Saturday, 7 June 2025
PRESS

‘แม่ปุ้ย TPN’ เคลียร์ทุกกระแสดรามาวงการนางงาม ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ ยืนยันชัดเจน ‘MUT 2023’ ไม่เลียนแบบใคร ทำตามต้นฉบับ MU USA 100%

'แม่ปุ้ย TPN' หรือ ปิยาภรณ์ แสนโกศิก ผู้บริหารการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ สร้างตำนานใหม่ในวงการนางงาม เมื่อเปิดโอกาสให้บรรดาสื่อมวลชนสายบันเทิง ที่มาเฝ้ารอติดตามการแถลงข่าวการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 หรือ MUT 2023 โดยขอตอบคำถามสื่อฯ เคลียร์ทุกข้อสงสัย ประเด็นดรามาในศึกดุเดือด สาดกันไปมาระหว่าง 2 เวทียักษ์ใหญ่ ยิ่งนักข่าวถามแรง แม่ปุ้ย TPN ก็ตอบกลับแบบฟาด ๆ เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมากทั้งจากกองเชียร์นางงาม และเหล่าสปอนเซอร์เวที MUT 

ซึ่ง 1 คำถามจี้จุดจนทุกคนต้องร้องซี๊ดดด..ที่สงสัยว่า รูปแบบการประกวด MUT 2023 ที่ใช้ระบบการประกวดคัดเลือกนางงามระดับจังหวัด ก่อนเข้าสู่การเก็บตัวและประกวดรอบ Final ที่ดูละม้ายคล้ายกับเวทีคู่แข่งนั้น แม่ปุ้ย TPN ตอบชัดเจนว่า ขอให้เครดิตเลยนะคะ ว่าเวที MUT ทำเหมือน แต่เหมือนกับเวที Miss Universe USA ที่ใช้รูปแบบการประกวดนี้มานานหลาย 10 ปี ส่วนกรณีการเกาะกระแส ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จุดนี้ไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ เพราะในแต่ละวันต้องมาทบทวนว่าแสงในตัวเพียงพอหรือยังที่จะใช้สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้ความสว่างและเป็นประโยชน์กับทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา

'ปลัดจุก' ผู้สมัคร รทสช. พัทลุง ย้ำ!! ไม่เคยยกธงขาว วอนคนไทย “เป็นปลาฉลาด กินเฉพาะเหยื่อไม่กินเบ็ด”

(12 พ.ค. 66) จากกระแสข่าว ส.ส. พรรครวมไทยสร้างชาติ พัทลุง ยกธงขาว ยุติการหาเสียง เนื่องจากถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงกลางอากาศนั้น ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ นายปรัชญา นวลเปียน หรือ 'ปลัดจุก' ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ จังหวัดพัทลุง เขต 3 ถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร?

โดยนายปรัชญา ได้เผยเรื่องการยุติหาเสียง และถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงกลางอากาศของตน ว่าไม่เป็นความจริงยืนยันตนเองก็ไม่เคยพูดในประเด็นนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เดินหน้าหาเสียงในโค้งสุดท้ายอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งกล่าวว่า...

“ไม่ได้ยุติการเสียง ไม่ได้ถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งพรรคก็ดูแลตามกฎหมายที่กำหนด และไม่ได้มีปัญหาอะไรกับทางพรรครวมไทยสร้างชาติ” 

นายปรัชญา กล่าวถึงจุดยืนต่อว่า “เมื่อก่อนผมอยู่พรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากผมมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งนี้ผมจึงติดตามพลเอกประยุทธ์ มาอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าพรรคฯ และพลเอกประยุทธ์ยังได้รับความนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้” 

ส่วนบรรยากาศการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายที่พัทลุงตอนนี้ นายปรัชญากล่าวว่า “การแข่งขันในพื้นที่ค่อนข้างดุเดือด กระสุนมาแรง เราต้องสร้างกระแสสู้กระสุน เราต้องการทำการเมืองสีขาว กระแสของพรรครวมไทยสร้างชาติที่จังหวัดพัทลุงดีมาก แต่ไม่รู้ว่าจะฝ่ากระสุนได้หรือไม่ เรื่องซื้อสิทธิขายเสียงก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขกันอย่างไร คนที่มีหน้าที่อยู่ก็คือ กกต. บางทีก็ต้องตั้งคำถามว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมด้วยหรือไม่ การซื้อสิทธิขายเสียงมันต้องพอใจทั้ง 2 ฝ่าย จึงค่อนข้างยากในการแก้ไขปัญหานี้ จริง ๆ แล้วควรติดกล้องล่อซื้อแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำ” 

