Sunday, 15 June 2025
PoliticsQUIZ

‘หมอเอก' ก้าวไกล จี้ถาม ‘อนุทิน’ สรุปเรื่องวัคซีน COVAX จะเอายังไงแน่? ในแผนบอกจะซื้อ แต่เจ้าตัวพูดเหมือนจะไม่ซื้อแล้ว? ชี้ทำสังคมสับสน

นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เขต1เชียงราย พรรคก้าวไกล ระบุว่า เรื่องวัคซีนที่เป็นความหวังอาจจะเพียงหนึ่งเดียวที่จะพาเราให้หลุดออกจากความทุกข์ยากของมาตรการการจัดการโควิดของรัฐบาล ทำให้ประชาชนกลับมาทำมาหากินได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่มีความสับสนไม่ใช่เพราะมีผู้ตั้งคำถามต่อการจัดการวัคซีนของรัฐบาลหากแต่เป็นเพราะการชี้แจงของรัฐบาลไม่ชัดเจนและข้อมูลไม่ตรงกันกับข้อมูลที่เคยนำเสนอไว้ในที่ต่างๆ

นอกจากประเด็นเรื่อง AstraZeneca กับ Siam Bioscience และเรื่องวัคซีนจีนอย่าง Sinovac แล้วนายแพทย์เอกภพยังกล่าวว่าตนมีข้อสงสัยอีกมากมายที่รัฐบาลควรต้องเปิดเผยออกมาให้ชัด ไม่ต้องให้มีคนสงสัยอีก อะไรที่ผิดพลาดก็ยอมรับว่าผิดพลาดแล้วรับผิดชอบไปซะแล้วก็เริ่มเดินหน้าจัดการให้ถูกต้อง

หนึ่งช่องทางของการได้วัคซีนที่มีหลายประเทศใช้และมีการนำเสนอในที่ประชุมกรรมาธิการสาธารณสุขเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 คือช่องทางขององค์การอนามัยโลกที่ชื่อว่า COVAX เป็นช่องทางที่เปิดให้ประเทศผู้ซื้อมาลงทะเบียนเพื่อเสนอว่าต้องการซื้อปริมาณเท่าไหร่

จากการชี้แจงวันนั้นแจ้งว่ามีแผนจัดซื้อวัคซีนจาก COVAX รวม 26 ล้านโดสใน 3 ปี

แต่ในการแถลงช่วงหลังกลับบอกว่ายังไม่ได้มีการขอจัดซื้อวัคซีนจาก COVAX ด้วยข้ออ้างที่ว่าเขาจะให้กับประเทศรายได้น้อยก่อน

ซึ่งเมื่อเปิดดูในเอกสารของ COVAX และดูในเว็บไซต์ https://www.gavi.org/vaccineswork/covax-explained ก็ได้ข้อมูลว่า

All participating countries, regardless of income levels, will have equal access to these vaccines once they are developed.

หมายความว่า COVAX ไม่ได้มีการจำกัดว่าจะให้เฉพาะประเทศที่มีรายได้น้อย แต่เปิดโอกาสให้กับทุกประเทศที่จะเข้าถึงวัคซีนได้ โดยในเว็บไซต์ยังให้ข้อมูลว่ามี 78 ประเทศรายได้สูงเข้าร่วมในโครงการนี้ด้วย

มีอีกประเด็นที่สำคัญซึ่งนำเสนอไว้ในเว็บไซต์เป็นวันที่สำคัญ 18 กันยายน 2563 เป็นวันที่ต้องทำสัญญาเข้าร่วมโครงการ เมื่อวันที่9 ตุลาคม 2563 เป็นกำหนดการจ่ายเงินมัดจำ ซึ่งดูเหมือนว่าจนถึงปัจจุบันทางการไทยก็ยังไม่สามารถปิดดีลนี้ได้(อ้างอิงข้อมูลจาก COVAX ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)

นอกจากนี้นายแพทย์เอกภพกล่าวว่าตนได้ติดตามเนื้อหาที่สุดคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เนื้อหาตอนหนึ่งว่า “กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92ประเทศ แต่ไทย ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า”

