Tuesday, 8 July 2025
PoliticsQUIZ

‘เสกสกล’ ร้อง ‘ชวน’ สอบ 3 ส.ส. ขัดจริยธรรม ปมใช้ข้อมูลเท็จซักฟอก แฉ ขบวนการคนทางไกลใช้ 2 พันล้านล้ม ‘บิ๊กตู่’ เปิดตัวย่อพร้อมเส้นทาง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบ 3 ส.ส. โดยมี นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายเสกสกล กล่าวว่า จะขอให้นายชวนตรวจสอบ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ฐานใช้หลักฐานอันเป็นเท็จในการกล่าวหากองทัพและใช้ไอโอเอกสารประกอบการอภิปรายเป็นเอกสารปลอม ซึ่งได้ไปยื่นแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว 

คนที่สอง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายด้วยการตกแต่งตัวเลขผู้ป่วยและผู้หายป่วย แล้วนำไปกล่าวหานายกฯ และรมว.สาธารณสุข ทำให้เกิดความเสียหาย 

คนที่สาม นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่ระบุพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม จ่ายเงิน 5 ล้านให้ส.ส.สนับสนุนลงมติ ซึ่งตนเห็นว่าบุคคลดังกล่าวสติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอย 

เพราะคราวก่อนลูกสาวเตรียมลงสมัครนายกฯ อบจ.ที่จังหวัดเชียงรายก็ทำให้เกิดกระแสดราม่าโดยการกรีดเลือดในสภา จนทำให้ประชาชนประณามว่าเป็นส.ส.ที่ไม่ทรงเกียรติ เมื่อมีสติไม่สมประกอบแล้วยังไปพูดในห้องประชุมสภาทำให้ประชาชนรับไม่ได้อีก จึงขอยื่นให้นายชวนตรวจสอบ กรณีฝ่าฝืนข้อบังคับขัดมาตรฐานทางจริยธรรม ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับมาตฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้คณะกรรมการจริยธรรมของสภาได้ตรวจสอบ 3 ส.ส. ก่อนที่จะส่งไปดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินคดีอาญา ขณะเดียวกันก็ได้มีบุคคลไปแจ้งความร้องทุกข์นอกสภาแล้วเพื่อให้ดำเนินคดีเนื่องจากอภิปรายทำให้เกิดความเสียหายส่วนตัว ส่วนเอกสิทธิคุ้มครองนั้นก็คุ้มครองได้เพียงบางเรื่อง 

นายเสกสกล กล่าวว่า การที่นายวิสาร พูดกล่าวหานายกฯ จ่ายเงิน 5 ล้านให้ส.ส. คงเป็นเพราะเคยเห็นมาในอดีต เพราะคนในอดีตเคยมีการกระทำเช่นนี้ ขอถามกลับไปยังนายวิสารว่า นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย เคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ใช่หรือไม่ จึงมากล่าวหานายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางจะทำการอย่างนี้ เพราะประชาชนทราบดีว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนอย่างไร ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริตคอร์รัปชันหรือเล่นการเมืองสกปรก จึงได้นำมากล่าวหานายกฯ ในสภาฯ ซึ่งเป็นความเสียหายที่ร้ายแรง เป็นการกล่าวหาอันเป็นเท็จ 

‘ผมมีข้อมูลที่มีสายข่าวรายงานว่าคนทางไกลชื่อย่อ ‘ท’ ‘ด’ กำลังเคลื่อนไหวผ่านกลไกพรรค ‘พ’ ให้อดีตรัฐมนตรี ‘ว’ ที่เป็นอดีต ส.ส.ภาคเหนือ ให้นำเงินมาวางให้พรรคเล็กพรรคน้อยแล้ว แต่ส.ส.พรรคเล็กกำลังตัดสินใจว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปจึงยังไม่กล้าไปรับเงินดังกล่าว โดยวางมัดจำก่อน 2 กิโลกรัม ซึ่งเงินมัดจำทั้งหมดวางที่บ้านส.ส.พรรคเล็กอักษรย่อ ‘พ’ ซึ่งเป็นขบวนการที่ล้มนายกฯ ของคนทางไกลที่เตรียมเงินไว้ล้ม 2,000 ล้าน ประกอบกับความเคลื่อนไหวของม็อบที่สี่แยกอโศกนำโดยอดีตรัฐมนตรี ‘ต’ เพราะคาดว่าเกมนี้จะเดินสำเร็จ เป็นการเคลื่อนไหวนอกประเทศ บนถนน ในสภาฯ เพื่อล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ นี้คือวิธีการเล่นการเมืองด้วยวิธีเดิม ๆ เหมือนในอดีตที่เคยไปลืมถุงขนมที่ศาลมาแล้ว 

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม EEF เสนอกุญแจสำคัญ 3 ดอก สู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังโควิด-19 

