Thursday, 26 June 2025
PoliticsQUIZ

“บิ๊กบี้” ส่งหน่วยทหารลงพท. รณรงค์ “ฉีดวัคซีนป้องโควิด” สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อชาติ

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ในฐานะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าสถานการณ์โควิด-19 ของไทยในขณะนี้ได้เริ่มเข้าสู่การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามการบริหารจัดการวัคซีนของ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ทั้งนี้ที่ผ่านมา กองทัพบกได้ให้หน่วยทหารและชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน มวลชนเครือข่าย เข้าพบปะให้คำแนะนำเรื่องการป้องกันโรคและการปฏิบัติตนให้กับประชาชนในทุกพื้นที่และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้หน่วยทหารทุกกองทัพภาคจัดชุดรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแนวทางการให้วัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยหน่วยทหารของกองทัพบกจะสื่อสารทุกช่องทางทั้งภายในองค์กรและการสื่อสารกับประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจทันต่อข้อมูลข่าวสาร สามารถเข้าร่วมและได้รับประโยชน์จากโครงการฉีดวัคซีนของรัฐบาลอย่างเต็มที่ เน้นการให้คำแนะนำช่องทางที่ประชาชนจะเข้าถึงการฉีดวัคซีน และช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”

สำหรับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์จะเป็นไปในลักษณะ การจัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนออกรณรงค์ตามชุมชน สถานที่สาธารณะ แหล่งที่มีผู้คนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งข้อมูลถึงระดับบุคคล รวมถึงการใช้สื่อ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ในเครือข่ายกองทัพบกกระจายข้อมูลข่าวสารและเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง ส่วนโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบก จะเน้นให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด รวมทั้งร่วมกับสาธารณสุขในพื้นที่ออกให้คำแนะนำและบริการประชาชน

พล.ท.สันติพงษ์ กล่าวอีกว่า การรณรงค์ดังกล่าว ผู้บัญชาการทหารบกมีเจตนารมย์เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลข่าวสารและเข้าถึงบริการสาธารณสุข ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความรุนแรงเมื่อมีการติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิต การฉีดวัคซีนนอกจากจะเป็นการป้องกันตนเอง ครอบครัว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สำคัญจะช่วยให้ประเทศไทยผ่านสถานการณ์วิกฤติโควิด และกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ 

“บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะถก ศบค.ชุดใหญ่ จับตาพิจารณาต่อขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือน ถึง 31 ก.ค.นี้ หลังพบคลัสเตอร์ใหม่ทำยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตยังพุ่งไม่หยุด

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564  ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผู้อำนวนการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 7/2564 ผ่านระบบ Video Conference

ทั้งนี้คาดว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) จะเสนอให้ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ พิจารณาขยายระยะเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ก.ค. โดยยึดตามเหตุผลของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้มีการประเมินสถานการณ์ไว้ว่า ต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 เดือน ในการควบคุมการการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากต่อเพียง 1 เดือน หรือ 30 วัน เหมือนเดิม อาจจะไม่เพียงพอ พร้อมทั้งจะพิจารณาถึงแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ตามที่ที่ประชุมอีโอซีกระทรวงสาธารณสุขเสนอด้วย

นอกจากนี้คาดการณ์ด้วยว่าจะมีการรายงานถึงมาตรการควบคุมเข้มงวดเฝ้าระวังและสกัดกั้นชายแดนป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายยาเสพติดและการค้ามนุษย์ที่อาจเข้ามาพร้อมโควิดสายพันธุ์ใหม่ และตั้งด่านจุดสกัดการลักลอบเข้าเมืองทางน้ำซึ่งถือว่ายังเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยังคงมีปัญหา หลังพบผู้ติดเชื้อลอยลำในน่านน้ำ

นอกจากนี้ที่ประชุม อาจมีการหารือ การกระจายวัคซีนแบบ on-site รวมไปถึงกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากพบการแพร่ระบาดของคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มมากขึ้น อย่างในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อกว่า 600 คน รวมไปถึงพื้นที่ชุมชนแออัด ที่จะต้องนำวัคซีนเข้าไปเสริม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างเร่งด่วน

