Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

'ประเสริฐ' ผลักดันโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลคนไทย ลงระดับอำเภอ มุ่งสร้างไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยมีนางปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดีอี และนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมประชุม  

นายประเสริฐกล่าวถึงวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ว่า คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการ 'ส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับกำลังคนดิจิทัลระดับอำเภอ' โดยมุ่งเน้นให้บุคลากรและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามารถถ่ายทอดข้อมูลนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ๆ และให้ความช่วยเหลือด้านดิจิทัลแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

โครงการนี้ยังสนับสนุนการสร้างกลไกพัฒนาจังหวัดดิจิทัล (Digital Province) พร้อมยกระดับทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ

'Digital GDP' ขยายตัว ร้อยละ 5.7 - 'การส่งออกดิจิทัล' ขยายตัวร้อยละ 17.2 'รองนายกฯ ประเสริฐ' ชี้ผลสำเร็จรัฐบาลให้ความสำคัญ ยกระดับดิจิทัลไทย เผยปี 2567 เศรษฐกิจดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

(13 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวระหว่างร่วมเวทีสัมมนาเพื่อเผยแพร่การดำเนินโครงการ 'Thailand Digital Economy 2024' ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 นั้นได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดย Broad Digital GDP (ราคาที่แท้จริง หรือ CVM) ประมาณการว่าขยายตัว 5.7 คิดเป็น  2.2 เท่า ของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 (สศช. ประมาณการ) ในด้านการค้าต่างประเทศ คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล (ราคาที่แท้จริง หรือ CVM) จะขยายตัวร้อยละ 17.2 คิดเป็น 2.8 เท่า ของการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 (สศช. ประมาณการ) 

"รัฐบาลก่อนหน้าและรัฐบาลนายกแพทองธาร รวมทั้งผมเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านดิจิทัล รวมทั้งเร่งผลักดันภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ได้มีการส่งเสริมการลงทุนเรื่อง cloud services และ data centers ตลอดจนการลงทุนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล เชื่อว่าส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างดี ในปี 2567 สูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวม กว่า 2 เท่าตัว" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

ด้านนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการดีอี ได้สรุปประมาณการเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ ในปี 2567 ดังนี้

1. เศรษฐกิจโดยรวม นั้น Broad Digital GDP (CVM) มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลแบบกว้าง มีมูลค่า 4.44 ล้านล้านบาท มีการขยายตัว ร้อยละ 5.7 จากปี 2566 และคิดเป็นการขยายตัว 2.2 เท่า ของการขยายตัวของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการ) แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต

2. ด้านการลงทุน โดยการลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน (CVM) มีการขยายตัวร้อยละ 2.8 จากปี 2566 ในขณะที่การลงทุนด้านดิจิทัลภาครัฐขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 จากปี 2566 ปัจจัยสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ที่ขยายตัวจากฐานที่ติดลบในปีก่อนหน้า

3. ด้านการบริโภคนั้นการบริโภคภาคเอกชนในอุตสาหกรรมดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.6 สูงกว่าการขยายตัวของการบริโภคของประเทศที่เท่ากับร้อยละ 4.8 สำหรับการบริโภคภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.4 จากการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สินค้าดิจิทัลเป็นสินค้าที่มีความต้องานบริโภคในระดับสูงทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน

4. ภาคการค้าและบริการในปี 2567 มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการอุตสาหกรรมดิจิทัล ขยายตัวร้อยละ 17.2 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 5.1 สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 6.1 จากเดิมที่ขยายตัว ร้อยละ 2.1 ในปีที่ผ่านมา ในด้านการนำเข้าสินค้าและบริการดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 9.0 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการนำเข้าสินค้าและบริการของประเทศอุตสาหกรรมดิจิทัล จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการสร้างเม็ดเงินจากเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยยังคงพึ่งพาสินค้าดิจิทัลทั้งที่เป็นสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นสุดท้าย ตลอดจนสื่อดิจิทัลคอนเทนต์จากต่างประเทศ จึงทำให้เมื่อการส่งออกสินค้าขยายตัวจะมีผลทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