ตามเวลาประเทศไทย (ซึ่งตรงกับเวลา 18.08 น. ของเมือง Vladivostok) ที่มหาวิทยาลัย Far Eastern Federal เมือง Vladivostok สหพันธรัฐรัสเซีย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม Eastern Economic Forum (EEF) ครั้งที่ 6 ในช่วงการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ภายใต้หัวข้อ “Through crisis towards rejuvenation” A search for ways of growth in a post-pandemic period ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการประชุม EEF ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างผู้นำร่วมกันหาแนวทางสู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ทางออกจากวิกฤตโควิด-19 ที่หลายประเทศกำลังเผชิญรวมทั้งไทยคือ การที่ทุกประเทศสามารถเข้าถึงและมีการกระจายวัคซีนได้อย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำและเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลก และขอให้ประเทศที่มีวัคซีนเพียงพอแล้ว แบ่งปันและเร่งกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคโดยเร็ว  
 
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับประชากรในประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนชนิดต่าง ๆ ซึ่งบางโครงการอยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ มีผลที่น่าพอใจ จึงเห็นได้ว่า ไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางการกระจายวัคซีนของภูมิภาค 
 
จากสถานการณ์โควิด-19 IMF และธนาคารโลกได้รายงานตัวเลขคนยากจนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100 ล้านคนในปี 2020 ตอกย้ำความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นและจะดำเนินต่อไปถึงยุคหลังโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นช่องว่างของการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศจึงต้องร่วมกันยึดมั่นระบบพหุภาคีนิยมและเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้นบนพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอมุมมองของไทยเกี่ยวกับกุญแจสำคัญ 3 ดอก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ภายใต้วิถีปกติใหม่ ดังนี้ 
 
กุญแจสำคัญดอกแรก คือ การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการรักษาสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความเท่าเทียมทางสังคม และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยไทยได้ประยุกต์ใช้ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ Bio-Circular-Green Economy (BCG) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการต่อยอดความเข้มแข็งของไทยในด้านเกษตรกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งไทยยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกประเทศ 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สอง คือ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมและแรงงาน รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ห่วงโซ่อุปทานระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม MSMEs โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนการค้ารูปแบบเดิมให้เป็นการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะการปรับกฎระเบียบของภาครัฐให้รองรับการค้าแบบดิจิทัล การปรับโครงสร้างภาคแรงงานที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ได้ ซึ่งรวมถึงการ upskill และ reskill ตลอดจนเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคเพิ่มเติม รวมถึงสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยจะเดินหน้าหารือกับประเทศสมาชิก EAEU รวมทั้งรัสเซีย และคาซัคสถานต่อไป 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สาม คือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน ซึ่งไทยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างดีเลิศ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ทันสมัย พร้อมเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยส่งเสริม นอกจากนี้ การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไทยได้ดำเนินโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus พร้อมเสนอให้มีการหารือเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติด้านการเดินทาง และการใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกและกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่จะมีขึ้นในอนาคต 
 
วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง การจะกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมได้นั้น ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจอย่างจริงจังในทุกระดับซึ่งไทยได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ทั้งในกรอบ UN และองค์กรระดับภูมิภาค โดยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ในปีหน้า ไทยจะผลักดันวาระที่มุ่งไปสู่การฟื้นตัวหลังโควิด-19 โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว และการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งต้องขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยหวังจะขับเคลื่อนภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

'ดร.สันต์' ชี้!! หากไทยติด 5-6 ล้าน ค่าเฉลี่ยตายต้อง 5% แต่กดได้ 1% สะท้อนความจริงคือคนไทยต่างร่วมมือ

ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าภายในประเทศ ระบุว่า... 

Covid-19 : บทเรียนจากชัยชนะของไต้หวัน 'สัจพจน์' ที่เราได้จากตัวเลขที่นั่น เพื่อพิสูจน์ความจริงและความลวงในบ้านเรา 

>> เรื่องราวของไต้หวัน:
ไต้หวันเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการระบาดของ Alpha อย่างหนักหน่วง และสามารถเอาชนะมันได้แบบลงสู่ Zero New Case ด้วยมาตรการในแบบฉบับ Lockdown ล้วน ๆ ยาวนาน 3 เดือน โดยแทบไม่มีวัคซีนช่วยเลย 

ไม่เคยมีใครทำได้ ประเทศที่สามารถคุม Alpha ได้สำเร็จ คือ คุมไม่ให้ระบาดหนักแต่แรก ในประเทศอื่น ๆ ที่ระบาดหนักแล้วกดลงได้ ก็ไม่เคยกดลงจนเป็นศูนย์ได้เลย 

ข้อมูลที่ไต้หวันมีความสำคัญและเที่ยงตรงมากเพราะ ไต้หวันมีการตรวจเชื้อมหาศาล ในระดับที่เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าไม่มีตกหล่น 

ไต้หวัน Test ไปถึง 5 ล้านครั้งในระดับผู้ติดเชื้อ 16,000 คิดเป็น %Positive แค่ 0.32% เทียบกับไทยเราที่ติดเชื้อไป 1.2 ล้าน เพิ่งตรวจไปได้แค่ 8 ล้านกว่าคนเท่านั้น 

กราฟชัยชนะของไต้หวันจึงเป็น Sample ของ Full Wave ของ Alpha ที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทำให้เราทราบคุณสมบัติต่าง ๆ ของไวรัสครบถ้วน  