ดีอีเอส เตรียมออกร่างประกาศฯ แก้ปัญหาข้อมูลเท็จท่วมโซเชียล 

“ชัยวุฒิ” เรียกประชุม คกก.ป้องกันฯ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางโซเชียลนัดแรก ไฟเขียวเตรียมออกร่างประกาศกระทรวงฯ หลักเกณฑ์เก็บ Log files หนุน พรบ.คอมพ์ฯ ตามทันยุคโซเชียล 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานด้านการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ใช้บังคับมานานเพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เป็นสากล และสามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานทั้งในโซเชียลมีเดีย และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ 

โดยคณะทำงานอยู่ระหว่างการพิจารณา (ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. .... และแนวทางการกำกับดูแลและการลงทะเบียนผู้ใช้งาน Social Media โดยดูจากแนวทางของต่างประเทศเป็นต้นแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ และจะรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับสรุปผลการดำเนินงานด้านการป้องกันปราบปรามของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยกระทรวงดิจิทัลฯ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ศปอส.ตร. (PCT) ในช่วง 2 เดือนนี้ (เม.ย.- พ.ค. 64) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (Verify) ทั้งหมดจำนวน 683 เรื่อง ได้รับการตรวจสอบแล้ว 348 เรื่อง ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบแล้ว 160 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 121 เรื่อง ข่าวจริง 15 เรื่อง บิดเบือน 24 เรื่อง

นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้ดำเนินการปิดกั้นข้อมูลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ โดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอปิดกั้น จำนวน 16 คำร้อง 349 ยูอาร์แอล ศาลมีคำสั่งให้ระงับแล้ว 4 คำร้อง และเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน 12 เรื่อง 256 ยูอาร์แอล อีกทั้ง ได้ดำเนินการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มให้ปิดกั้นข้อมูลตามคำสั่งศาล 35 คำสั่ง 726 ยูอาร์แอล และแจ้งความดำเนินคดีในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ตามมาตรา 27 แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 321 ยูอาร์แอล ทวิตเตอร์ 155 ยูอาร์แอล 

ขณะที่ (ศปอส.ตร.) ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จำนวน 4 เรื่อง 6 รายและดำเนินการตักเตือนให้ลบโพสต์และแก้ไขข่าว โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จำนวน 4 เรื่อง 12 ราย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ได้ดำเนินการสืบสวนพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้บัญชี Social Media ที่ใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับข่าวปลอม เรื่อง โรงพยาบาลเมดพาร์ค เปิดให้ลงทะเบียนจองวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna จำนวน 11 กรณี ระบุตัวตนได้ 5 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน (อวาตาร) 6 ราย และกรณีบิดเบือนวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 25 กรณี ระบุตัวตนได้ 19 ราย และอยู่ระหว่างสืบสวน 6 ราย  

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ในวันนี้มีความพร้อมและจะเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม โดยจะมีการแต่งตั้ง โฆษกกระทรวง/ส่วนราชการ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯ เพื่อประสานและดำเนินการตอบโต้ข่าวปลอมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว  

โดยมีแนวทางให้ทุกกระทรวง จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงขึ้นโดยด่วน เพื่อติดตาม ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างรวดเร็ว และเพื่อประสานการปฏิบัติกับคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯ กับกระทรวงดิจิทัลฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อกำชับให้ กระทรวง/ส่วนราชการ ที่ได้รับความเสียหายจากการให้ข้อมูล/ข่าวสารที่เป็นเท็จ/บิดเบือน รีบดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยเร็ว รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อประกอบการประเมินผลการดำเนินงานตามวงรอบที่เหมาะสมต่อไป

“บิ๊กป้อม” ประชุมกนภ. ย้ำ ทส.ขับเคลื่อน ลดก๊าซเรือนกระจกต่อเนื่อง ตามกรอบ UN เน้นสร้างการรับรู้-ปชช. มีส่วนร่วม เห็นชอบ มาตรการทดแทนปูนเม็ด และแถลงการณ์ร่วม ไทย-สวิส สานความสัมพันธ์ มุ่ง ปก.ภาวะโลกร้อน ทั้งภายในประเทศ และของโลก

