Sunday, 6 July 2025
PoliticsQUIZ

คนเสื้อแดงปากน้ำ ประกาศไม่เข้าร่วมม็อบบุกวัง 7 ส.ค. นี้ ย้ำ จะเข้าร่วมคาร์ม็อบ 'บก.ลายจุด' เป็นหลัก

นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์กรณีเคยประกาศรวมตัวคาร์ม็อบเพื่อชุมนุมร่วมกับแนวร่วมกลุ่มต่าง ๆ วันที่ 7 ส.ค. ว่า...

เนื่องจากการชุมนุมวันที่ 7 ส.ค.ไม่ได้ดำเนินการในรูปแบบคาร์ม็อบ ทราบมาว่า การเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบจากทั้งกลุ่มของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังไม่เกิดขึ้นวันที่ 7 ส.ค. หากดำเนินการเรื่องดังกล่าวจะมีคาร์ม็อบเพียงสายเดียวจากสมุทรปราการ ซึ่งจะไม่สามารถแสดงพลังได้เต็มที่ อยากให้การเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบเกิดขึ้นหลายสายพร้อมกัน เพื่อให้เห็นถึงพลังประชาชนที่ต้องการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม

"ดังนั้นจึงขอเลื่อนการเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบจากสมุทรปราการออกไปก่อน และจะประสานงานกับคาร์ม็อบสายต่าง ๆ เพื่อรวมพลังการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ในคราวเดียวกันต่อไป" นายวรชัย กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/112389


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ซูเปอร์โพล เผยประชาชน 97.4% รู้ทันม็อบ 7 ส.ค. ชี้!! 99.2% หวั่นเกิดคลัสเตอร์แพร่โควิดเพิ่มขึ้น

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม และประมวลผลข้อมูลการศึกษา เรื่อง ประชาชน รู้ทัน ม็อบ 3 นิ้ว 7 สิงหาคม กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,772 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-5 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา

ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 รู้ทันว่า มีขบวนการอยู่เบื้องหลัง ม็อบ 3 นิ้ว ต้องการให้เกิดความรุนแรง ร้อยละ 97.2 รู้ทันว่า ม็อบ 3 นิ้ว 7 สิงหาคม ต้องการให้เกิดการขยายผลความแตกแยก เผชิญหน้ากันด้วยข้อความสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ระดมคนกันมาข่มขู่ คุกคามผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นในโลกโซเชียล ร้อยละ 97.1 รู้ทันว่า มีความพยายามให้เกิดเผชิญหน้า ระหว่างกลุ่มคนสุดขั้ว 2 กลุ่ม คือ กลุ่มม็อบ 3 นิ้ว กับ กลุ่มปกป้องสถาบัน

ร้อยละ 97.0 รู้ทันว่า มีขบวนการออกแบบให้เกิดความรุนแรงบานปลายจากการเผชิญหน้า ดึงทหารออกมาล้อมปราบ เกิดความสูญเสีย เข้าทางเข้าเกมฝ่ายตรงข้าม และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.1 รู้ทันว่า กระแสที่ปั่นกันในโลกโซเชียลถูกปั่นจากต่างชาติ และมีคนรับจ้างปั่นยอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชี้นำผู้คนในโซเชียลมีเดียให้คล้อยตามการแบ่งขั้วสุดขั้วเพื่อเกิดการปะทะ

ที่น่าเป็นห่วง คือ ร้อยละ 99.2 กังวลต่อการเกิดคลัสเตอร์แพร่ระบาดโควิดเพิ่มขึ้น ซ้ำเติมปัญหาให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ ร้อยละ 98.7 กังวลต่อข่าวความรุนแรง ด้วยระเบิด การเผาทำลายต่าง ๆ จะซ้ำเติมความบอบช้ำวิกฤตของชาติและประชาชน ร้อยละ 97.4 เชื่อว่ามีขบวนการท่อน้ำเลี้ยงจากต่างชาติ นักการเมือง กลุ่มนายทุน ให้กลุ่มผู้ชุมนุม ร้อยละ 97.1 ระบุ ความรุนแรง และการสูญเสียจะทำลายงบประมาณภาษีของประชาชน และร้อยละ 97.1 เช่นกัน ระบุ กังวลต่อความรุนแรงบานปลาย และความสูญเสีย