>> สัจพจน์:
1.) การลงสู่ Zero New Case เป็นไปได้สำหรับ Alpha ใช้เวลาไม่นานและคุ้มค่าแก่การรอคอย ไต้หวันทำได้ใน 3 เดือนด้วย Lockdown Level 3 โดยที่ยังไม่ได้ใช้ระดับสูงสุดคือ Level 4 เลยด้วย  

2.) ถ้าระบาดวงกว้างแล้วคุมไม่ทัน อัตราการตายจะสูงมากระดับ 5% ไต้หวันล้มเหลวในการคุมการระบาดช่วง 20 วันแรกที่ไม่ยอม Lockdown ทำให้การแพร่ระบาดเป็นวงกว้างไม่ทันตั้งตัว โดยการติดเชื้อตั้งแต่ พ.ค. ประมาณ 15,000 เสียชีวิตถึง 825 คน คิดเป็น 5.5% อัตราการเสียชีวิตสูงมากสำหรับประเทศที่มั่งคั่งแบบไต้หวัน ในขณะที่ Wave ก่อนหน้าที่คุมได้เร็ว ติดเชื้อแค่ 1,130 คน เสียชีวิต 12 คน คิดเป็นแค่ 1% 

3.) Time Constant ของกราฟ %Increase ในการลงสู่ Zero New Case คือ 9.1 เท่ากับที่จีนและไทยเคยทำไว้ใน Wave ของไวรัสอู่ฮั่น หมายถึงการ Lockdown จริงจังยังมีประสิทธิภาพมากกับ Alpha 

บทพิสูจน์ความจริงความลวงในประเทศไทย:
ประเทศไทย ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 70.7% ส่วนไต้หวัน ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 71.96 % มีโครงสร้างประชากรคล้ายกัน

ปัญหาที่ 1.) ตัวเลขรายงานผู้ติดเชื้อต่ำกว่าความจริงมาก? ของจริงน่าจะติดเชื้อระดับ 5-6 ล้านคนแล้ว?  
>> เฉลย: ถ้ามีการติดเชื้อที่ Undetected ขนาดนั้น ก็จะเป็นการระบาดไปทั่วที่ไม่ได้ควบคุม จะมีอัตราการตายที่มากกว่า 5% คือมีคนตายระดับมากกว่า 300,000 คนภายใน 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าคงไม่ใช่ เพราะคงเก็บศพไม่ทันแน่นอน จะต้องเป็นภาพของศพเกลี่อนทุกมุมถนน 

ปัญหาที่ 2.) เราอาจจะเข้าใกล้ Herd Immunity แล้วคือติดเชื้อ 30 ล้านคนภายในปีนี้? และที่เหลือก็คือด้วยวัคซีน เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่น ๆ 
>> เฉลย: ถ้าติดเชื้อ 30 ล้านคนภายใน 3-4 เดือน ก็คือจะตายกัน 1,500,000 คนขึ้นไป ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าเกิดขึ้นไม่ไหวแน่ และไม่มีไข้หวัดใหญ่ธรรมดาใด ๆ จะฆ่าเราได้เกลื่อนขนาดนี้ 

ปัญหาที่ 3.) ตายด้วยอุบัติเหตุมากกว่า คนจะอดตาย ฆ่าตัวตายมากกว่า จะกลัวโควิดกันมากเกินไปมั้ย เปิดเศรษฐกิจไปเลย Herd Immunity ไปเลยไม่ต้องรอวัคซีน?
>> เฉลย: ต้องจำไว้ว่าอัตราการตายจะคือ 5% โดยที่เกิดจากการใช้ชีวิตปกติ คุณอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ออกไปขับรถซิ่งคุณก็ตายได้ คุณไปกินข้าวในร้านอาหารคุณก็ตายได้ คุณไปทำงาน ไปเดินห้างก็ตายได้ ไวรัสเลือกคุณให้ตายไม่ใช่คุณเลือกที่จะเสี่ยงหรือจะจบชีวิตตัวเอง และจะตายกันมากกว่าเยอะถ้าเล่น Herd Immunity แบบไม่ใช้วัคซีน

บทสรุป
ปัญหาที่ 4.) บุคลากรสาธารณสุขไทย และระบบสุขภาพของไทยเอาไม่อยู่?

>> ต้องบอกตามตรงว่า ประเทศที่ตัวเลขการระบาดมาถึงจุดนี้แล้วและมาเร็วขนาดนี้ แต่ยังสามารถรักษาอัตราการเสียชีวิตไว้ที่ระดับ ต่ำกว่า 1% ได้นี่คือหายากมาก 

เรามีอัตราการเสียชีวิตต่ำมากทั้ง ๆ ที่การระบาดเกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 2-3 เดือน ขณะที่ไต้หวันซึ่งมีคุณสมบัติทางสังคมหลาย ๆ อย่างคล้ายเรา มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 5.5% ทั้งที่การระบาดไม่มากเท่าเรา 

เราต้องรับรู้จริง ๆ นะครับว่า ถ้าบุคลากรสาธารณสุขไทย ไม่ทุ่มเทสุดตัวขนาดนี้ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน รวมทั้งประชาชนทั่วไปไม่มากขนาดนี้ ไม่มีทางที่เราจะช่วยผู้คนเอาไว้ได้มากมายหลายหมื่นชีวิตแบบนี้แน่นอน 