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 3/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 301  ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ การดำเนินงานที่สำคัญ และผลการประชุมระดับรัฐมนตรีระหว่างผู้นำสหรัฐ และผู้นำจากประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับสูง รวมทั้งผู้นำจากประเทศที่มีการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างโดดเด่น และได้เตรียมการประชุมครั้งต่อไป ณ สหราชอาณาจักรในเดือน พ.ย.2564 โดยมี รมว.ทส.ของไทยได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม ในหัวข้อ "Climate Adaptation and Resilience" 

กนภ. ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ (ร่าง) กรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ.2564 เพื่อใช้ในการเจรจาการประชุมองค์กรย่อยต่อไป และเห็นชอบ ข้อเสนอตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : มาตรการทดแทนปูนเม็ด อาทิ ให้ เร่งรัดปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ประเภทผลิตภัณฑ์คอนกรีต ให้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นวัตถุดิบได้ เป็นต้น รวมถึงได้มีการเห็นชอบ (ร่าง) แถลงการณ์ร่วม (joint statement) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยกับกรมสิ่งแวดล้อมของสวิส ในความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 90 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้ง 2 ประเทศ

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งได้มีความพยายามแก้ปัญหา มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในประเทศ และของโลก ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ พร้อมกำชับ ทส.ให้เร่งสร้างการรับรู้/ความเข้าใจให้แก่ประชาชน และมีส่วนร่วมสนับสนุนภาครัฐ รวมถึงรณรงค์ขอให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภาวะโลกร้อน ไปด้วยกัน

"ศรีสุวรรณ" หอบหลักฐาน ร้อง กกต.วินิจฉัยให้เลือกตั้ง อบจ.นนทบุรีใหม่ หลังพบทำผิดซื้อเสียง-ฝ่าฝืนหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์-สัญญาว่าจะให้เงินเด็ก

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อให้ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัย เพราะมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างมากมาย

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจาก กกต. ได้จัดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิก อบจ. และนายก อบจ.ทั่วประเทศเมื่อ 20 ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ จ.นนทบุรี มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา65 (1) อย่างโจ๋งครึ่ม อาทิ มีการซื้อสิทธิ-ขายเสียง โดยมีการแจกเงินหัวละ 300 บาท โดยมีพยานหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งมีการนำมาโพสต์แพร่หลายในโซเชียลมีเดีย กระทั่งมีความพยายามวิ่งเต้นเพื่อเบี่ยงเบนหลักฐานดังกล่าวที่แพร่หลาย โดยอ้างว่าเป็นการชำระหนี้กันแทน แต่ทว่าหลักฐานของการโทรศัพท์มาเคลียร์ของฝ่ายซื้อเสียงเป็นประจักษ์พยานที่ปฏิเสธไม่ได้

นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานการโฆษณาในโซเชียลฯต่าง ๆ ที่สามารถชี้ชัดถึงผู้สมัครนายก อบจ.บางรายเกี่ยวกับการให้หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สิน โดยเฉพาะการให้เงินเดือนของตนกับเด็กประพฤติดีแต่ยากจนตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งถ้าบวกค่าตอบแทนประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนพิเศษเข้าไปอีกจะตกประมาณ 75,530 บาทต่อเดือน หรือ 906,360 บาทต่อปี หรือกว่า 18 ล้านบาทตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งกว่า 16 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดต่อประกาศผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำ จ.นนทบุรี เรื่อง กำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของนายก อบจ. ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 7 ล้านบาทเท่านั้น

อีกทั้งยังมีหลักฐานที่ชี้ว่าการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีการฝ่าฝืนระเบียบกกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2563 มากมาย ทั้งการนำเด็กๆมาใช้ในการทำแผ่นป้ายหาเสียง ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืน มาตรา 27 ประกอบ มาตรา79 แห่ง พ.ร.บ.การคุ้มครองเด็ก 2546 อีกด้วย

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า แม้ กกต.จะได้ประกาศผลการเลือกตั้ง สมาชิก อบจ.และนายก อบจ.นนทบุรีไปแล้วก็ตาม แต่ทว่าตาม มาตรา17 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 บัญญัติไว้ว่า “การประกาศผลการเลือกตั้ง ไม่เป็นการตัดหน้าที่และอำนาจของ กกต.ที่จะดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัย เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม” ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯ จึงนำพยานหลักฐานที่ชี้ชัดเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อบจ.นนทบุรี มาร้อง กกต. เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดและหรือร้องต่อศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ต่อไป