การสื่อสารเช่นนี้ คุณอนุทินกำลังจะบอกว่า เราเปลี่ยนแผน และจะไม่รับวัคซีนจาก COVAX แล้วใช่หรือไม่? จะเปลี่ยนแผนเป็นอย่างไรบ้าง? หรือจะยังมุ่งหน้าเจรจาอยู่? แล้ววัคซีนที่น่าสนใจตัวหนึ่งของ Johnson&Johnson ที่ฉีดเข็มเดียวก็อยู่ใน COVAX นั้นทางเราได้มีการเจรจาตรงกับบริษัทนี้หรือไม่? ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เคยได้รับความโปร่งใสชัดเจนในข้อมูลและแผนการจากทางรัฐบาล จึงไม่แปลกใจที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่นรัฐบาลและเห็นว่ารัฐบาลกลับไปกลับมา ไม่มั่นคงแน่วแน่ในแนวทางการบริหารจัดการ

ผมติดตามและดูการทำงานแล้วเห็นความพยายามและความตั้งใจของนักวิจัย ความพยายามของสถาบันวัคซีน บุคลากรสาธารณสุข แต่ในความพยายามนั้นกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากระบบระเบียบราชการและจากผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์อย่างคุณประยุทธ์เลย นายแพทย์เอกภพกล่าว

อัยการนัดฟังคำสั่ง ‘เอกชัย’ กับพวกผิดประทุษร้ายพระราชินีหรือไม่ 25 ก.พ.นี้ ส่วน ‘สมยศ’ กับ ‘หมอลำเเบงค์’ ขึ้นปราศรัยโดนคดี 112 นัดฟังคำสั่ง 9 ก.พ. ชี้ดำเนินคดีเเบบกลั่นแกล้งให้เกิดความลำบาก ถือเป็นการใช้สิทธิกฎหมายไม่สุจริตใจ

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนสน.ดุสิตได้นำตัว นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth), นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ

5 ผู้ต้องหาพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในความผิดฐานประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย ม.215 และกีดขวางการจราจรฯ กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563

โดยภายหลังพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 ได้รับสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเเละนัดฟังคำสั่งในวันที่ 25 ก.พ.64

ขณะเดียวกัน วันนี้ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ทางพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามได้นำนาย สมยศ พฤกษาเกษมสุข เเกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เเละนายปฏิภาณ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ เเนวร่วมกลุ่มราษฎรความเห็นสมควรสั่งฟ้องคดี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

นาย สมยศ กล่าวว่า วันนี้ทางพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามได้ประสานนัดหมายเเจ้งว่า จะนำส่งตัวพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องคดีต่อพนักงานอัยการ โดยคดีนี้มีผู้ต้องหาจำนวนมาก เเต่ทราบว่าพนักงานสอบสวนนัดตนกับนายปฏิภาณหรือ หมอลำแบงค์ โดยตนกับหมอลำเเบงค์โดนเเจ้งข้อหาตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 จากการขึ้นเวทีปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.63 ที่ผ่านมา

ซึ่งตนเข้าใจว่าวันนี้พนักงานอัยการอาจจะมีคำสั่งเลื่อนนัดออกไป เนื่องจากตัวผู้ต้องหาไม่ครบ ตนสงสัยว่าทำไมพนักงานสอบสวนเร่งรัดคดีผิดปกติ อีกทั้งคดีนี้เดิมพนักงานสอบสวนเเจ้งข้อหาเดียวคือความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตามมาตรา116 ซึ่งตนก็ถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำ 20 วัน จึงได้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคือ112 ชี้ให้เห็นว่าเป็นการดำเนินคดีเเบบกลั่นเเกล้งให้เกิดความลำบากในการใช้ชีวิต ถือเป็นการใช้สิทธิกฎหมายไม่สุจริตใจ หลายคนได้รับผลกระทบจากการเดินทางมารายงานตัว

ตนจะร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเนื่องจากข้อความที่ปราศรัยเป็นเจตนาที่ดีที่เรากำลังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ การทำคดีนี้จึงไม่ยุติธรรม เรื่องคดี112 รัชกาลที่9 เเละ10 เองก็ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็เป็นคนพูด

พระองค์มีเมตตาไม่ประสงค์จะดำเนินคดีเเล้ววันนี้มาทำคดี จะหมายถึงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะทำให้คดีนี้เป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติเเละให้เกิดการเผชิญหน้าหรือไม่ ตรงนี้ที่อยากขอความเป็นธรรมกับทางสำนักงานอัยการสูงสุด

โดยภายหลังรับสำนวน ทางพนักงานอัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีนายสมยศกับพวกในวันที่ 9 ก.พ. นี้ เวลา 10.00 น.