ไม่มีข้อเฉลยใดที่จะสำคัญไปกว่าข้อที่ 4 นี้อีกแล้วครับ มันสำคัญมากที่เราต้องรู้ และต้องขอบคุณพวกเขาจริง ๆ ครับ ซึ่งพวกเขายังไม่ได้พักกันเลยตลอด 4 เดือนแล้ว 

>> และคำขอบคุณที่ดีที่สุด คือ อย่าเพิ่งรีบออกจากบ้านไปเสี่ยงรับเชื้อเพราะอดใจไม่ไหวแล้ว

>> ขอให้อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่าครับ อีกไม่นานเกินรอครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000921874426/posts/6379240792116587/

สถานทูตจีนในไทย​ เรียกร้อง!! ยุติด้อยค่า​ 'วัคซีนจีน'​ หลังบางกลุ่ม มุ่งทำร้ายความหวังดีจีนไม่เลิก

ไม่นานมานี้​ ทางเฟซบุ๊ก Chinese​ Embassy Bangkok​ สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน​ ประจำประเทศไทย​ ได้โพสต์ข้อความว่า... 

คัดค้านการกล่าวหาวัคซีนจีนโดยไร้เหตุ
โดย โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย

ปีนี้ ประเทศจีนได้ส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยได้พยายามเอาชนะกับความยากลำบากที่ความต้องการในการใช้วัคซีนภายในประเทศยังสูงอยู่ และจำนวนวัคซีนที่ผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งวัคซีนจีนทุกโดสก็เป็นมิตรไมตรีจิตรอันจริงใจที่รัฐบาลและประชาชนจีนมีต่อรัฐบาลและประชาชนไทย

วัคซีนที่ฝ่ายจีนส่งมอบให้ฝ่ายไทยนั้น ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ และได้ผ่านการวิจัยและทดลองในมนุษย์ในระยะต่างๆ ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของไทยอย่างเคร่งครัด เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีการรับรองคุณภาพ

การกลายพันธุ์ของตัวไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่บริษัทผลิตวัคซีนของจีนติดตามโดยตลอด บริษัทซิโนแวคได้ทำการทดสอบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ระหว่างเซรั่มของผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคกับไวรัสกลายพันธ์ุต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลออกมาอย่างดี 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศชิลีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาล อาการหนักและเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 86% 

ผลการวิจัยของรัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ถึง 92% และ 95% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธ์ุเป็นอย่างดี ไม่ใช่วัคซีน “คุณภาพต่ำ” ตามที่กล่าวหาอย่างแน่นอน

เมื่อเร็วๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด

>> สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้อง​ ยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้

ฝ่ายจีนยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยต่อไป โดยยึดมั่นในความจริงใจและความหวังดีอย่างมากที่สุด ให้ความช่วยเหลือกับฝ่ายไทยในการต่อสู้กับโรคระบาด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเอาชนะกับโรคโควิด-19 โดยเร็ว และกลับคืนสู่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตและทำงานในเร็ววัน

ที่มา: https://www.facebook.com/846555798724560/posts/4352763731437065/

กล้าพอไหม? ถามใจ​ 'ลุง​ -​ ลุง​ -​ ลุง​'​ ดู!!

หลังละครโรงใหญ่ของบรรดาผู้ทรงเกียรติริมน้ำเจ้าพระยา​ จบการแสดงลง...

ผลตอบรับใน 6 ตัวแสดงหลักฟากผู้คุ้มกฎหมายประเทศ​ ก็ได้รับความไว้วางใจไปตามบทที่ควรจะเป็น...

อาจจะมีแต้มรับรองหล่นหายไปมากบ้าง น้อยบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็ไม่ได้มาจากคมเขี้ยวฝ่ายค้าน​ช่วยเปิดแผลอะไรใด ๆ นอกจากมาแสดงลิเกแข่งกับตัวแสดงหลักทั้ง 6 คน

ถึงกระนั้น​ เสียงโหวตในครั้งนี้​ ก็มีคำถามให้หวนมองไปถึงท่าทีของตัวแสดงหลัก โดยเฉพาะเจ้าของคณะที่เกือบหงายหลัง​ เพราะมีทีมงานเล่นไม่ซื่อ แอบไปขายตั๋วผีหน้างานดักซะงั้น!!

เหตุการณ์ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเฉพาะเรื่องของการโหวตไว้วางใจนั้น​ ไม่ใช่สิ่งผิดคาด!!

