันนี้ (25 มิ.ย.) บริเวณด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์เกิดความวุ่นวายเมื่อมีชาวกัมพูชามากกว่า 500 คนตกค้างอยู่ในฝั่งไทย หลังเข้าใจผิดว่าด่านจะเปิดให้ข้ามแดนตามปกติ หนึ่งในแรงงานชาวกัมพูชาที่เดินทางมาจากจังหวัดลพบุรีเผยว่า แม้จะรู้ข่าวเรื่องการปิดด่าน แต่ก็ยังมาลุ้นหวังกลับบ้านเพราะเป็นห่วงลูกที่อยู่ฝั่งกัมพูชา

แม้ฝ่ายไทยจะยังเข้มงวดเรื่องการข้ามแดน แต่ก็ยังคงยึดหลักสิทธิมนุษยธรรม โดยมีการเจรจากับทางการกัมพูชาเพื่อขอเปิดช่องทางให้แรงงานที่ตกค้างสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงท่าทีที่ประนีประนอม และคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเหนือความขัดแย้งทางการเมือง

ตัวแทนทรัมป์เดือด! ข่าวบึ้มฐานนิวเคลียร์อิหร่าน รั่วไหลถึงสื่อ..ซัดแรง ‘คนทรยศชาติ’ ต้องสอบสวนด่วน

(25 มิ.ย. 68) สตีฟ วิทคอฟฟ์ (Steven Charles Witkoff) ทูตพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังรายงานข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับผลการโจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านรั่วไหลสู่สื่อ โดยระบุว่า ‘เป็นการทรยศชาติ’ และต้องมีการสอบสวนหาผู้กระทำผิดมารับโทษ

วิทคอฟฟ์ กล่าวในรายการของ Fox News ว่า ตนได้อ่านรายงานการประเมินความเสียหายทั้งหมดแล้ว และยืนยันว่า ‘ไม่มีข้อสงสัยเลย’ ว่าทั้ง 3 ฐานนิวเคลียร์ที่ถูกโจมตีถูกทำลายสิ้นแล้ว โดยเฉพาะฐาน ฟอร์โดว์ (Fordow) ที่เขาย้ำว่า ‘ระเบิดทะลวงเข้าถึงเป้าหมายแน่นอน’ ด้านทรัมป์ยังได้แชร์คลิปคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวบน Truth Social พร้อมย้ำว่า ‘การรายงานข่าวที่บอกว่าเราไม่สำเร็จนั้น ไร้สาระสิ้นดี’

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวกรองของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กลับให้ภาพที่ต่างออกไป โดยระบุว่าการโจมตีด้วยระเบิดทะลวงดิน 12 ลูก แม้สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นดินและทางเข้าโรงงาน แต่โครงสร้างใต้ดินที่สำคัญ รวมถึงเครื่องหมุนเหวี่ยงยูเรเนียม (centrifuges) ส่วนใหญ่ยัง ‘อยู่ครบ’ และการโจมตีอาจเพียงแค่ทำให้แผนของอิหร่านล่าช้าไปไม่กี่เดือนเท่านั้น

รายงานยังเปิดเผยอีกว่า อิหร่านได้เคลื่อนย้ายยูเรเนียมบางส่วนออกจากโรงงานก่อนการโจมตี โดยที่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าโครงการจะฟื้นกลับมาได้เร็วเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขุดเจาะและซ่อมแซมความเสียหาย

ด้านสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต แบรด เชอร์แมน แสดงความกังวลว่า คำประกาศชัยชนะของรัฐบาลทรัมป์อาจใช้ถ้อยคำคลุมเครือเกินไป พร้อมระบุว่าอิหร่านยังมีปริมาณยูเรเนียมที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ถึง 9 ลูก และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสหรัฐฯ ได้ทำลายเครื่องหมุนเหวี่ยงที่จำเป็นต่อการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเหล่านั้นแล้วจริงหรือไม่

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 5 แสนบาท ขยายโอกาส สร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างเท่าเทียม แก่ชาวขอนแก่นต่อเนื่อง

มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และมอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี 

วานนี้ (24 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ  นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง โดยมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ จำนวน 20 ราย  คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 397,610 บาท 

เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครออกหน่วยให้บริการประชาชนในพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ จำนวน 2 ชุด (4 ชิ้น) ในโครงการ “สนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์” ให้แก่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา เพื่อใช้ในหลักสูตรฝึกอบรมทักษะอาชีพดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้ง มอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการ จำนวน 10 ราย และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวม 20 คัน 

เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวขอนแก่นในครั้งนี้ทั้งสิ้น 596,362 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันสามร้อยหกสิบสองบาทถ้วน) 

โดยมี ผศ.ดร.พนธ์พันธ์ เลิศจันทรางกูร ที่ปรึกษาอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พร้อมด้วย นายสงวน สุธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 5  นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ และอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี  สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก ในการคัดกรองผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม เสริมทักษะอาชีพ 

โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top