5. ภาคการผลิต ซึ่งในปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.71 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.75 ตามการขยายตัวของการผลิตในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัวสูงสุด 2 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (+12.64%) และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (+10.00%) ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์ที่มาของการเติบโต (Source of growth) พบว่า เกือบร้อยละ 80 ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (+1.90%) อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล (+1.36%) และอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ (+1.27%) ตามลำดับ 

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมหมวดโทรคมนาคมมีผลต่อการเติบโตโดยรวมสูงเกือบ 1 ใน 3 ของการขยายตัวทั้งหมด โดยกิจกรรมการผลิตที่ขยายตัวสูงในปีนี้ ได้แก่ การผลิตเคเบิลเส้นใยนำแสง การขายส่งและการขายปลีกโทรศัพท์ และอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม โดยการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัล (ราคาที่แท้จริง) และที่มาของการเติบโต

นายเวทางค์ กล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2567 ขยายตัวได้ดี และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการลงทุนและการบริโภคภาครัฐด้านดิจิทัล รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล เป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ในขณะที่การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชนยังไม่ขยายตัว และเชื่อว่าในปี 2568 และ 2569 การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญอย่างแน่นอน

17 ธันวาคม 2498 วันสวรรคตของ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หรือพระนามเดิม พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 60 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติจากสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2405 ณ พระบรมมหาราชวัง

ในพระเยาว์วัย ทรงศึกษาตามประเพณีราชสำนัก เรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และมีความสนพระทัยในวรรณคดี นิทาน สุภาษิต รวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์ ทรงฝึกฝนและเชี่ยวชาญในงานศิลปหัตถกรรมไทย เช่น การทำดอกไม้ใบตองและการปักถักกรอง ทรงเผยแพร่ผลงานศิลปกรรมเหล่านี้ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 10 พระองค์ ซึ่งประกอบด้วยพระราชโอรส 4 พระองค์ และพระราชธิดา 4 พระองค์ รวมทั้งพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระนามเดิม) ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2498 ณ พระตำหนักใหญ่ วังงสระปทุม สิริพระชนมายุ 93 พรรษา ทรงเจริญพระชนม์ชีพในยุคที่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากสังคมดั้งเดิมสู่สมัยใหม่ ในฐานะขัตติยราชนารี ทรงรักษาขนบประเพณีและทรงนำสิ่งดีงามจากอดีตมาผสมผสานกับสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ เป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 150 ปีวันคล้ายวันพระราชสมภพ ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์สุขภาพและการอนุรักษ์พัฒนาด้านวัฒนธรรม พร้อมกับบุคคลและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกอีก 97 รายการ

สปสช. ติดหนี้รพ.มงกุฎวัฒนะ กว่า 50 ล้าน ทำคนไข้บัตรทองต้องควักจ่ายเอง

(13 ธ.ค.67) นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่า ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.67 เป็นต้นไป โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจะไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองตั้งแต่วันเสาร์ที่ 14 ธ.ค. 67 นี้ เวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป โดยผู้ป่วยบัตรทองทุกรายจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาเอง

นพ.เหรียญทอง ระบุว่า โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จะหยุดให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยกรณี OP-REFER จากทุกคลินิกที่ส่งต่อมา ไม่ว่าจะมีใบส่งตัวหรือไม่มีใบส่งตัว เนื่องจากปัญหาหนี้ค้างชำระจาก สปสช. ที่ไม่สามารถจ่ายหนี้กว่า 44 ล้านบาท ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจุบันค้างจ่ายหนี้ประมาณ 50 ล้านบาท 

ทั้งนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้หากไม่มีการชำระหนี้จาก สปสช. โดยผู้ป่วยบัตรทองจากคลินิกต่าง ๆ ต้องจ่ายค่าบริการเองจนกว่าจะมีการเคลียร์หนี้ทั้งหมดจากสปสช.