หากไม่มีใครคิดคดหยิบตั๋วหลักหน้าเวทีไปขายเพื่อต่อรองอะไรบางอย่าง ? หรือพูดง่าย ๆ​ ก็คือมีข่าวการล็อบบี้ผลโหวตเพื่อโค่นนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคนในพรรคพลังประชารัฐ

ตัวละครที่วันนี้เชื่อว่าคงไม่ลับอะไรมากนักแล้วอย่าง 'แก๊ง 4 ช.'​ หรือ​ 4 รัฐมนตรีช่วย​ จึงได้ฉายแสงเต็มสตรีม นำโดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, นางนฤมล ภิญโญศีลวัฒน์ รมช.แรงงาน, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม โดยสมาชิกกลุ่ม4ช. อีกคนคือ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่ไม่ได้ร่วมกันก่อการในครั้งนี้

ว่ากันว่า​ เหตุของเหตุ​ มาจากผู้กองธรรมนัสอยากให้เกิดความสั่นสะเทือน​ จนสามารถเชื่อมคนแดนไกลเจ้าของพรรคฝ่ายค้านตัวจริงอย่าง Tony ลูกพี่เก่าให้มาร่วมสังฆกรรมด้วย

การสั่นคลอนนี้​ ต้องทำกันอย่างเต็มกำลัง และมั่นใจว่าอย่างไรเสีย​ ต้องต่อรองได้​ เพราะอย่างน้อยตนก็ถือว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนพรรค​

ทีมงานของตนก็เป็นเหรัญญิกพรรค เป็นลูกรักของพี่ใหญ่หัวหน้าพรรคอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

การจะอ้างชื่อพี่ใหญ่แล้วเรียก ส.ส. มาเสี้ยม หรือจะมากะเกณฑ์ให้เห็นตามก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตัวผู้กองธรรมนัสเอง​ ก็เชี่ยวชาญการดำเนินงานทางลับ ทางล็อบบี้ มีผลการทำงานลุล่วงมานับไม่ถ้วน เป็นที่วางใจถึงกับตั้งเป็นเลขา ฯ พรรค

ฉะนั้นเมื่อมีการจัดแสดงในโรงละครโรงใหญ่อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมาได้​ การจะล้มเวทีด้วยยอดขายบัตรไม่ถึงเป้า​ ก็น่าจะไม่ยาก และน่าจะทำให้ตัวละครหลักถูกเปลี่ยนตามบทที่ตัวเองอยากให้เป็น

แต่ผู้กองธรรมนัส​ คงลืมไปว่าถึงแม้ตัวจะเป็นหน่วยจารชน เป็นเลขา ฯ ผู้มีอำนาจเต็ม แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าของคณะ ไม่ใช่หัวหน้าพรรค แค่การอ้างชื่อพี่ใหญ่หัวหน้าพรรคข้ามหัว ส.ส. อีกหลายคนในพรรคไปเพื่อเล่นงาน รมต.ของพรรค ไปเล่นงานเป็นน้องรักของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. พี่ใหญ่ของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “ย่อมจบไม่สวย”

การโต้กลับของอดีตผู้นำทัพที่ชื่อ “บิ๊กตู่” จึงเกิดขึ้น!!

แม้จะมีพรรษาทางการเมืองเพียงไม่กี่ปี​ แต่ถ้าจะรบด้วยแบบไม่ระดมสมองระดับเสธ.มาออกแผน ไม่มีทางเอาอดีต ผบ.ทบ.ชื่อ “บิ๊กตู่” ลงได้แน่

นี่ยังไม่นับความอหังการที่แก๊ง 4 ช. ไปลูบคม “บิ๊กป๊อก” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประมาณว่าข้ามีดี แบ็กข้าไม่ว่า ท้าชนได้ทุกคน

สรุปงานนี้ผู้กองเจอของแข็ง นายกฯ ประยุทธ์ โต้กลับแบบนิ่ง ๆ ไม่โวยวาย ไม่บุ่มบ่าม ปิดม่านไว้หลายชั้น แสดงหน้าม่านไปตามบทผู้ถูกอภิปราย จนหลายคนเดาไม่ออกว่านายกฯ จะมาไม้ไหน

ทางโต้กลับของนายกฯ คือ​ การไปเจรจากับรุ่นใหญ่จนจบ จับมือกับเหล่าตัวแสดงเอกผู้สร้างคณะ แถมประกบจบทุกเรื่องกับกลุ่ม ส.ส.ผู้ไม่แปรพรรคและล็อกบทป้องกันกลุ่ม ส.ส.ผู้คิดเป็นอื่นจบทุกอักขระ

ปิดท้ายด้วยตอนพิเศษจากเจ้าของคณะอย่าง “บิ๊กป้อม” ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ด้วยบทเด็ดขาดขึงขังก่อนการประชุมร่วมส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐว่า “ปัญหาในพรรคไม่มีอะไร นายกฯ ไปผมก็ไป” เอวังฯ ละครก็เริ่มแสดงต่อโดยที่บรรดาผู้ต่อรองตัวแสดงได้แต่มองตามตาปริบ ๆ เตรียมรับกรรมที่ได้ก่อขึ้น

จากแหล่งข่าวแว่วมาว่าทีมงาน 4 ช. นำโดยผู้กองธรรมนัสกำลังเตรียมการเพื่อไปขอขมากับ​ ”บิ๊กตู่”

แต่เอาเข้าจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ 4 ช. ไปปรามาสความแนบแน่นของ 3 ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์ คงคิดว่าแค่ความสัมพันธ์เก่าก่อนน่าจะไม่มีผลเท่าไร