ที่น่าพิจารณา คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.7 ระบุ ม็อบต้องหยุดคุกคามสถาบันหลักของชาติ ร้อยละ 98.5 ระบุ มีวิธีอื่นแก้ปัญหาชาติด้วยสันติวิธีและสร้างสรรค์มากกว่า และร้อยละ 97.5 ระบุ ไม่เห็นประโยชน์จาก การชุมนุมด้วยความรุนแรง

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า โพลชิ้นนี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับม็อบที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐ และสถาบันหลักของชาติโดยมองว่า เสี่ยงต่อการเกิดคลัสเตอร์กลุ่มใหญ่แพร่เชื้อโควิดซ้ำเติมวิกฤตเดือดร้อนของประชาชนสร้างภาระความเหนื่อยยากให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้น

“ที่น่าพิจารณายิ่ง คือ ม็อบนิยมความรุนแรงกำลังทำลายรากฐานของประเทศ ประชาชนไม่เห็นด้วยต่อการล่วงละเมิดสถาบัน แสดงความหยาบคาย คุกคามสถาบันฯ คุกคามผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีสัมมาคารวะโดยยั่วยุสร้างความเกลียดชัง อาฆาตมาดร้าย อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจของประชาชนส่วนใหญ่ และเกิดความแตกแยกสู่การเผชิญหน้าของคนในชาติสร้างความสูญเสียเข้าทางเกมแย่งชิงอำนาจของต่างชาติที่เข้ามาครอบครองทรัพยากรและผลประโยชน์ชาติของคนไทยในที่สุด” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังเห็นร่วมกันถึงการปลุกปั่นกระแสความเกลียดชัง และการเผชิญหน้าด้วยการบิดเบือน ดราม่า สร้างภาพ และลดทอนความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่รัฐ มุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงขาดความน่าเชื่อถือ และชอบธรรม ในการใช้อำนาจรัฐออกมาปกป้องสถาบัน และผลประโยชน์ของชาติ

“ที่สำคัญ ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เห็นประโยชน์กับการสร้างสถานการณ์ และการใช้ความรุนแรง ที่นำมาซึ่งความเสียหายทางกายภาพ และจิตใจ รวมทั้งผลกระทบทางสังคม และภาระงบประมาณ ซึ่งมีผลซ้ำเติมกับวิกฤตเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของต่างประเทศ  นอกจากนั้นประชาชนส่วนใหญ่ ยังสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ของม็อบที่ขัดต่ออุดมการณ์ทางการเมือง และหลักการประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะการไม่เคารพกฎหมาย ที่เป็นกติกาของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของทุกคนในสังคม” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/593067


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รองโฆษกรัฐบาล เผย ซุปเปอร์ไรเดอร์ ส่งยาด่วน ให้ผู้ป่วยสีเขียว เป็นอาสาสมัครช่วยสธ. เผย ชุดตรวจATKจากสวิตเซอร์แลนด์ กระจายไปหลายจังหวัด