"อีก 2 วันก็จะถึงวันเลือกตั้งแล้ว ขอฝากข้อคิดไว้ว่า เป็นปลาฉลาด ให้กินเฉพาะเหยื่อไม่กินเบ็ดนะครับ” ปลัดจุก ทิ้งท้าย

'สุริยะใส' ฟันธง!! วันนอร์ฯ ไม่ใช่ตัวกลางยุติปัญหา แต่เป็นเกม 'เพื่อไทย' บีบการตัดสินใจของ 'พรรคส้ม'

หลังจากที่มีข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อคนกลาง อย่าง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ชิงตำแหน่งประธานสภา เพื่อเป็นทางออกและแก้ปัญหาข้อยุติทั้งหมด

อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ส.ส. รวมทั้งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยว่าจะมีมติยืนตามนี้หรือไม่

ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ถือเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด เพราะมีประสบการณ์ เคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา และไม่มีความด่างพร้อย น่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นกลาง เป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากบรรดา ส.ส.

จริงหรือ??? ที่วันนอร์ฯ จะมาเป็นตัวกลางยุติปัญหาเก้าอี้ประธานสภาในครั้งนี้ หรือจะเป็นเกมส์การเมืองของพรรคเพื่อไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นพรรคก้าวไกล จะเเก้เกมนี้อย่างไร 

ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIMES ในประเด็นนี้ว่า น่าจะเป็นการเสนอเพื่อแก้ปัญหาความไม่ลงตัวที่กำลังจะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งแตกแยกของ 8 พรรคร่วมรัฐบาลมากกว่า และเป็นการชิงไหว ชิงพริบ ที่เรียกว่า "เซียนเหยียบเมฆ" ของพรรคเพื่อไทย ที่อาจจะทำให้พรรคก้าวไกลตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง 

แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่เสนอคนของพรรค แต่ไปเสนอนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา โดยอ้างว่าเป็นคนกลางของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็รู้กันดีว่านายวันนอร์ฯ เป็นอดีต ส.ส. ของพรรคไทยรักไทยมาก่อน ก่อนจะมาตั้งพรรคประชาชาติ ก็เปรียบเสมือนเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ฉะนั้น หมากเกมนี้ต้องกลับไปถามก้าวไกล ว่าจะยอมเล่นตามเกมเพื่อไทยหรือจะส่งคนสู้ แต่ถ้าส่งคนสู้ต้องมองว่าใครจะชนะ อาจจะไปหวยออกที่คนที่ 3 ต้องจับตามอง โดยส่วนตัวมองว่าไม่ว่าจะเป็นวันนอร์ฯ หรือนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ของพรรคก้าวไกล ไม่น่าจะมีใครชนะใคร จริง ๆ ตำแหน่งประธานสภาฯ ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก แต่ทางการเมืองก็จะมีจังหวะที่ทำให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองได้อยู่ไม่น้อย 

การที่เพื่อไทยเสนอแบบนี้ นั่นหมายความว่า เพื่อไทยไม่ได้ยอมทำตามข้อเสนอของพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกันก้าวไกลก็อาจจะไม่ยอมทำตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย เกมนี้อาจจะลามไปถึงการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องติดตามกันต่อ

ผศ.ดร.สุริยะใส กล่าวต่อว่า ถ้าเกิดนายวันนอร์ฯ ได้เป็นประธานสภาจริง ๆ พรรคก้าวไกลต้องตอบตัวเองว่า ตำแหน่งประธานสภา ต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ถ้าไม่ได้แล้วจะอย่างไรต่อ จะอธิบายประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคอย่างไร  อีกประเด็นจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าในอนาคตว่า MOU ที่ลงนามกันด้วยความชื่นมื่นเป็นเกมลวงทางการเมืองหรือไม่!!!