เมื่อมาเล่นการเมืองแล้ว ผยองว่าทีมตัวเองและพวกก็เป็นเสาหลักของพรรค​ คุมทั้งส.ส. ประสานกลุ่ม หาเงินและคุมขุมกำลังพรรคเหนือกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในพรรค

นี่แหละอยากเป็นตัวละครหลักจน “ลืม”

ลืมไปว่าตัวละครหลักตัวอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้เล่นละครในครั้งนี้​ ก็ยังอยู่กันครบ โดยเฉพาะ “กลุ่มสามมิตร” และคงลืมไปจริง ๆ ว่าถึงแม้ตัวผู้นำ 4 ช. จะร่วมสร้างพรรคกันมา แต่คนอื่น ๆ ในแก็งก็แค่ตัวประกอบที่ถูกดึงมาทีหลัง

บางคนก็เคยหักกับตัวแสดงหลักก่อนหน้าระดับรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งส.ส. ในพรรคก็พร้อมแทงสวนหากพลาดเหมือนกัน

งานนี้แก๊ง 4 ช.​ เจ็บแน่!! ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะตัวแสดงระดับแกนนำผู้ก่อตั้งพรรคยังโดนลบบทบาทการแสดงไปแล้วหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อ.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.อุตสาหกรรม นายสนธิ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พาณิชย์ เราก็เคยเห็นมาแล้ว

ครั้งนี้คือเรื่องใหญ่ของพรรครัฐบาลที่น่าติดตามกันอย่างยิ่งว่า “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะสวมหัวใจเสือ เถือหนังของบรรดาพวกลักลอบขายตั๋วผี ต่อรองบท เพื่อล้มการแสดงกลางโรงละครอย่างแก๊ง 4 ช.​ หรือไม่ ? และในแบบไหน ? เพราะเชื่อว่าพี่ใหญ่เจ้าของคณะคงเอือมเต็มทน

เรื่องนี้น่าจะไม่ต้องตามกันยาวคงได้คิวลงวิกในเร็ววันนี้แน่นอน

“แรมโบ้” เย้ย “เต้น - บก.ลายจุด” คนร่วมชุมนุมน้อยเพราะคนรู้ไส้ รู้พุง ไม่ตกเป็นเครื่องมือคนที่สู้แล้วรวย สู้เพื่อนายใหญ่ทางไกล สู้เพื่อรับโบนัส เดินตามแกนนำสามนิ้วที่คิดล้มสถาบัน เตรียมแจ้งความเอาเข้าคุกเพิ่มที่สน.ทองหล่อและสน.บางเขน วันที่ 8 กันยายนนี้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำ นปช.ไม่ยอมรับสิ่งเกิดขึ้นในสภาฯ และนายกฯไม่ใช่นายกฯอีกต่อไป พร้อมกับ ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องโรคระบาด ที่เป็นข้อจำกัดในการชุมนุม การปักหลักค้างแรม โดยนายเสกสกลระบุว่าก่อนหน้านี้ตนเองเคยเตือนนายณัฐวุฒิและนายสมบัติไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวในขณะที่มีการระบาดเชื้อโควิด-19 เพราะอาจจะเกิดคลัสเตอร์ขึ้นมาใหม่และเป็นภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งแกนนำอย่างนายเพนกวิน นายอานนท์ นายไมค์ นส.รุ้ง ปนัสยา และอีกหลายคนก็เคยติดเชื้อโควิดจากการชุมนุมมาหมดแล้ว ทำให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่ผู้ชุมนุมกว้างมากขึ้น

การที่นายณัฐวุฒิและนายสมบัติออกมากังวลว่าโรคระบาดเป็นข้อจำกัดในการชุมนุม และไม่สามารถการค้างแรมได้ ซึ่งตนเองมองว่าเหตุผลของนายณัฐวุฒิและนายสมบัติฟังไม่ขึ้น แท้ที่จริงควรออกมาพูดมาคิดก่อนการออกมาชุมนุม ตนและทุกฝ่ายก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ควรออกมาชุมนุม การที่ประชาชนไม่ร่วมการชุมนุมเหตุผลเพราะให้ความร่วมมือต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาโควิดและรู้ว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และมวลชนส่วนใหญ่รู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ว่า นายณัฐวุฒิและนายสมบัติเดินตามม็อบ 3 นิ้วที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง ยิ่งนายณัฐวุฒิมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยเข้าร่วมชุมนุมปี53 รู้ไส้รู้พุงหมดแล้วว่าหากเข้าร่วมการชุมนุมจะตกเป็นเครื่องมือของนายณัฐวุฒิที่หลอกให้ออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อนายใหญ่ ที่อยู่ต่างประเทศและสู้เพื่อพรรคการเมืองของนายใหญ่ หากสำเร็จก็จะได้โบนัสก้อนใหญ่ เหมือนที่เคยได้รับมาแล้วสุดท้ายก็ทิ้งมวลชนคนเสื้อแดง ที่ร่วมต่อสู้ไม่สนใจใยดีเหมือนที่เคยก้าวข้ามศพมวลชนไปเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์อะไรเลย หวังเพื่อผลประโยชน์ตนเองมากกว่า มวลชนจึงไม่เชื่อถือ เพราะผลจากการกระทำในปี 53 เป็นเครื่องชี้วัดอยู่แล้วว่าสู้เพื่ออะไรกันแน่ จากคำว่า ไพร่กลายไปเป็นรัฐมนตรี เดินทางไปไหนมีรถตำรวจนำหน้า เสื้อไพร่สีแดงไม่ควรนำมาใส่หลอกลวงมวลชน เพราะไม่มีใครเชื่อถือแล้ว