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีหน่วยส่งยาด่วน “super rider” (ซุปเปอร์ไรเดอร์) เป็นอาสาสมัครที่เข้ามาช่วยกระทรวงสาธารณสุขในการจัดส่งยาด่วน โดยมีหน้าที่ส่งยาให้ผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยเป็นกลุ่มสีเขียว ซึ่งชุดที่ส่งจะประกอบด้วย ยาพารา ยาฟ้าทะลายโจร ปรอทวัดไข้เครื่อง วัดออกซิเจนแอลกอฮอล์และหน้ากากอนามัย เป็นหนึ่งโครงการดีๆที่ประชาชนมีจิตอาสามาช่วยกัน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการได้รับชุดการตรวจหาเชื้อแบบแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า ในตอนนี้มีการกระจายชุดตรวจเพื่อเตรียมให้กับผู้ที่ต้องตรวจด้วยตัวเอง โดยชุดตรวจเอทีเคส่งให้กับกทม. 200,000 ชุด จังหวัดนนทบุรีและปทุมธานีได้รับ 75,000 ชุด พระนครศรีอยุธยา, สมุทรสาคร, นครปฐม, ชลบุรี, สมุทรปราการและฉะเชิงเทรา ได้รับ 70,000 ชุด จังหวัดนราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา และสงขลา ได้รับ 45,000 ชุด มีสำรองที่กระทรวง 150,000 ชุด รวมทั้งสิ้นครบ 1.1 ล้านชุด

รุกกระจาย “รัฐบาล”เร่งกระจายชุดตรวจ ATK 1.1 ล้านชุด ให้แก่ 13 จว.สีแดงเข้ม

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดสรรและกระจายชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ที่ได้รับจากสมาพันธรัฐสวิส จำนวน 1.1 ล้านชุด เพื่อใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้กระจายชุดตรวจ ATK ตามความจำเป็นเร่งด่วน อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดสรรไปยังจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ตามจำนวนผู้ป่วยและความเหมาะสมแล้ว ดังนี้ กรุงเทพมหานครจำนวน 200,000 ชุด นนทบุรี ปทุมธานี จังหวัดละ 75,000 ชุด พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร นครปฐม ชลบุรี สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา จังหวัดละ 75,000 ชุด 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา จังหวัดละ 45,000 ชุด และสำรองที่กระทรวงสาธารณสุขจำนวน 150,000 ชุด

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับมอบจากสมาพันธรัฐสวิส และได้แจกจ่ายแล้วนี้ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ไทยสามารถควบคุมจำกัดวงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 102 เครื่อง ที่ได้รับมอบจากสมาพันธรัฐสวิส ในโอกาสเดียวกันนี้ จะได้แจกจ่ายตามความเหมาะสมต่อไป 

“บิ๊กช้าง” ย้ำเร่งตั้ง รพ.สนามและ CI และเร่งช่วยคัดกรองเชิงรุก นำผู้ป่วยเข้าระบบให้มากที่สุด

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ  ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่าพล.อ.ชัยชาญ  ช้างมงคล รมช.กลาโหมและพล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 

โดยภาพรวมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่ยังรุนแรง และยังพบผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมากขึ้นต่อเนื่องที่ผ่านมา กองทัพ และ ตำรวจ ยังคงความต่อเนื่องสนับสนุน กระทรวงสาธารณะสุข แก้ปัญหาวิกฤตร่วมกันต่อเนื่องมา โดยเร่งเสริมขีดความสามารถ รพ.สนาม 29 แห่ง 6,799 เตียง ที่กองทัพดูแลเดิม และอยู่ระหว่างเร่งจัดตั้ง รพ.สนามและพื้นที่แยกกักคุมโรคชุมชน ( CI ) ทั้งในหน่วยทหารทั่วประเทศและสนับสนุนการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ให้เพียงพอรองรับจำนวนผู้ป่วยที่มีมากขึ้น  