'สุริยะ’ เร่งบังคับใช้กฎหมายโรงงานติดตั้งระบบตรวจมลพิษ จากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กำชับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ให้เร่งติดตั้งระบบระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 โดยขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งบังคับใช้กฎหมาย

พร้อมทั้งปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ที่ให้โรงงานประเภทต่างๆ ต้องติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 เพื่อให้สามารถตรวจสอบ ติดตามปริมาณการปลดปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ทันที

สำหรับปัจจุบัน กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ เพื่อขยายขอบเขตการบังคับติดตั้งระบบระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่องทั่วประเทศ คาดว่า จะประกาศใช้ได้ในต้นปี 65 โดยปัจจุบันมีโรงงานเพียง 79 แห่ง หรือ 228 ปล่อง ที่ติดตั้งระบบนี้ เบื้องต้นหากประกาศกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ คาดว่าจะมีโรงงานทั่วประเทศติดตั้งระบบไม่น้อยกว่า 600  แห่ง  จำนวน 1,200 ปล่อง เพิ่มเติมจากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น

‘หมอธีระ’ แนะวิธีปฏิบัติเมื่อเปิดเรียนอีกครั้ง เน้นผู้ปกครองย้ำเด็กถึงอันตรายของโควิด-19 ต้องชินกับการรักษาความสะอาด, เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ ปฏิบัติให้คุ้นเคยจนกลายเป็น New Normal ของทุกคนในครอบครัว

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ถึงการรับมือกับโควิด-19 ในช่วงใกล้เปิดเรียนอีกครั้งให้แก่ผู้ปกครองและเด็กๆ ได้ทราบว่า...

New Normal...New "Me" ของพ่อแม่ลูกเมื่อเปิดเรียน

1. ตื่นเช้ามา เช็คกันสักหน่อยว่าทุกคน"สบายดีไหม?" มีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอบ้างไหม? จมูกดมกลิ่นได้ดี ลิ้นรับรสได้ดีนะ?

ถ้าใครไม่สบาย...ให้อยู่กับบ้าน รับผิดชอบต่อตัวเองครอบครัวและสังคม เท่ห์มาก

2. ย้ำกันเสมอ "ออกจากบ้านมีความเสี่ยงต่อโรค COVID-19" นะ รีบไปรีบกลับ ไม่เถลไถล

3. ทบทวนกันว่า ถ้า"ใช้ห้องน้ำห้องส้วมข้างนอกต้องระวัง" ก็ต้องรักษาความสะอาดดีๆ พ่อแม่และเด็กโตควรใส่หน้ากากเสมอ เด็กเล็กใส่หน้ากากไม่สะดวก ดังนั้นต้องเน้นว่าใช้ห้องน้ำห้องส้วมแล้วต้องรีบไปล้างมือทุกครั้ง

4. แจ้งกันให้ทราบทั่วกันทั้งพ่อแม่ลูก ว่าให้หลีกเลี่ยงการไปใช้ของร่วมกับคนอื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ตะเกียบ โทรศัพท์ ปากกา ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ หรือแม้แต่ขนมอมยิ้มก็ตามแต่

5. เน้นเด็กๆ ว่า "เจอเพื่อนฝูง ทักทายกันได้ตามสมควร แต่ให้สังเกต" ว่าเพื่อนคนไหนที่มีอาการไม่สบาย ไอ จาม ต้องหลีกมาห่างๆ ไม่ไปคลุกคลี และบอกคุณครูให้ช่วยดูแลเพื่อน

6. เตือนเด็กๆ ว่า "อย่าเอามือขยี้ ล้วง แคะ แกะ เกา บริเวณตา จมูก และปาก"

7. "เช็คอาวุธ"ประจำตัวของทุกคนก่อนออกจากบ้าน

• 1) หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ใส่ไว้เสมอเวลาอยู่ข้างนอก

• 2) เจลแอลกอฮอล์แบบพกพา หากลูกๆ ยังเล็ก ไม่สะดวกในการพกหรือใช้ลำบาก ก็เน้นย้ำให้ไปล้างมือบ่อยๆ และล้างทุกครั้งที่ไปจับสิ่งของสาธารณะ

8. ตอนเย็น ไปรับที่โรงเรียน เจอกันพ่อแม่ลูก อย่าเพิ่งดีใจไปกอดหอมกันให้หายคิดถึง

เจอปุ๊บ ทักทายกันก่อนว่า สบายดีไหม? ถ้าดีก็โอเค ถ้าไม่สบายก็ไถ่ถามต่อ และจัดการไปตามระเบียบ

ยัง...อย่าเพิ่งไปกอดหอมกัน ให้คุณพ่อคุณแม่ควักเจลแอลกอฮอล์มาหยดให้ทุกคนล้างมือกันก่อน หรือพากันไปล้างมือที่ห้องน้ำ

จะกอดจะหอมกันได้ เมื่อตอนกลับถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วค่อยทำครับ

เหล่านี้คือ New Normal = New "Me" ที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกควรนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันหลังจากเปิดเรียนนะครับ

อยากให้ทุกคนสุขภาพดี ปลอดภัยจากโรค COVID-19 ครับ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?