แต่ยกเว้นกรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคไตวายเรื้อรัง และโรคเอดส์ ซึ่งทางรพ.ยังคงให้บริการตรวจรับการรักษาต่อไป เนื่องจากเป็นกรณีโรคร้ายแรง

"ขอรายงานว่า สปสช. ยังคงล่าช้าในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลค้างจ่ายที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ แม้ว่าจะมีการสำรองเงินทดรองจ่ายล่วงหน้า (Pre-paid) จำนวน 60 ล้านบาทแล้วก็ตาม แต่หนี้ค้างจ่ายและค่ารักษาพยาบาลยังสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยไม่ได้รับการจ่ายตามกำหนดที่คณะทำงาน สปสช. ตกลงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะเมื่อพฤศจิกายน 2567

สปสช. ยังมีการเบี้ยวหนี้และลดอัตราการจ่ายค่าแพทย์ ซึ่งทำให้การจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่เป็นไปตามกำหนด แม้ว่าค่ารักษาพยาบาลในแต่ละเดือนจะสูงกว่ามากกว่า 60 ล้านบาท ขณะที่เงินทดรองจ่ายล่วงหน้ากลับไม่พอที่จะครอบคลุม

การจ่ายเงินล่าช้ายังคงเป็นปัญหาตั้งแต่มีนาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน และยังไม่สามารถปฏิบัติตามมติของบอร์ด สปสช. ที่ตกลงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะได้ รพ.มงกุฎวัฒนะต้องใช้เงินสดของตนเองเพื่อดำเนินการมาเกือบ 9 เดือนแล้ว จนเริ่มประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากการที่ สปสช. ยังไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกำหนด

หาก สปสช. ยังคงไม่ดำเนินการจ่ายเงินค้างจ่ายมากกว่า 60 ล้านบาทภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2567 เวลา 12.00 น. และไม่เคลียร์หนี้ตามที่ตกลง รพ.มงกุฎวัฒนะจะไม่สามารถจ่ายค่าแพทย์ บุคลากร และคู่ค้าต่าง ๆ ได้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2567 ทำให้ไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองได้ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2567 เวลา 00.00 น. เป็นต้นไป" นพ.เหรียญทอง ระบุ

THE STATES TIMES 4 Years Anniversary

4 ปีแห่งการเดินทาง ขอบคุณทุกความไว้วางใจที่มอบให้ THE STATES TIMES ✨ เราพร้อมก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ด้วยพลังและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสื่อคุณภาพเพื่อคุณ ❤️ 

'กฟน. และกฟภ.' หยุดรับซื้อ!! ‘โครงการโซลาร์ภาคประชาชน’ ระบุชัด!! เต็มโควตา 90 เมกะวัตต์แล้ว ต้องรอจนกว่าจะเปิดเพิ่ม

(14 ธ.ค. 67) ขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้หยุดรับซื้อไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ภาคประชาชนชั่วคราวแล้ว เนื่องจากมีผู้สนใจแห่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวกันเป็นจำนวนมากในปี 2567 จนเต็มโควตาที่เปิดรับซื้อ 90 เมกะวัตต์ โดยที่ผ่านมามีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่เดือน ม.ค.- มิ.ย. 2567 ประมาณ 100 เมกะวัตต์ แต่ผ่านการพิจารณาด้านเทคนิคแล้วรวม 89.8 เมกะวัตต์ และจากนั้นได้เต็มโควตาไปเมื่อประมาณเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา

ดังนั้นหลังจากนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะต้องนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาเพิ่มโควตาการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) ต่อไป

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กพช. ได้กำหนดโควตาเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป ในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน จำนวนรวม 90 เมกะวัตต์ ภายในเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2564-2573

โดยล่าสุดภาพรวมการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2567) ทั้งในส่วนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 10,107 ราย รวมกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 65.72 เมกะวัตต์

แบ่งเป็นทางด้าน กฟน. มีผู้ผลิตไฟฟ้าจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ จำนวน 4,174 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 23.15 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 3,740 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 20.4198 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีผู้ผลิตไฟฟ้าเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้นในปี 2567 จำนวน 7,914 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 43.91 เมกะวัตต์

ส่วนทางด้าน PEA นั้น ในปี 2567 มีผู้ทำสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ ( COD ) 1,559 ราย กำลังการผลิตประมาณ 8.25 เมกะวัตต์ และส่วนที่ COD แล้ว 634 ราย กำลังการผลิตประมาณ 3.56 เมกะวัตต์ โดยรวมมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 2,193 ราย คิดเป็นกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 11.81 เมกะวัตต์