สำหรับ รพ.สนามศูนย์คัดกรอง สโมสรทหารบก ได้เปิดบริการประชาชนแล้ว ในการตรวจคัดกรอง และนำเข้าระบบการรักษา รวมทั้งจ่ายยาและพากลับบ้าน ซึ่งมีประชาชนมารับการบริการแล้วกว่า 5,000 คน ขณะเดียวกัน กองทัพได้เสริมกำลังร่วมกับ กทม.จัดชุด CRT 200 ชุด เข้าตรวจเชิงรุกคัดแยกผู้ป่วยในชุมชนต่างๆ และสนับสนุนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากบ้านและชุมชน เข้าสู่ระบบการรักษา ผ่านสายด่วน 1138  และ “จุดบริการประชาชน” 68 จุด ที่กระจายจัดตั้งในชุมชนต่างๆ โดย “ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย” แล้ว กว่า 16,000 คน ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำ ขอให้ กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ สนับสนุนภารกิจ “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด” เฝ้าระวังคุมเข้มชายแดนทุกด้านต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จว.ชายแดน ติดประเทศเมียนมา  และขอให้เร่งจัดตั้ง รพ.สนาม และ CI เพิ่มในทุกหน่วยทหาร รองรับการดูแลชุมชนให้มากที่สุด พร้อมทั้งขอให้พิจารณาปรับ “จุดบริการประชาชน” ให้เหมาะสมเข้าถึงชุมชนมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ทันในทุกเหตุการณ์   ทั้งนี้ ยังให้คงความต่อเนื่องสนับสนุนการบริจาคโลหิต ตามโรงพยาบาลต่างๆ และสภากาชาดไทย ซึ่งยังอยู่ในสภาวะขาดแคลนโลหิตและมีผู้ป่วยรอการรักษาอีกจำนวนมาก

“สุทิน” จ่อเสนอ “พท.-ฝ่ายค้าน” ยื่นร้องศาลถอดถอน “ประยุทธ์” ออกจากตำแหน่งหลังศาลแพ่งคุ้มครองห้ามปิดปากสื่อ-ปชช. ลั่นผิด รธน. ซัด “บิ๊กตู่” เหิมเกริมในอำนาจมากไปแล้ว

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม  รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายกฯ ใช้ข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ให้อำนาจ กสทช.ฟันเฟกนิวส์ และตัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสื่อจนกว่ามีคำสั่งอย่างอื่นว่า การที่ศาลแพ่งมีคำสั่งเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลได้ออกประกาศและปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปฎิบัติหน้าที่ขัดต่อกฎหมายอีกครั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นความผิดที่ชัดเจนชัดแจ้ง

ดังนั้นตนในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านจะเสนอเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมพรรค พท.และที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านในสัปดาห์หน้า เพื่อถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยจะยื่นร้องต่อศาลคดีอาญาทุจริต เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ทั้งนี้ เราจะให้เวลาพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อกฎหมายก่อน หากพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบ  เราก็จะดำเนินการยื่นถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ทันทีเพราะถ้าไม่ทำไม่หยุดยั้งก็จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์เหิมเกริม ใช้อำนาจขัดต่อกฎหมายจนเป็นนิสัย

“ก่อนหน้านี้ก็ออกมาพูดให้ชาวบ้านดูแลรักษาตัวเอง ทำให้ประชาชนต้องต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ด้วยการควักเงินส่วนตัวเพื่อซื้อวัคซีนเพื่อป้องกันโรค นี่ก็ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์กระทำผิดรัฐธรรมนูญแล้ว พอมีคนทักท้วงท่านกลับออกคำสั่ง ออกข้อบังคับขึ้นมาปิดปากประชาชนอีก ท่านมีความละอายใจบ้างหรือไม่” นายสุทิน กล่าว

“องอาจ” เสนอภาครัฐระดมหมอ พยาบาลเกษียณช่วยงานดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดจะลดลง ทำให้ภาครัฐพยายามหาวิธีการต่างๆ ในการแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากผู้ไม่ติดเชื้อ ด้วยการเพิ่มระบบ Home Isolation (HI) Community Isolation (CI) ศูนย์พักคอย โรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น 

