Friday, 4 July 2025
TheStatesTimes

บุรีรัมย์ - พิธีเปิด “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” จังหวัดบุรีรัมย์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงห่วงใยและทรงตระหนักถึงความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ จัดตั้ง “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” ณ โดมสวนรมย์บุรี 200 ปี เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 11 – 20 พฤษภาคม 2564 เพื่อประกอบอาหารปรุงสุกใหม่สำหรับนำไปมอบให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์

โดยในวันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) เวลา 10.00 น. พลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” มอบอาหารพระราชทาน จำนวน 3,500 ชุด ให้แก่นายอำเภอและผู้แทนชุมชน แบ่งเป็นอำเภอเมืองบุรีรัมย์ 1,500 ชุด และอำเภอคูเมือง 2,000 ชุด ณ โดมสวนรมย์บุรี 200 ปี เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ และผู้พิการ ในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ เพื่อมอบอาหารพระราชทาน น้ำดื่ม และชุดธารน้ำใจกู้ชีวิตฝ่าวิกฤติโควิด-19 ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนที่ได้รับอาหารพระราชทานและต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

อาหารปรุงสุกใหม่จากครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย จะแจกจ่ายไปยังประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการครัวที่เน้นความสะอาด ถูกสุขลักษณะ ประกอบอาหารปรุงสดใหม่ สะอาด โดยเน้นให้ผู้ประกอบอาหารแต่งกายตามมาตรฐาน คือ สวมหมวกคลุมผม สวมผ้ากันเปื้อน สวมหน้ากากอนามัย และสวมถุงมือ รวมถึงการแจกจ่ายอาหารพระราชทานที่มีการจัดระเบียบการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคเงิน 99 บาท ในโครงการ “พลังใจ 99 บาท ก้าวผ่านวิกฤต COVID-19” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ต้องกักกันตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และไร้ที่พึ่ง เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกัน และเยียวยาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านการดำเนินงานของสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สถานีกาชาด เหล่ากาชาดจังหวัด และกิ่งกาชาดอำเภอ ด้วยการสแกน QR CODE ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารในระบบ E-DONATION หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักสีลม ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 001-1-34567-0 หรือธนาคารกรุงไทย สาขาสุรวงศ์ ชื่อบัญชี "สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 023-6-06799-0 สอบถามเพิ่มเติมโทร.1664

กระบี่ – ฮือฮา ! อีกครั้ง เจ้าของร้านจำหน่ายอะไหล่ยนต์ชื่อดัง ผุดไอเดียร์ สุดบรรเจิด ให้รถฉุกเฉิน รพ.เปลี่ยนยางฟรี ไม่มีคิดเงิน

หลังจากที่สร้างความฉือฮา มาแล้ว ติดสติกเกอร์ชื่อร้าน ท้ายรถ ปะยางฟรีตลอดชีพ หวังช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้ รพ.ช่วงวิกฤติโควิด 19

วันที่ 12 พ.ค.64 หลังจากที่นายจักรพันธ์ วรรณประเสริฐ อ.47 ปี เจ้าของเจ้าของร้านประดับยนต์ ชื่อร้าน ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 304 ม.6 ต.ปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ได้สร้างความฮือฮาให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการของร้าน ด้วยไอเดียร์สุดแปลกแหวกแนว มาแล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมา แปะสติกเกอร์ชื่อร้านท้ายรถ (ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์) ปะยางฟรีตลอดชีพ และล่าสุดทางเจ้าของร้านได้ผุดให้เดียร์ใหม่ อีกแล้ว โยได้ประกาศผ่านเฟสบุค ให้รถฉุกเฉิน ของ โรงพยาบาลในจังหวัดกระบี่ทุกโรง นำรถมาเปลี่ยนยงฟรี ไม่คิด พร้อมดูแลหลังการขายปะยางให้ฟรีตลอดชีพด้วย