ดังนั้นเมื่อนับตั้งแต่เปิดโครงการดังกล่าวในปี 2562-2567 จึงมีปริมาณกำลังผลิตติดตั้งรวมประมาณ 100.221 เมกะวัตต์ แต่หากนับเฉพาะในส่วนของ 2564-2567 ตามมติ กพช. ที่เปิดรับซื้อรวม 90 เมกะวัตต์ ก็พบว่าปริมาณรับซื้อเต็ม 90 เมกะวัตต์แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ประชาชนแห่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนมาก เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ประกอบกับต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ปรับลดลง และประชาชนต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงทำให้หันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคากันมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับในช่วงเริ่มต้นโครงการฯ ปี 2562-2565 ที่เปิดรับซื้อไฟฟ้าแบบปีต่อปี พบว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการไม่ถึงเป้าหมายแม้แต่ปีเดียว โดยเปิดรับซื้อไฟฟ้ารวม 260 เมกะวัตต์ แต่มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 9 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นดังนี้

ในปี 2562 -2565 เปิดรับซื้อไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ แต่มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 3-4 เมกะวัตต์เท่านั้น เนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ไม่จูงใจ

ต่อมาในปี 2564 จึงปรับลดเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าเหลือ 50 เมกะวัตต์ และปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขายไฟฟ้าเพียง 3 เมกะวัตต์ เท่านั้น และในปี 2565 ได้ปรับลดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าลงอีกครั้งเหลือ 10 เมกะวัตต์ ในราคาเดิมที่ 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพียง 1.37 เมกะวัตต์

จากนั้นในเดือน มี.ค. 2566 กกพ. ได้ปรับหลักเกณฑ์เป็นการรับซื้อระยะยาว 10 ปี (2564-2573) รวม 90 เมกะวัตต์ ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวก็เริ่มใช้ในปี 2566 นี้ และพบว่าประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น มีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบรวมกว่า 10 เมกะวัตต์ จากเป้าหมาย 90 เมกะวัตต์ ใน 10 ปี และยังมีกลุ่มผู้ร่วมโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (รอ COD) จำนวน 2,795 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 15.501 เมกะวัตต์ รวมเป็นปริมาณ 25.50 เมกะวัตต์

และล่าสุดในปี 2567 ณ เดือน มิ.ย. 2567 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคิดเป็นปริมาณ 100 เมกะวัตต์ และเต็มโควตา 90 เมกะวัตต์แล้ว ( นับรวมตั้งแต่ปี 2564-2567) และต้องหยุดรับซื้อไฟฟ้าไปจนกว่าจะมีการเพิ่มโควตาใหม่อีกครั้ง

‘ดร.เอ้’ ชี้!! อนาคต AI ชี้!! หากไทยไม่ทำวันนี้ อาจสายเกินไป

(14 ธ.ค. 67) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ถึงเวลา ‘จุดประกาย AI ในประเทศไทย’

ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย CMKL ที่มุ่งมั่น สร้างคนไทยสู่เวทีระดับโลก ด้าน AI มาเป็น ‘Keynote Speaker’ องค์ปาฐก บรรยายเรื่อง ‘อนาคต AI’ ในงาน AI Summit 2024

เพราะวันนี้ หากไทยไม่สู้ อาจสายเกินไป เพราะประเทศอื่นก้าวกระโดดไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะเวียดนาม

เราจัดงาน AI Summit 2024 เพื่อรวมพลังสุดยอดคน AI ระดับโลก มาร่วมทีม AI ไทยแลนด์ พัฒนางานวิจัย และพัฒนา ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าสู่โลก AI ได้

และหมดยุค ‘แข่งกับตัวเอง’ หรือ ‘แข่งกันเอง’ เพราะทัศนคติแบบพูดเพียง ‘หล่อๆ’ นี้ ทำให้เราไม่คิดเปรียบเทียบ หรือแข่งกับ ‘คนเก่ง’ สุดท้ายเราก็ไม่พัฒนา สู้โลกไม่ได้ น่าเสียดาย

AI Summit 2024 จึงเป็นการ 'จุดประกาย' ให้คนไทย ตระหนักถึง ‘ยุค AI’ และ กลับมา ‘รวมพลัง’ คนเก่งของไทย ที่เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