หลังจากนี้ตนมองว่า ก้าวไกลคงต้องเดินหน้าสู้ อยู่ ๆ จะไปยกตำแหน่งประธานสภาให้คุณวันนอร์ฯ ตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย มันก็จะดูเป็นยอมง่ายไป จะไปอธิบายประชาชนที่เลือกตนเข้ามาทั้ง 14 ล้านเสียงอย่างไร สู้แล้วแพ้ยังพอตอบประชาชนได้ ครั้งนี้พรรคก้าวไกลต้องตอบโจทย์ที่พรรคเพื่อไทยโยนมาให้แล้วว่า จะเดินเกมยังไงต่อ แต่ที่แน่ ๆ พรรคก้าวไกลไม่น่าจะพร้อมเป็นฝ่ายค้าน เพราะเดินสายขอบคุณในนามพร้อมจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นต้องมองว่าพรรคก้าวไกลจะไปร่วมรัฐบาลในบริบทไหน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ต้องน่าจับตามอง

เรื่อง: พัฒน์นรี ชัยเดชารัตน์ Content Manager

‘พีระพันธุ์‘ ผู้คืนรอยยิ้ม 78 ครอบครัว ‘ชาวนาพรหมพิราม’ หลังต้องต่อสู้กับนายทุนเบี้ยวเงินค่าข้าวอย่างไร้ความหวังนานถึง 11 ปี

ไม่มีน้ำตาที่พรหมพิราม…ย้อนไปถึงกรณีการช่วยเหลือชาวนา 78 ครอบครัว ที่ อ.พรหมพิราม และ อ.เมืองพิษณุโลก ซึ่งขายข้าวให้นายทุนแต่ไม่ได้รับเงินจำนวนรวมกว่า 2 ล้านบาท และต้องต่อสู้อย่างไร้ความหวังมานานกว่า 11 ปี  จนกระทั่งเรื่องนี้มาถึงกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมี ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการในขณะนั้น

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2541 เมื่อชาวนา อ.พรหมพิราม และ อ.เมืองพิษณุโลก จำนวน 78 ราย นำข้าวไปขายที่ท่าข้าวแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับเงินจากนายทุนที่รับซื้อเป็นจำนวนรวมกว่า 2 ล้านบาท พวกเขาต่อสู้ในกระบวนการทางศาลมานานกว่า 11 ปี แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ต้องเป็นหนี้ค่าปุ๋ย เป็นหนี้ ธกส. อีกทั้งยังได้ยืมเงินวัด 1 แสนบาท มาเป็นค่าทนายความ แต่สุดท้ายก็แพ้คดีฟ้องร้อง ไม่มีเงินคืนวัด พวกเขาจมอยู่กับความทุกข์ ความเครียด ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา จนกระทั่งเรื่องนี้มาถึงกระทรวงยุติธรรม

‘พีระพันธุ์’ ซึ่งตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ในขณะนั้น คืนความเป็นธรรมให้กับชาวนาได้สำเร็จโดยใช้กลไกของภาครัฐ  ผ่าน‘กองทุนยุติธรรม’ ซึ่งเป็นกองทุนที่กระทรวงยุติธรรมจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิในการดำเนินคดีของคนยากจน ที่ไม่มีเงินค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม อาทิ การวางเงินค่าธรรมเนียมศาล ค่าจ้างทนายความในคดี ค่าประกันตัวเพื่อต่อสู้ในคดีอาญา และค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ 

'พีระพันธุ์' ในฐานะ รมว.ยุติธรรม ได้ออกประกาศระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2553 ที่ได้รับการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มช่องทางการช่วยเหลือประชาชนให้มากขึ้น โดยในกรณีนี้ กองทุนยุติธรรมได้ทดรองจ่ายเงินเพื่อเยียวยากลุ่มชาวนาทั้ง 78 ครอบครัว เป็นเงินกว่า 2 ล้านบาท และใช้หลักรับช่วงสิทธิจัดหาทนายเพื่อดำเนินคดีต่อ 

“ช่วงนั้นกระทรวงยุติธรรมเรามีกองทุนยุติธรรม ผมก็เลยมาปัดฝุ่นกองทุนยุติธรรม แก้ไขกฎระเบียบหลักเกณฑ์ ใช้หลักรับช่วงสิทธิ ผมเอาเงินกองทุนยุติธรรมให้ชาวนากลุ่มนี้ 2 ล้านกว่าบาท คุณช่วยชีวิตคนได้ทันที 70 กว่าครอบครัว แล้วกระทรวงยุติธรรมก็รับช่วงสิทธิจัดทนายเข้าไปช่วยดูแลคดี...ชาวบ้านเขาก็มีความสุข ได้รู้สึกว่าสังคมมีความเป็นธรรมกับเขา เราเพียงแค่เอาเงินราชการออกให้เขาไปก่อน แล้วเราก็สู้คดีกับเขา เขาก็ได้เงินมา สังคมก็อยู่ได้ เขาก็หมดทุกข์ แค่นี้เอง”  