แต่การดำเนินการทุกระบบดังกล่าวจำเป็นต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ คือ แพทย์ พยาบาล มาทำงานดูแลรักษาผู้ติดเชื้อตามมาตรฐานการดูแลผู้ติดเชื้อที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดขึ้นมา เช่น โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม มีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ทำงานเต็มเวลาอยู่แล้ว รวมถึงการจัดตั้งศูนย์พักคอย หรือ Community Isolation (CI) ก็ต้องมีโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาทำงานดูแลผู้ติดเชื้อจึงจะเปิด CI หรือศูนย์พักคอยได้ ถ้าไม่มีแพทย์ พยาบาลมาทำงานก็เปิดไม่ได้ ถึงแม้จะมีสถานที่ มีอาหาร 3 มื้อ มีที่นอน หมอนมุ้ง และเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น แม้แต่ระบบ HI ก็ต้องมีแพทย์ พยาบาลคอยดูแลติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ที่ผ่านมาการทำศูนย์พักคอย และ CI เพิ่มเติมให้เพียงพอต่อการรองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะไม่สามารถหาสถานพยาบาลที่มีแพทย์ พยาบาลมาช่วยทำงานตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นได้ รวมทั้งเสียงติติงของผู้ติดเชื้อในระบบ HI บางส่วนที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควรจากภาครัฐก็เพราะไม่มีบุคลากรมากเพียงพอที่จะดูแล 

จึงขอเสนอภาครัฐระดมแพทย์ พยาบาลเกษียณ และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่เกษียณแล้วมาช่วยงานรักษาผู้ติดเชื้อโควิด โดยมีค่าตอบแทนให้ตามสมควร

เชื่อมั่นว่าจะมีแพทย์ พยาบาลเกษียณจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเข้ามาช่วยงาน ซึ่งจะทำให้มีคนทำงานที่มีความจำเป็นเพิ่มมากขึ้นก็จะช่วยทำให้ระบบต่างๆ ที่กำหนดขึ้นสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทุเลาเบาบางลงได้ในที่สุด

“ยุทธพงศ์” เตรียมชงชื่อ “บิ๊กป้อม” ขึ้นเขียงซักฟอก ต่อหน.พท.พรุ่งนี้

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีกการยื่นญัตติในวันที่ 16 ส.ค.นั้น คนที่จะถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคือแน่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข โดยประเด็นที่ตนจะยกเป็นนำจิ้มคือ กรณีพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม เพราะกองทัพบกได้ขอเงินจากสภาฯจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ จำนวน 921 ล้านบาท เมื่อสภาฯอนุมัติไปแล้วแทนที่จะนำไปซื้อรถใหม่ กลับมีการเปลี่ยนแปลงงบฯเป็นเอาไปซ่อมรถ M35 ค่าซ่อมคันละ 2.5 ล้านบาท ขณะที่บริษัทซ่อมรถดังกล่าวที่เสนอราคามาแล้ว คือ บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์รับเบอร์ จำกัด เรื่องนี้มีความผิดปกติ เพราะขอสภาฯซื้อรถใหม่ แต่กลับเอาเงินไปซ่อมรถเก่าที่ใช้มากว่า 40 ปี และไม่มีการผลิตอะไหร่แล้ว ต้องไปเอาอะไหร่เก่าจากประเทศเกาหลีมาซ่อม ซึ่งพล.อ.ประยุทธเป็นผู้เซ็นต์เสนอเรื่องนี้เข้า ครม. 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่าในวันที่9 ส.ค. นายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ ส.สงเชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เชิญตนในฐานะรองหัวหน้าพรรคให้เข้าพบเวลา 13.00 น. โดยตนเตรียมเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้ให้กำเนิดเรือดำน้ำในประเทศไทยตอนที่ยังเป็น รมว.กลาโหม ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ซึ่งตนมีข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของประทรวงกลาโหมจำนวนมาก

“โจ้ ยุทธพงศ์” กัด “เรืองไกร” ไม่ปล่อย ขอ “ชวน” สอบเบนซ์หรู ก่อนบรรจุ งบ65 วาระ 2-3 อัด “อาคม” ไม่ยอมสอบเรื่องนี้ ระวังโดนม. 144 ด้วย

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และน.ส.ชนก จันทร์ทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าว

โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เรื่องรถเบนซ์ ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการ(กมธ.)ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565  สัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ เคยให้สัมภาษณ์เอง ว่า จริงๆ นายเรืองไกรอยากได้เงิน 30 ล้านบาท แต่อีกฝ่ายให้เป็นรถหรูราคา 5 ล้านบาทมาแทน ขณะเดียวกันนายเรืองไกรก็ยอมรับว่าถูกผู้ใหญ่ใจดีเฉ่งปมรถหรู เรื่องนี้เป็นข่าวที่นายเรืองไกรให้สัมภาษณ์เอง ปัญหาคือ นายเรืองไกรได้รับรถเบนซ์คันนี้มาขณะมีตำแหน่งเป็นกมธ.งบประมาณ มีหน้าที่พิจารณา และปรับลดงบประมาณต่างๆ ดังนั้น ตนจึงทำหนังสือร้องไปยังนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณปี 65  ให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ตามมาตรา 144  แต่ผลปรากฎว่านายอาคมกลับไม่ดำเนินการตรวจสอบ แต่มีหนังสือไปถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบนายเรืองไกร  

“ผมมองว่าไม่ถูกต้องเพราะนายอาคมเป็นประธาน กมธ.ฯและเรื่องของนายเรืองไกรเกิดใน กมธ.ฯ นายชวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย นายอาคมทำไมจึงไม่สอบเอง การที่ไม่ยอมสอบเองนี้นายอาคมอาจจะผิดมาตรา 144 ด้วย”นายยุทธพงศ์ กล่าว 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนได้มีหนังสือไปถึงนายชวน ลงวันที่ 30 ก.ค. 64 ด้วยว่าก่อนบรรจุวาระร่างพ.ร.บ.งบ 65 ในวาระ 2 และ 3 ขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้กับนายอาคมก่อน ว่ารถถเบนซ์หรูนี้ได้มาอย่างไร มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการพิจารณางบประมาณของ กมธ.หรือไม่ และนายเรืองไกรต้องบอกมาว่าผู้ใหญ่ใจดีที่ให้รถเบนซ์หรูคนนั้นคือใครเพราะนายเรืองไกรบอกว่า ใหญ่กว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ไม่เช่นนั้นการพิจารณางบฯ 65 อาจมีการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ได้

แจงประเด็นโซเชียลมีเดียวิจารณ์ “อนุทิน” กรณีมอบวัคซีนไฟเซอร์จังหวัดนครสวรรค์ “ยัน”เกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียนำภาพซึ่งระบุว่ามาจากงานภารกิจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่โรงพยาบาลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาโพสต์พร้อมระบุข้อความว่ารองนายกรัฐมนตรีเคลมว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นผลงานของตนเองนั้น เป็นการแสดงข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด  

ข้อเท็จจริงคือรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพร้อมกับการลงพื้นที่ก็ได้มีการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐฯ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ด้วย ส่วนการจัดเตรียมป้าย หรือข้อความต่างๆ ก็จัดโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อความที่มีการส่งต่อข้อความที่มีการส่งต่อทางโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด  

“ในการลงพื้นที่จังหวัดหวัดนครสวรรค์ นอกจากรองนายกฯอนุทินแล้ว ยังมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมเดินทางด้วย ซึ่งภารกิจของการลงพื้นที่คือการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินงานการควบคุมและแพร่ระบาดของโรคโควิด19  จากการสอบถามในคณะผู้ลงพื้นที่ ก็ไม่มีใครเห็นข้อความใดที่มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย ก็ยังสงสัยเช่นกันว่าข้อความนั้นอยู่ส่วนใดของงาน” น.ศ.ไตรศุลี กล่าว  

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หากเป็นการวิจารณ์บนข้อมูลและเป็นความจริง และเพื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้อยู่แล้ว  แต่ขอความร่วมมืออย่าสร้างและส่งต่อข้อมูลที่ก่อความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่จะกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าปฏิบัติงานอย่างหนัก  โดยเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้คือการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top