‘รมว.แรงงาน’ มอบ ผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่จังหวัดระยอง ติดตามการตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบการ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในวงกว้าง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างผู้ประกันตน มาตรา 33

ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม

จึงได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ตามรัฐบาลกำหนดมาอย่างต่อเนื่อง ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้บูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ

นายสุรชัย ยังกล่าวต่อว่า การตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการเป็นนโยบายของท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ที่จะป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ทำงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมไปถึงร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านบริการต่างๆ อีกทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขในการติดตาม สอบสวนโรค

ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ธุรกิจการท่องเที่ยว และการโรงแรม รวมถึงประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาพื้นที่ในจังหวัดระยองได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการติดเชื้อโควิด - 19 เพราะมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิด - 19 ในทุกมิติ

“การตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในวันนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง และโรงพยาบาลในเครือข่าย ในการเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เชิงรุกให้แก่ผู้ประกันตน มาตรา 33 ประมาณ 530 คน ซึ่งหากพบเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป” นายสุรชัย กล่าวในท้ายสุด

เปิดมาตรการผ่อนปรนศบค. คลายล็อกโควิด ร้านอาหารกทม.นั่งได้ถึง5ทุ่ม แต่ห้ามดื่มสุราผับบาร์ แต่สถานบริการ โรงเรียน ร้านนวด สนามเด็กเล่น ยังคงปิดต่อไป ผ่อนผันตลาด ตลาดนัด สามารถเปิดได้แต่ต้องจำกัดจำนวนคน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงมติที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ถึงมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ว่า…

ทางสมช.ได้เสนอที่ประชุมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด กำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์ ออกเป็น 5 พื้นที่ ประกอบด้วย 1. พื้นที่เฝ้าระวัง 35 จังหวัด 2. พื้นที่เฝ้าระวังสูง 17 จังหวัด 3. พื้นที่ควบคุม 20 จังหวัด 4. พื้นที่ควบคุมสูงสุด 4 จังหวัด และพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 จังหวัด

“สำหรับจังหวัดสมุทรสาคร ยังคงเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม หรือควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยกลุ่มสถานบริการ โรงเรียน ร้านนวด สนามเด็กเล่น ยังคงให้ปิดต่อไป ส่วนตลาด ตลาดนัด สามารถเปิดได้แต่ต้องจำกัดจำนวนคน และเว้นระยะห่าง ขณะที่ร้านอาหารเปิดได้ถึง 21.00 น. นั่งทานที่ร้านได้ โดยงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ในส่วนของ กทม.และปริมณฑล ยังคงอยู่ในพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และยังคงให้ปิดผับบาร์คาราโอเกะ แต่จะคลายล็อคในส่วนของร้านอาหารให้นั่งรับประทานได้ ถึง เวลา 23.00 น. จากเดิมถึงแค่ 21.00 น. โดยจำกัดจำนวนคนต่อโต๊ะและให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้าน แต่สามารถซื้อกลับได้ดื่มที่บ้านได้” น.พ.ทวีศิลป์ ระบุ

‘แรมโบ้’ เตือน ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้อาจตกหลุมพราง-ร่วมทฤษฎีสมคบคิด หวั่นประชาชนเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า แม้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จะบอกว่าไม่ได้เป็นการบังคับ อยู่ที่การตัดสินใจของฝ่ายค้าน แต่นายสมพงษ์ก็ไม่ควรที่จะยื่นญัตตินี้มาอภิปรายฯ

และหากนายสมพงษ์และฝ่ายค้านไม่ยอมถอน และแก้ญัตติเรื่องนี้ เป็นการทำให้เห็นว่านายสมพงษ์ไม่มีความห่วงใยบ้านเมือง คาดการณ์ได้เลยอาจจะมีเหตุการณ์วุ่นวายในสภาฯและนอกสภาฯได้

นายสมพงษ์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพราะตัดสินใจไม่เป็นว่าญัตตินี้ไม่ควรยื่นอย่างยิ่ง และสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าตัดสินใจ กลายเป็นเครื่องมือให้พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ยืมพรรคเพื่อไทยมาเป็นเครื่องมือในการที่จะนำมาอภิปรายเสียดสีสถาบัน คิดได้ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะใช้ "ทฤษฎีสมคบคิด" นั้นด้วย