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่ร้านดังกล่าว พบว่าทางร้านกำลังเปลี่ยนยางให้ รถฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลอ่าวลึก จากการสอบถามนายอรัญ คชาวุธ อายุ 52 ปี พนักงานขับรถ โรงพยาบาลอ่าวลึก ทราบว่า วานนี้ 11 พ.ค.ทางหัวหน้าฝ่ายของ รพ.อ่าวลึก ได้โทรมาแจ้งให้ตนนำรถไปเปลี่ยนยางที่ร้านส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง โดยบอกว่าทางเจ้าของร้านยินดี เปลี่ยนยาง ให้รถฉุกของ รพ.ฟรี ทุกโรงที่อยู่ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งตนเห็นว่ารถที่ตนขับอยู่ยางเริ่มสึกหรอ เพื่อความปลอดภัยจึงรีบนำรถมาเปลี่ยนยาง ซึ่งรถของตนได้เปลี่ยนยงเป็นคันแรก 

ด้านนายจักรพันธ์ (เจ้าของร้านฯ)เปิดเผยว่า ทางร้านเปิดให้บริการจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ ยางรถยนต์ ล้อแม็กซ์ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และบริการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ซ่อมช่วงล่าง ยกสูง โหลดเตี้ย และประดับยนต์มากว่า 14 ปี มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และในช่วงนี้ เป็นช่วงวิกฤติโควิด 19 ตนเห็นว่ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล แต่ละแห่ง ถูกนำออกมาวิ่งใช้งานรับส่งผู้ป่วยกันอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ทำให้ยางรถสึกเร็วกว่าปกติ ตนจึงเกิดไอเดียร์ เปลี่ยนยางรถให้ฟรี ไม่คิดเงิน เฉพาะ รพ.ในจังหวัดกระบี่ พร้อมบริการหลังการขายฟรี ไม่ว่าจะเป็นตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ทุก 1 หมื่น กม.

นายจักรพันธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา เกิดวิกฤติโควิด 19 ถึง 2 รอบ ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับทางร้าน มีจำนวนลดลง ตนก็เลยปิ้งไอเดียร์ ขึ้นมาว่ารถทุกคัน ที่มีสติกเกอร์ “ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์”ติดอยู่ที่รถ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ หากว่ารถล้อรั่ว ซึม เข้ามาใช้บริการปะยาง ทางร้านก็จะปะให้ฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งเหมือนกับว่าทางร้านได้ช่วยดูแลสังคมอีกด้านหนึ่ง ในการลดค่าใช้จ่ายของลูกค้า และตอนนี้เกิดวิกฤติโควิด 19 ระบาดระลอก 3 ตนก็เลยอยากช่วยแบ่งเบาโรงพยาบาล ที่เห็นบุคลากรทุกคนทำงานกันอย่างหนัก คิดไอเดียร์ โดยการเปลี่ยนยางให้ฟรี ไม่คิดเงินแม้บาทเดียว     

นายจักรพันธ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า ทางร้านได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากการเข้าใช้บริการของลูกค้าลดน้อยลง แต่ทางร้านก็ได้มีการแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายขอส่วนลดพิเศษเพื่อมาช่วยสนับสนุนเป็นส่วนลดให้แก่ลูกค้า โดยพบว่าช่วงนี้ลูกค้าหายไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีข้อดี ทางร้านสามารถดูแลให้บริการลูกค้าหลังการขายได้อย่างเต็มที่


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

กาฬสินธุ์ – ชาวบ้านพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำพิธีไหว้ผีปู่ตา จุดบั้งไฟไล่โรคร้ายโควิด

ชาวบ้านในตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกันประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้เลี้ยงผีปู่ตา และบวงสรวงวิญญาณบรรพบุรุษ พร้อมจุดบั้งไฟเสี่ยงทายฟ้าฝน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนถึงฤดูทำนา และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ขอให้ชาวบ้านรอดพ้นจากวิกฤติโรคร้าย โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ให้สูญหายไปจากโลกนี้