ส่วนการที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด โพสต์ปลุกระดมมวลชนว่า ถ้าประชาชนล้าก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะปิดเกม ตนเองก็มองว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และนายกฯก็คงไม่ได้ไปปิดเกมใคร ซึ่งตนเองมองว่าคนที่จะเปิดเกมตัวเองน่าจะเป็นตัวนายณัฐวุฒิ และนายสมบัติมากกว่า เพราะยิ่งเคลื่อนไหวคนเข้าร่วมชุมนุมก็ยิ่งน้อยลงนั้นเป็นเพราะมวลชนรู้ทันหมดแล้วและนายสมบัติก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคดี เพราะการเคลื่อนไหวผิดทั้ง พ.ร.ก ฉุกเฉิน พ.ร.บ. โรคติดต่อ ผิดกฎหมายอาญาม.116 และอื่นๆอีกหลายยกระทง

ซึ่งตนและทนายความจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายณัฐวุฒิ นายสมบัติและพวกเพิ่มเติม ที่สน.นางเลิ้ง สน.บางเขน ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพราะความผิดของคนพวกนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ บ้านเมืองต้องยึดกฎหมาย ใครทำผิดต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเด็ดขาด"

“โฆษกรัฐบาล” ขอบคุณแรงหนุน ”บิ๊กตู่” แจง นายกฯ ไม่อยากเห็นแบ่งแยก-เกลียดชัง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะขอบคุณประชาชนทั่วประเทศที่ต่างให้กำลังใจผ่านช่องทางต่างๆสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ทำงานต่อไป

โดยจะ เร่งทำงานเพื่อให้ประชาชนปลอดโรค ปลอดภัย ซึ่งเห็นได้จากจำนวนตัวเลขผู้หายป่วยที่มีมากกว่าผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดการฉีดวัคซีนของไทยก็สะสมไปแล้วกว่า 36 ล้านโดส รวมทั้งจะเริ่มกระจายชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุดให้กับประชาชนฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.นี้ เป็นต้นปีด้วย แต่เมื่อตัดภาพมาที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งจัดแคมเปญให้ประชาชนมาลงชื่อ “รวมพลไล่ประยุทธ์” โดยระบุว่ามีล้านกว่าคนมาลงชื่อไว้นั้น ยังน่าสงสัยว่าสามารถที่จะยืนยันตัวตนได้จริงหรือไม่

นายธนกร กล่าวว่า เพจรักลุงตู่ ที่มีการลงคะแนนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กว่า 5.1 ล้านคนด้วยว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยแจ้งแล้วว่า ไม่ต้องการเห็นภาพความแตกแยก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงพลังความสามัคคีของคนในชาติ ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนบ้านเมืองไปสู่จุดหมายร่วมกัน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงไม่ต้องการให้เกิดกระแสแบ่งแยกหรือความเกลียดชังแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ก็ตาม

ปชป. นัดประชุม ส.ส. เตรียมลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสาม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนได้นัด ส.ส. ของพรรครวมทั้งรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุมร่วมกันในวันอังคารที่ 7 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ซึ่งเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติในวาระที่สาม

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตั้งแต่วาระรับหลักการ จนถึงการพิจารณาในวาระที่สอง ไม่ใช่เพราะเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเป็นผู้เสนอ และผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระรับหลักการเท่านั้น แต่เป็นเพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยทำให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้การแก้ไขครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมองโดยทั่วไปแล้วดูเหมือนว่า ส.ส. แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประชาชนเพราะการเลือกตั้งแบบเดิมจะใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกทั้ง ส.ส. เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน แต่เมื่อแก้ไขแล้วจะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ เลือก ส.ส. เขต 1 ใบ เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือเลือกพรรคอีก 1 ใบ เท่ากับเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัด

นอกจากนั้นยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น และทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งตามไปด้วย

ส่วนที่บางฝ่ายวิตกว่าการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้เปรียบว่าเราไม่ควรมองการได้เปรียบเสียเปรียบเฉพาะการเลือกตั้งแต่ละครั้ง แต่เราควรมองเรื่องของหลักการพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยระยะยาวมากกว่าการคิดถึงประโยชน์จากการเลือกตั้งเฉพาะหน้าเท่านั้น

สำหรับการที่พรรคการเมืองบางพรรคจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำได้หรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะยื่นเรื่องให้วินิจฉัย แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่มีอะไรขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