แล้วท่านล่ะครับ พร้อมเข้าสู้ยุค AI หรือยังครับ

ราคาน้ำมันดิบ พุ่ง!! เกือบ 2% หวั่น!! คว่ำบาตรเพิ่มรัสเซีย-อิหร่าน

(14 ธ.ค. 67) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ (13 ธ.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า การคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐอาจช่วยหนุนความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น

• สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
• สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 74.49 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. และเพิ่มขึ้น 5% ในสัปดาห์นี้ ส่วนน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 6% ในสัปดาห์นี้ และปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.

ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปตกลงที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งที่ 15 ในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียกับยูเครน โดยมุ่งเป้าไปที่กองเรือบรรทุกน้ำมันเงาของรัสเซีย (shadow tanker fleet) ขณะที่สหรัฐก็กำลังพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่า พวกเขาพร้อมที่จะกลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมดต่ออิหร่านหากจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ทางด้านข้อมูลจาก ‘จีน’ ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยคาดว่าระดับการนำเข้าน้ำมันจะยังคงสูงต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 เนื่องจากโรงกลั่นเลือกที่จะเพิ่มการจัดหาน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดเนื่องจากมีราคาที่ถูกลง ขณะที่โรงกลั่นอิสระเร่งใช้โควตาการนำเข้าของพวกเขา

ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2568 เป็น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่คาดไว้ที่ 990,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนที่แล้ว โดยอ้างถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

การปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารในจีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอในจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

IEA คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินในปีหน้า เมื่อประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตน้ำมันประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยได้รับแรงผลักดันจากอาร์เจนตินา บราซิล แคนาดา กายอานา และสหรัฐ

ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสมาชิกของโอเปกวางแผนที่จะลดการส่งออกน้ำมันในต้นปีหน้า เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส มุ่งเน้นการควบคุมการผลิตให้เข้มงวดขึ้น

ราคาน้ำมันดิบที่อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกโอเปกขายให้กับจีนนั้น เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ทำให้ความสามารถในการขนส่งลดลงและเพิ่มต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และคาดว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่านด้วย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์หน้า และจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีหน้า หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินคาด

ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำนวน 4 คนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หากอัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงสามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการน้ำมัน

เลย-แม่ทัพภาค 2 แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย พร้อมของกลาง ไอซ์ จำนวน 6 กระสอบน้ำหนัก 200 กก. มูลค่า 200 ล้านบาท ในพื้นที่ อ.ปากชม 

เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.67) ที่กรมทหารพรานที่ 21 ค่ายศรีสองรัก อำเภอเมือง จังหวัดเลย พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.ศปก.ทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24)  แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย พร้อมของกลาง ไอซ์ จำนวน 6 กระสอบน้ำหนัก 200 กก. และรถยนต์ จำนวน 2 คัน ในพื้นที่ อำเภอปากชม จังหวัดเลย โดยมี นายกิตติคุณ บุตรคุณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย  พลตรี สุคนธรัตน์  ชาวพงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พลตรี พุทธิวัฒน์  สิริพงศ์พล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 28 พลตำรวจตรี พงพิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย พันเอก สุพรเทพ ไชยยงค์ ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 3 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พันเอก อินทราวุธ ทองคำ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 นายสามารถ หมั่นนอก ปลัดจังหวัดเลย นายยศวัฒน์ พัชระศักดิ์สกุล นายอำเภอปากชม พร้อมหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเลย ร่วมแถลงข่าว

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อยเฉพาะกิจทหาพรานที่ 2109 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ได้รับทราบจากสายข่าว ว่ากลุ่มกระบวนการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 11 ธันวาคม 2567 จึงได้จัดกำลังชุดเคลื่อนที่เร็วของหน่วย ทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจจุดเพ่งเล็ง และตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัยที่ดัดแปลงกระบะตู้ทึบ ไว้เพื่อปิดบังอำพรางในการกระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงได้ขับติดตามดูพฤติกรรม และตั้งจุดตรวจจุดสกัด รถต้องสงสัยที่คาดว่าจะเป็นรถนำ บริเวณสามแยกบ้านห้วยเป้า หมู่ 5 ตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย 