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บริเวณดอนปู่ตาบ้านตูม หมู่ 4 และหมู่ 19 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางละมุล ภักดีนอก ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 4 นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 19 และนายบรรเจิด สุธรรมมา พ่อขะจ้ำ หรือปราชญ์ชาวบ้าน นำชาวบ้านประกอบพิธีกราบไหว้เลี้ยงผีปู่ตา และบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษตามประเพณีวิถีชีวิตของคนอีสาน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนถึงฤดูทำนา และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ชาวบ้านรอดพ้นจากวิกฤติโรคร้ายต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคโควิด-19  โดยทุกคนที่เข้าร่วมพิธีต้องสวมหน้ากากอนามัย ขณะที่ อสม. ได้ตั้งจุดคัดกรอง และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นางละมุล ภักดีนอก ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 4 กล่าวว่า การประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตา หรือปู่หอเหนือ และบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รุกขเทวา ที่สถิตอยู่ ณ บริเวณดอนปู่ตาก็เพื่อขอให้ปกปักรักษาสรรพชีวิต และพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้อุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ถือเป็นการสืบสานประเพณีวิถีชีวิตของชาวอีสาน ที่มีการสืบทอดให้อยู่คู่ชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งในส่วนของชาวบ้านตูม ก็ได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นประจำทุกปี โดยชาวบ้านที่มาร่วมพิธี จะนำใบมะพร้าวมาทำเป็นสัญลักษณ์ แทนทรัพย์สินสิ่งของ เช่น บ้านเลขที่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดิน โดยเขียนเลขที่บ้าน ทะเบียนรถ เลขที่โฉนด นส 3 ก. มาสักการบูชาที่ศาลปู่ตา จากนั้นวางไว้ในบริเวณพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อให้ผีปู่ตา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา

ด้านนายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 19 กล่าวว่า พิธีเลี้ยงผีปู่ตา หรือปู่หอเหนือ บวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านตูมร่วมกันจัดขึ้นดังกล่าว ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก่อนแยกย้ายกันลงมือทำนา ทั้งนี้หลังจากร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวง ด้วยไก่ต้ม เหล้าขาว และเครื่องบวงสรวงต่างๆแล้ว ชาวบ้านก็จะร่วมกันแห่บั้งไฟไปรอบๆศาลปู่ตา 3 รอบ จากนั้นทำการจุดบั้งไฟเสี่ยงทายฟ้าฝน

นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) กล่าวอีกว่า เนื่องจากในช่วงนี้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งอำเภอยางตลาดมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดใน จ.กาฬสินธุ์มาถึง 34 ราย จากจำนวนสะสมทั้งจังหวัด 94 ราย ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะหายดีแล้ว แต่โรคนี้ยังมีการแพร่ระบาดอยู่ในหลายภูมิภาค และอาจจะแฝงตัวอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นในการประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตาในครั้งนี้ นอกจากชาวบ้านได้ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายแล้วยังจุดบั้งไฟขับไล่โรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทำให้มีผู้ได้รับเชื้อเจ็บป่วย  และเสียชีวิตให้หนีหายไป

อย่างไรก็ตามสำหรับจากการจุดบั้งไฟขับไล่โควิด-19 และเสี่ยงทายฟ้าฝนครั้งนี้ พ่อขะจ้ำหรือปราชญ์ชาวบ้านทำนายจากการที่บั้งไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า ฝนฟ้าจะดี มีตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ และอาจจะเกิดภาวะอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ซึ่งชาวบ้านจะได้อธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งขับไล่โรคติดเชื้อโควิด-19 สูญหายไปจากสังคมไทยอีกด้วย

(สัมภาษณ์ นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่19)

แม่ฮ่องสอน - ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันชัดไม่มีกองกำลังใด ๆ เดินทางเข้ามายังชายแดนแม่สามแลบ และไม่มีการสู้รบในพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำสาละวินมา 12 วันแล้ว

ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า จะมีบุคคลแปลกหน้า ที่คาดว่าจะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF กว่า 100 นาย เดินทางจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เตรียมเข้ามาในพื้นที่ริมแม่น้ำสาละวิน รวมไปถึงการแชร์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนในเพจเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีการ ระบุข้อความ ว่ามีรถขนกองกำลังดังกล่าว มาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก 5-6 คัน จนเป็นเหตุให้ราษฏรในพื้นที่แม่สามแลบเกิดความหวาดกลัวไม่อยากให้มีสงครามกันขึ้นอีก

ด้านฝ่ายความมั่นคง ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่ชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน ไม่มีปฏิบัติการทางทหาร ไม่มีการสู้รบในฝั่งเมียนมา เงียบสงบมาเป็นระยะเวลา 12 วัน สถานการณ์เข้าสู่ภาะวะปกติ จึงขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า กระแสข่าวที่บอกว่าจะมีบุคคลแปลกหน้าหรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเดินทางมานั้น เป็นข่าวเท็จ ส่วนกรณีมี รถทหารที่เดินทางเข้าออกพื้นที่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย  จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงนี้เป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังของทหารในพื้นที่เท่านั้น และฝ่ายทหารยืนยันว่า เรามีจุดยืน เป็นกลางไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีหน้าที่ทำให้ประชาชนปลอดภัย และรักษาอธิปไตย


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

นครพนม - นรข.นครพนม บูรณาการหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ยึดกัญชา 188 กก. วางทิ้งริมฝั่งแม่น้ำโขง

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่สโมสรทหารสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นครพนม น.อ.ฤทธิ์ นาทวงษ์ ผบ.นรข.เขตนครพนม พร้อมด้วย พ.อ.วิทธิพงศ์ อรรคคำ รอง ผบ.บก.ควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พ.ต.อ.จตุรงค์ มหิทธิโชติ ผกก.สส.ภ.จว.นครพนม พ.ต.ท.อัศรายุทธ ทองลอง สว.ส.รน.กก.10 บก.รน. ตำรวจน้ำนครพนม นายประพันธ์ศักดิ์ บุตรรัตต์ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารปกครอง และนายจักรพงศ์ เที่ยงภักดิ์ ปลัดอำเภองานป้องกัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดกัญชาจำนวน 188 แท่ง/กิโลกรัม ภายหลังชาวบ้านแจ้งว่าจะมีขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่

จากเมื่อวันที่ 10  พฤษภาคม 2564 นรข.เขตนครพนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าจะมีการลักลอบลำเลียงและซุกซ่อนยาเสพติดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงด้านตอนท้ายเมืองลงไปในตำบลท่าค้อ อำเภอเมืองนครพนม จึงได้มีการรายงานผู้บังคับบัญชาและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผน โดย น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้า สน.เรือเขตนครพนม ได้นำกำลังพลร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองนครพนมลาดตระเวนและซุ่มตรวจการณ์ ทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งใช้อยู่ 2 วัน กระทั่งเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 5.45 น. ในขณะที่ชุดลาดตระเวนทางบกเดินลาดตระเวนริมฝั่งแม่น้ำโขงก็ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นกระสอบสีดำ จำนวน 4 กระสอบวางอยู่ใกล้กับสวนสมุนไพรบ้านท่าค้อ จึงได้มีการส่งสัญญาณและวางกำลังซุ่มอยู่บริเวณดังกล่าวจนเวลาผ่านไป 4 ชั่วโมงก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาในพื้นที่ที่มีวัตถุต้องสงสัยวางเจ้าหน้าที่จึงได้ตัดสินใจเข้าทำการตรวจสอบ

ขณะเดียวกันชุดลาดตระเวนทางน้ำก็ได้ตรวจพบกระสอบสีดำลอยอยู่ในน้ำในบริเวณใกล้เคียงกันอีก 1 กระสอบ เจ้าหน้าที่จึงได้นำของกลางทั้งหมดมารวมกัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าวัตถุภายในกระสอบเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 (กัญชา) จำนวน 188  แท่ง/กิโลกรัม จึงได้ร่วมกันทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานพร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เพื่อติดตามสืบสวนสอบสวนหาขบวนการผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่

มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่ 

ทีมอาสากล้าใหม่ มูลนิธิมาดามแป้ง ลงพื้นที่คลองเตยและบ่อนไก่พัฒนา สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ในจุดเสี่ยงของแต่ละชุมชน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กระจายไปหลายพื้นที่และทวีความรุนแรงขึ้นในเขตพื้นที่สีแดงของกรุงเทพมหานคร อย่างเขตคลองเตยและเขตปทุมวัน นอกจากให้ความช่วยเหลือด้านอาหารจากครัวมาดาม กล่องน้ำใจแก่ผู้กักตัว การออกฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ติดเชื้อต่อเนื่องทุกวันแล้ว ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มูลนิธิมาดามแป้ง ขอเสริมความมั่นใจให้ชาวบ้านที่ต้องดำเนินชีวิตประจำวันนอกบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยง ด้วยการมอบหมายให้อาสาที่มีฝีมืองานช่าง ลงพื้นที่สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจุดเข้า-ออก และจุดผ่านสำคัญภายในชุมชน

ด้านมาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง และ ซีอีโอ บมจ.เมืองไทยประกันภัย กล่าวว่า "เราอยากทำงานแบบบูรณาการตามสถานการณ์ ต้องทำแบบรอบด้านมันถึงจะสำเร็จ เพราะชาวบ้านยังต้องออกมาทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง สัญจรผ่านพื้นที่สาธารณะ ดังนั้น อะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหา คลายความวิตกกังวลลงได้ เราก็ส่งทีมอาสาไปทำทันที ซึ่งขณะนี้ติดตั้งซุ้มนี้ครบทุกจุดตามเป้าหมายแล้ว ก็ช่วยให้ทุกคนมั่นใจขึ้นเวลาออกมาทำงานนอกบ้าน"

สำหรับชุมชนที่มูลนิธิได้ติดตั้งซุ้มดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว อาทิ ชุมชนพัฒนาใหม่, ชุมชน 70 ไร่, ชุมชนล็อค 4-5-6, ชุมชนล็อค 1-2-3, ชุมชนวัดคลองเตยใน, ชุมชนร่มเกล้า, ชุมชนโรงหมู, ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา, ชุมชนเคหะบ่อนไก่ เป็นต้น โดยซุ้มดังกล่าวจะพ่นน้ำฆ่าเชื้อที่ได้รับมาตรฐานจากกรมอนามัย ที่สามารถสัมผัสกับผิวหนังมนุษย์ได้ มีลักษณะการฉีดพ่นแบบละอองฝอยทำให้น้ำยามีประสิทธิภาพสูงขึ้น 

ทั้งนี้ มูลนิธิมาดามแป้งยังมีแผนดำเนินตั้งซุ้มพ่นฆ่าเชื้อในอีกหลายจุดนอกเหนือจากภายในชุมชน อาทิ จุดตรวจคัดกรองประชาชนที่มีความเสี่ยง และจุดบริการฉีดวัคซีนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งอีกด้วย  ประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่บัญชี 092-2-61340-0 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้

"แรมโบ้" แนะ “ชูวิทย์” หุบปากเพื่อชาติดีกว่ามือไม่พายอย่าเอาเท้าราน้ำ “บอก” ฐานะดีเอาเวลาไปบริจากสิ่งของจะได้เสียงปรบมือ