“โฆษก ปชป.” เชื่อมั่น “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ด้วยยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” มุ่งมั่นทำประโยชน์ให้เกษตรกรและพี่น้องประชาชนทุกคน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการชี้แจงของรัฐมนตรีของพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา สามารถชี้แจงได้ดี มีเหตุผล และไม่ปรากฎเรื่องทุจริตใดๆ ซึ่งได้ทำให้พี่น้องประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงาน ด้วยความมุ่งมั่น คิดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและพี่น้องเกษตรกรเป็นที่ตั้ง  โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบภายใต้วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”

ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ จับมือกันทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตร รวมถึงเป็นประเทศที่มีอาหารคุณภาพของโลก มีหลักสำคัญเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบรวมถึงพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการค้าให้กับประเทศ

ทั้ง 2 กระทรวงมีจุดหมายร่วมกันคือการสร้างฐานข้อมูลเพื่อให้มีการใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกัน มีระบบฐานข้อมูลกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และควบคุมความสมดุลของจำนวนและคุณภาพการผลิตควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนมากที่สุด โดยจะเห็นว่าพืชผลการเกษตรในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบการผลิตและทำการตลาด มีตัวเลขปรากฏผลเป็นไปด้วยดี

นายราเมศ ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า การร่วมกันทำงานของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นความตั้งใจที่ยึดเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศเป็นหลักสำคัญ โดยสินค้าเกษตรที่พี่น้องเกษตรกรผลิต จากการดูแลของกระทรวงเกษตรฯ จะได้ส่งต่อไปยังช่องทางที่ก่อให้เกิดรายได้โดยกระทรวงพาณิชย์ที่จะดูแลเรื่องการตลาด ทั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าหลัก “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

'ชัยชนะ'  ชี้ 'ณัฐวุฒิ' อ้างเรื่องโควิดทำให้คนไม่ออกมาชุมนุมไล่ 'บิ๊กตู่'  เพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง - แนะควรเอาเวลาเดินหน้าหาสมาชิกพรรคฯ เพื่อลงเลือกตั้ง  ดีกว่าสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อ้างว่า การชุมนุมที่แยกอโศก เมื่อวานนี้ (5 กันยายน)  ประชาชนไม่สามารถมาชุมนุมแสดงพลังขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด - 19 ว่า ถือเป็นเรื่องที่ตนคิดไว้แล้วว่า นายณัฐวุฒิ จะต้องหาข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุที่แท้จริง เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วที่คนออกมาชุมนุมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้น เนื่องจากว่า คนส่วนใหญ่ต่างรู้ทันแล้วว่า นายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนเพื่อเป็นเงื่อนไขและข้อต่อรองทางการเมืองของตนเอง และการไปจัดกิจกรรมย่านใจกลางธุรกิจเหมือนที่เคยทำเมื่อปี 2553 นั้น สะท้อนว่า นายณัฐวุฒิ ยังใช้วิธีการเดิมๆ ที่จะก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

เพื่อหมายของตนเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้คนที่ทำมาหากินและดำเนินธุรกิจอยู่ในย่านอโศก รวมทั้ง คนที่เคยหลงลมปากของนายณัฐวุฒิ คงเข็ดขยาดหากจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต เพื่อแลกกับโอกาสทางการเมืองของผู้อื่น ดังนั้น ตนทราบมาว่า นายณัฐวุฒิ ได้จับมือกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนักการเมืองบางส่วน เพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้น แทนที่เอาเวลาที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง นายณัฐวุฒิ ควรเดินหน้าเพื่อหาคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมเป็นสมาชิกพรรคฯ เพื่อส่งตัวแทนลงแข่งขันในสนามการเลือกตั้ง มากกว่าการใช้มวลชนลงถนนเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองออกมาใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย เพราะเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น 

"ยอมรับว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลและทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้นำเสียงสะท้อนเหล่านั้น มาเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอปัญหาและนำมาแก้ไขเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจมากที่สุด ทั้งนี้ การที่นายณัฐวุฒิ ออกมาอ้างเรื่องการระบาดไวรัสโควิด - 19 ทำให้คนออกมาน้อยนั้น ก็ต้องถามกลับไปว่า นายณัฐวุฒิ ได้จัดกิจกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและการควบคุมโรคระบาด ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อผู้เข้าร่วมหรือไม่ หรือจำนวนคนไม่พอที่จะสร้างเงื่อนไขต่อรองเพื่อประโยชน์ของตนเอง จึงต้องออกอาการหงุดหงิดถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผมเห็นว่า หากนายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนที่สนับสนุนแนวคิดของตนเองจริงๆแล้ว ควรดำเนินการหาสมาชิกพรรคฯ ที่นายณัฐวุฒิ ร่วมก่อตั้งกับนายจาตุรนต์และบุคคลอื่นๆ และคัดเลือกผู้เหมาะสมลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคฯ จะดีกว่าการหาวิธีการเพื่อสร้างภาพว่า มีคนมาร่วมกิจกรรมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย เพราะนอกจากมีคนจับได้ไล่ทันแล้ว นายณัฐวุฒิ ก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องหาเหตุผลอื่นๆ มากลบเกลื่อนความล้มเหลวของนายณัฐวุฒิ ที่ไม่สามารถระดมคนเพื่อเป้าหมายของตัวเองได้"  นายชัยชนะกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top