นี่คือส่วนหนึ่งของหลักคิดและแนวทางการแก้ปัญหาแบบ 'พีระพันธุ์' ที่พร้อม “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” ตลอดมา

‘พีระพันธุ์‘ ผู้ยื่นมือฉุดครอบครัว ’เรณู เนียนเถ้อ‘ จากฝันร้าย ช่วยพลิกคดีคืนอิสรภาพให้กับลูกชายของเธอที่ถูกกล่าวหาฆ่าคนตาย

เรื่องราวของ นางเรณู เนียนเถ้อ ชาวบ้าน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูกชายวัย 17 ปี ที่ถูกกล่าวหาในคดีฆ่าคนตายและถูกตัดสินประหารชีวิต เธอได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จนสามารถพลิกคดีและคืนอิสรภาพให้กับบุตรชายของเธอได้ในที่สุด

กรณีนี้ย้อนไปในปี 2553 เมื่อ ‘พีระพันธุ์’ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนางเรณู เนียนเถ้อ ชาวบ้านจาก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อขอความเป็นธรรมให้ นายอนุสรณ์ เนียนเถ้อ ลูกชายของเธอ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 17 ปี และถูกกล่าวหาในคดีฆ่าคนตายเมื่อปี 2551 ก่อนถูกศาลชั้นต้นพิพากษาตัดสินประหารชีวิตในปี 2553 

เรณูพยายามช่วยลูกชายทุกวิถีทาง เพราะเธอเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูก และผิดหวังกับการทำงานของตำรวจที่ไม่ยื่นหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ที่จะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนายอนุสรณ์  

ในช่วงเวลานั้น เธอและครอบครัวมีความทุกข์มาก มีแต่ฝันร้าย เหมือนตายทั้งเป็น อีกทั้งยังถูกทนายความหลอกเงินเอาไปหลายแสนบาทเพื่อวิ่งเต้นคดี แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

แต่ในช่วงเดือนกันยายน 2553 ระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์ เรณูก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านให้ยื่นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ รมว.ยุติธรรม ซึ่งเดินทางมาตรวจราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหลังจากนั้นแค่เพียงเดือนเดียว เธอก็ได้รับการติดต่อจากทีมงานของพีระพันธุ์ ซึ่งได้ประสานงานให้ทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มาตรวจสอบคดี และร่วมทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานใหม่ โดยเฉพาะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยได้

แต่ระหว่างที่กำลังรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ อยู่นั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือประหารชีวิต นางเรณูจึงยื่นฎีกาคดีด้วยหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบเพิ่มเติม และในอีก 3 เดือนต่อมา ศาลฎีกาก็พิพากษายกฟ้องให้นายอนุสรณ์เป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากที่ต้องถูกจำคุกเพื่อรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์เป็นเวลาถึง 4 ปี 9 เดือน

“กรณีที่สุราษฎร์ก็คือ ลูกชายถูกกล่าวหาว่าไปฆ่าคน แต่แม่เชื่อว่าลูกตัวเองบริสุทธิ์ เขาก็ต้องดิ้นรน แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน เมื่อเรื่องมาถึงผม ผมก็ตรวจสอบ เราก็พยายามเอาหน่วยงานของเราเข้าไปหาพยานหลักฐาน หาอะไรต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเขา การที่คนคนหนึ่งจะต้องถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำความผิด มันไม่ได้เป็นแค่ความทุกข์ใจของเขาเท่านั้น แต่มันเป็นความทุกข์ใจของครอบครัว มันอาจจะสร้างความเจ็บแค้น ความอาฆาตพยาบาท นำไปสู่การล้างแค้นกัน นำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ อีกหลายอย่าง การที่เราจะช่วยใครสักคนคนหนึ่งนั้น มันไม่ได้เพียงแค่ช่วยใครหนึ่งคน แต่ผลที่ตามมามันจะเป็นการช่วยสังคม ช่วยชุมชนให้เกิดความสามัคคีปรองดอง เกิดความเข้าใจและรู้สึกถึงความเป็นธรรมในสังคมที่เขาอยู่กันได้ ผมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของความเป็นธรรมในสังคม ความเหลื่อมล้ำ และการที่ไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของสิทธิต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการที่ช่วยให้คนออกจากความทุกข์ที่เขาไม่ได้ทำ” 

นี่คือ วิสัยทัศน์ของ ‘พีระพันธุ์’ ในการให้ความช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนด้วยความเชื่อมั่นว่า การช่วยคนหนึ่งคนก็จะเป็นการช่วยสังคมด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top