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทยออกมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด และวัคซีนของรัฐบาลโดยกล่าวว่าว่าในเรื่องของการบริหารจัดการวัคซีนนั้นนายกรัฐมนตรี และกระทรวงสาธารณสุขออกมาชี้แจงทุกวัน ทั้งการนำวัคซีนเข้ามาซึ่งขณะนี้ อย. ได้อนุมัติไปแล้ว 3 รายและรอประเมินคำขอขึ้นทะเบียนอีก 1 ราย และทยอยยื่นเอกสารอีก 2 ราย อีกทั้งบริษัทไฟเซอร์ได้รับปากกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่จะสำรองการผลิตวัคซีนให้ไทยอีก 20 ล้านโดส นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยืนยันกับผู้ผลิตวัคซีนว่าพร้อมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนวัคซีนทุกตัวในโลกแต่การนำวัคซีนเข้ามานั้นจะต้องมีมาตรฐานที่ดีมีความปลอดภัยให้กับประชาชนและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้วย ขณะเดียวกันในช่วงเดือนมิถุนายนก็จะมีวัคซีนทยอยเข้ามาอีกจำนวนมากและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชนก็ได้ช่วยกันเร่งที่จะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด อีกทั้ง นายกฯ ยังประกาศให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ

นายเสกสกล กล่าวว่า ประเทศต้องการความร่วมมือ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่นายชูวิทย์กลับออกมาพูดหรือกล่าวโจมตีการทำงานของนายกฯ และรัฐบาล ซึ่งการออกมาพูดของนายชูวิทย์ไม่ได้เป็นผลดีต่อบ้านเมืองเลย

“นายชูวิทย์ต้องหัดดูตัวเองด้วย อย่าทำตัวเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง วัน ๆ มีแต่ออกมาโจมตีคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์คนทำงาน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ถือเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่าทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ หันมาช่วยกันสนับสนุนการฉีดวัคซีนช่วยเหลือประชาชนตามที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติดีกว่า การฉีดวัคซีนถือเป็นประโยชน์ของทุกคน เหตุใดนายชูวิทย์ถึงไม่อยากให้ประเทศชาติหายจากโควิด หรืออยากเห็นประเทศ เห็นประชาชนป่วยเพิ่มมากขึ้น นายชูวิทย์ก็เคยเป็นนักการเมือง เป็นผู้แทนราษฎร ประชาชนต้องมาก่อน ก็น่าจะมีจิตใจที่จะคิดถึงประชาชนบ้าง เอาเวลาไปช่วยประชาชนจะดีกว่า การพูดมากบ่อนทำลายกำลังใจกัน ทางที่ดีนายชูวิทย์ที่มีฐานะดี ควรความดีโดยการหุบปากเพื่อชาติ แล้วนำสิ่งของไปบริจาคบ้างตามความเหมาะสมจะได้รับเสียงปรบมือชื่นชมมากกว่า” นายเสกสกลกล่าว

ดร.พิมพ์รพี คิดนอกกรอบ เสนอ ทำแอปพลิเคชันใหม่ "คนไม่พร้อม" รับลงทะเบียน คนไม่พร้อมฉีดวัคซีน ช่วยรัฐบริหารจัดการ กระจายวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนุน "สาธิต" ระดม วัคซีนให้ภาคเอกชน-เอสเอ็มอี ฟื้นเศรษฐกิจไทย

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล สส.บัญชี​รายชื่อ​ พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนแนวคิดของนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ที่เสนอให้นำวัคซีนล็อตใหญ่ ล็อตใหม่ กระจายให้ภาคเอกชนซึ่งเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการประคับประคองการจ้างงานในทางอ้อมตามมาด้วย เพราะหากผู้ประกอบการอยู่รอด ลูกจ้างก็ไม่ตกงาน ประเทศจะเดินหน้า ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของเอสเอ็มอี ต้องเปิดทางให้เข้าถึงวัคซีนได้อย่างทันท่วงที