ตนไม่เคยมั่นใจเลยว่าฝ่ายค้านจะระมัดระวังคำพูดของตนเองในการอภิปรายฯ ที่จะไม่ให้กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่บังควร เพราะเห็นจากพฤติกรรมของ ส.ส. บางคนหรือบางพรรคการเมืองที่มีความคิดคอยแต่จาบจ้วงสถาบันและสนับสนุนคนออกมาบนท้องถนน มีพฤติกรรมที่ทำผิดมาตรา112 ตลอดมา ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านและพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ทราบดี

ขณะเดียวกันขอฝ่ายค้านอย่าโยนให้ประธานฯ ในที่ประชุมเพียงฝ่ายเดียวที่เป็นผู้ดูแลการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย แต่จะต้องแก้ที่ต้นตอด้วย คือฝ่ายค้านไม่ควรนำมาอภิปรายแต่แรกจะดีกว่า เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปได้ด้วยดีและตรงประเด็น เชื่อว่า ส.ส. ฝ่ายค้านแท้จริงแล้วไม่ได้อยากใช้เวทีนี้เพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯหรือรัฐมนตรี เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงนำมาอภิปรายฯ

ขอถามว่าหากมีใครอภิปรายฯ จาบจ้วงสถาบัน นายสมพงษ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ จะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่าบอก ว่าส.ส.ต้องควบคุมตนเอง เพราะมั่นใจว่าไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก ส.ส.บางคนรับงานมาพูดเรื่องสถาบันโดยเฉพาะ

ซึ่งจะไม่สนใจประธานในที่ประชุมอย่างแน่นอน หากมีการพูดพาดพิงสถาบัน แม้ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้ถอนคำพูด ตนเองก็มองว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะได้พูดไปแล้วประชาชนได้ยินทั่วประเทศแล้ว และคนทั้งประเทศที่ได้รับชมรับฟังจากการถ่ายทอดสดจะทำให้เกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก และเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

รมว. คมนาคม ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เร่งเดินหน้าระบบตั๋วร่วมรถไฟฟ้า แบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ คาดใช้ได้เต็มรูปแบบ ม.ค. 65

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 1/2564 วันนี้ (28 ม.ค. 2564) ว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย

1.ระยะสั้น ให้เร่งจัดทำระบบให้บัตรโดยสารที่ประชาชนมีอยู่ในปัจจุบัน สามารถใช้บัตรข้ามระบบได้ ซึ่งเมื่อสามารถใช้บัตรข้ามระบบระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชน และส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระบบสูงขึ้น ทั้งนี้ ให้ รฟม. สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำให้ระบบดังกล่าวแล้วเสร็จโดยเร็ว

2.ระยะยาว มีการพิจารณาความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดทำระบบตั๋วร่วมแบบ Account Based Ticketing (ABT) โดยใช้บัตร EMV Contacless (Europay Mastercard and Visa) มาใช้กับระบบตั๋วร่วม โดย รฟม. มีความพร้อมที่จะร่วมมือกับสถาบันการเงินที่มีระบบ EMV ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารกรุงไทย ที่แจ้งว่ามีความพร้อมที่จะลงทุนในระบ EMV ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ประกอบการมาใช้บริการของธนาคารกรุงไทย สำหรับสายสีม่วง และสายสีน้ำเงิน โดยใน ต.ค. 2564 จะใช้ได้ประมาณ 50% และจะใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน ม.ค. 2565

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุม คนต. ยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม 2 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมองค์กร โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีการออกตั๋วร่วม มาตรฐานเทคโนโลยีระบบงาน มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล มาตรฐานความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และมาตรฐานการดำเนินงานของระบบงาน

และ 2.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการจัดเก็บค่าธรรมเนียม มาตรฐานการจัดสรรรายได้ มาตรฐานอัตราค่าโดยสารในกรณีใช้อัตราค่าโดยสารร่วม และกรอบมาตรฐานค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และการเจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการ

ขณะเดียวกัน ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมบูรณาการความร่วมมือและความต้องการของประชาชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดและการพัฒนาระบบการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง ตามหลักธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับระบบตัวร่วมทั้งหมดที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้พิจารณาถึงการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมพัฒนาระบบตั๋วร่วมได้ รวมถึงการพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติในรูปแบบ M-Flow ตลอดจนดำเนินการกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือน ก.พ. 2564


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top