เมื่อสบโอกาสจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ แต่บุคคลดังกล่าวท่าทางมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงได้ให้ลงจากรถ ควบคุมตัวไว้ตรวจสอบหาความเชื่อมโยงสามารถทำตรวจยึด/จับกุม ผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาไอซ์ จำนวน 6 กระสอบ ประมาณ 200 กิโลกรัม รถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน รถยนต์กระบะ โตโยต้า รีโว้ สีบรอนซ์ ทะเบียน บม 5410 เพชรบุรี (รถยนต์กระบะ ดัดแปลงตู้ทึบ) รถขนยาไอซ์, รถยนต์กระบะ นิสสัน นาวารา สี่ประตู สีดำ ทะเบียน กต 4383 ชุมพร (รถนำทาง) และจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด จำนวน 4 ราย พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ในวันนี้ได้มาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานตามแนวป้องกันชายแดนของเรา ในห้วงที่ผ่านมา ได้มีการจับกุมยาบ้า 50 ล้านเม็ด ซึ่งทราบได้ว่ามีการใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งมีมูลค่าสูง  

ในครั้งนี้ที่สำคัญมีการได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีกลุ่มขบวนการจากภาคกลางตอนล่าง ยังคงมีความพยายามที่จะลำเลียงยาเสพติดเหล่านี้เข้าสู่พื้นที่ตอนใน ในครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เราจับกุมผู้ต้องหาได้ และเป็นยาเสพติด (ยาไอซ์) จำนวน 200 กก. มูลค่ากว่า 200 ล้านบาทโดยปัจจัยสำคัญคือ มีผู้ต้องการยาเสพติดเป็นอย่างมาก ในพื้นที่ภาคกลาง ทางแม่ทัพภาคที่ 2 จึงแจ้งต่อตำรวจภูธรจังหวัดเลย ขอให้นำผู้ต้องหาไปขยายผล นำไปสู่กลุ่มกระบวนการผู้สั่งการ และกลุ่มนายทุนที่อยู่เบื้องหลัง เป็นคดีสมคบคิด จนสามารถนำไปสู่การยึดทรัพย์ให้ได้ สาเหตุที่มียาเสพติดจำนวนมากเข้าในพื้นที่ เนื่องจากช่วงนี้ใกล้เทศกาลปีใหม่ มีความต้องการของลูกค้าในตลาดสูงมาก

ท้ายที่สุดนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21และทุกส่วนราชการที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง และบูรณาการร่วมกัน จนทำให้การจับกุมในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่าน ที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน และช่วยประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร ขอให้สื่อได้ช่วยเป็นกระบอกเสียง เชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลักลอบค้ายาเสพติด หรือข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดผ่านช่องทางตรงของ เจ้าหน้าที่ในหน่วยกำลังป้องกันชายแดนทุกหน่วย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ปัญหายาเสพติดลดลง และพี่น้องประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน

‘ดร.หิมาลัย’ นำทีมรวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่!! ‘ลพบุรี’ บรรยายพิเศษ ให้ความรู้ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’

(14 ธ.ค. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ , สส.สัญญา นิลสุพรรณ , นางพิมพ์ปวีณ์ นิลสุพรรณ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ , นายวสวัตติ์ กลิ่นขจร เลขานุการผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ , นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ คณะทำงานผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ , นางปวีณา นิลแย้ม คณะทำงานผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ , นายติน ตันติเตชะ หัวหน้าฝ่ายทะเบียนสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ  พร้อมคณะ เข้าร่วมกิจกรรมโครงการ ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ และพบปะพี่น้องประชาชนชาวพัฒนานิคม ณ อาคารสหกรณ์การเกษตรพัฒนานิคมจำกัด ตำบลดีลัง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี  ในการนี้ได้รับการต้อนรับจาก นายบุญมี หรัดดี ประธาน อสม. จังหวัดลพบุรี , สุภกร กมลพัฒนะ รองประธาน อสม.จังหวัดลพบุรี , นายเดชวุฒิ นิลแย้ม อดีตนายอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี พร้อมด้วยผู้นำท้องที่และท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top