"รัฐบาลต้องเร่งพิจารณาผ่อนคลายมาตรการในบางพื้นที่ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้วแบบทันท่วงที อย่าปลาอยให้เนิ่นช้าออกไป เพราะทุกนาทีมีค่า ยิ่งตัดสินใจเร็ว โอกาสฟื้นตัวของประเทศก็เร็วขึ้นตามไปด้วย และอยากให้คิดแบบใหม่ ในการแก้ปัญหาคนไม่พร้อมฉีดวัคซีน แต่อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับวัคซีน ด้วยการทำแอพพลิเคชันเพิ่มอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม ให้มีการลงทะเบียน "คนไม่พร้อม" ฉีดวัคซีนไปเลย โดยให้กรอกข้อมูล ปัญหาที่ไม่ต้องการรับวัคซีนเพราะอะไร รอวัคซีนแบบไหนอยู่ รัฐบาลจะได้ประมาณการทั้งความต้องการและวัคซีนที่มีได้อย่างถูกจุด รวมถึงยังเข้าใจปัญหาว่าทำไมประชาชนส่วนนี้จึงไม่ต้องการฉีดวัคซีนที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากและได้ฟังความกังวลของประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหา​ให้เร็วและตรงจุดขึ้น" ดร.พิมพ์รพี กล่าว

รมว.แรงงาน สั่งเฝ้าระวัง และตรวจสอบคนต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศไทยและทำงานผิดกฎหมาย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากกรณีที่พบกลุ่มผู้ฉวยโอกาสลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน และเดินทางต่อไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพื่อลักลอบทำงานผิดกฎหมาย อาจนำเชื้อโควิด-19 ไปแพร่กระจายในชุมชนได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ จับกุม และดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวที่ทำงานผิดกฎหมาย ได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ จัดเตรียมข้อมูลสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ โดยให้ปฏิบัติงานภายใต้มาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอย่างเคร่งครัด 

“ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563-11 พ.ค. 2564 ได้มีการตรวจสอบและดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการและคนต่างด้าวทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตรวจสอบนายจ้าง/สถานประกอบการ จำนวน 24,306 ราย/แห่ง ดำเนินคดี จำนวน 698 ราย/แห่ง และตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว จำนวน 346,449 คน ดำเนินคดี จำนวน 559 คน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ได้กำชับให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวที่ทำงานผิดกฎหมาย โดยให้ปฏิบัติงานเชิงรุก และรายงานผลการดำเนินการให้กรมทราบ เพื่อให้สามารถติดตามสถานการณ์ และบังคับใช้กฎหมายอย่างทันท่วงที ทั้งขอฝากถึงนายจ้าง/สถานประกอบการว่า หากรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ทำงานโดยที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และจะต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง 

ทั้งนี้ ผู้ใดพบเห็นหรือสงสัยว่ามีคนต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

ก.แรงงาน เคาะ 3 มาตรการ เร่งช่วยสถานประกอบกิจการภายใต้พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 2545 ลดผลกระทบโควิด-19

นายธวัช  เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจและสถานประกอบกิจการเป็นจำนวนมาก รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการช่วยเหลือกำลังแรงงานและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยในส่วนของ กพร. ได้ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงแรงงานโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มีความห่วงใยแรงงานทุกกลุ่ม นายจ้างและสถานประกอบกิจการ ได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการที่อยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 ด้วยกัน 3 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 ลดอัตราเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.1 ของค่าจ้างที่ผู้ประกอบกิจการจ่ายในปี 2564 ตามสัดส่วนจำนวนพนักงานที่ไม่ได้จัดให้มีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน มาตรการที่ 2 ขยายระยะเวลาการยื่นแบบแสดงการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานสำหรับปี 2563 จากเดิมต้องยื่นภายในเดือนมีนาคม 2564 เป็นภายในเดือนกรกฎาคม 2564 และมาตรการที่ 3 ขยายระยะเวลาการยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมสำหรับปี 2564 จากเดิมภายใน 60 วัน เป็นภายใน 90 วัน นับตั้งแต่เสร็จสิ้นการฝึกอบรม แต่ต้องไม่เกินวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2565

“สำหรับมาตรการลดสัดส่วนการพัฒนาฝีมือแรงงานที่นายจ้างและสถานประกอบกิจการได้สอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมากนั้น กพร. กำลังรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานพิจารณาต่อไป ซึ่งสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานส่งเสริมและรับรองสิทธิประโยชน์ กองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เบอร์โทร 0 2246 1937” อธิบดีกพร. กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top