"กรณ์-อรรถวิชช์" เปิด "ศูนย์สู้โควิด คลองสามวา" ช่วยประชาชนกทม.ตะวันออก สู้วิกฤตโควิด-19 ย้ำโครงการ "กล้าสู้โควิด-กล้าเติมอิ่ม-กล้าหางาน" ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค, นายสมัย เจริญช่าง ประธานคณะกรรมการจริยธรรมพรรค ร่วมงานเปิด "ศูนย์สู้โควิด คลองสามวา" ตั้งโดยนายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. และนายมนูญ อินช่วย ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ก. ที่ปั๊มน้ำมัน SUSCO ถนนหทัยราษฏร์ เพื่อไปศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือรวบรวมสิ่งของ อาหาร ฉีดพ่นในพื้นที่ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. ตะวันออก โดยการสนับสนุนสถานที่จากนายภิมุข สิมะโรจน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท SUSCO จำกัด (มหาชน) 

นายกรณ์ กล่าวว่า แม้พรรคกล้ายังไม่มี ส.ส.ในสภาฯ แต่ได้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะคนจนในเขตเมือง ระดมตัวแทนทั้ง 50 เขต นำโดยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค ตั้งแต่โครงการ "กล้าสู้โควิด" ช่วยหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อได้นับร้อยคน และส่วนใหญ่รักษาจนหายกลับไปที่บ้านแล้ว, โครงการ "กล้าเติมอิ่ม" ตั้งโรงครัว แจกข้าวกล่อง ช่วยเหลือประชาชนที่ขาดรายได้ กักตัวไม่สามารถออกมาจากบ้านได้ และโครงการ "กล้าหางาน" ที่เพิ่งเปิดเมื่อต้นสัปดาห์ เพื่อบรรเทาผลกระทบการว่างงานจากวิกฤตโควิด-19 ช่วยประชาชนที่ว่างงานได้มีงานทำ 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจเขตนี้ ที่ช่วยกันสร้างค่านิยมการลงมือทำ ช่วงการเมือง 10 ปีแบ่งฝั่งซ้ายฝั่งขวา แต่พรรคกล้าต้องการเปลี่ยนสังคมและวัฒนธรรมทางการเมืองด้วยการลงมือทำ ไม่ต้องมีใครมาโหนใครข้างไหนทั้งนั้น และยิ่งโควิดครั้งนี้ อันตรายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ดีใจและขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันวันนี้

นายสมัย เจริญช่าง ประธานคณะกรรมการจริยธรรมพรรค กล่าวว่า วันนี้คลองสามวาได้คนรุ่นใหม่อย่างนายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. และนายมนูญ อินช่วย ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ก. มาทำงานต่อเนื่องก็อยากฝากพี่น้องประชาชนว่า นายณัฐนันท์จะมีโอกาสได้ทำงานมากกว่านี้หากมีสถานภาพเป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมาย และนายมนูญจะได้ทำงานระดับท้องที่ท้องถิ่นได้มากขึ้น 

นายสมัย ยังกล่าวถึงปัญหาการกระจายวัคซีนในพื้นที่คลองสามวา เป็นเขตที่มีประชากรกว่า 2 แสนคน แต่มีสถานที่ฉีดวัคซีนเพียงแห่งเดียวคือโรงพยาบาลคลองสามวา และเป็นโรงพยาบาลที่เพิ่งเปิดใหม่ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ และหลาย ๆ คนเข้าไปสมัครลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่าน Application หมอพร้อมไม่ได้ แม้บางรายก็ยังไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แต่โดยภาพรวมก็ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น หวังว่าพรรคกล้าจะนำบทเรียนความผิดพลาดเหล่านี้ นำไปสู่การกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาต่อไปในอนาคต

ศบค. ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 2 เดือน ถึง 31 ก.ค.

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่ศบค. ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ครั้งที่ 7 / 2564 ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศบค. เป็นประธานการประชุมว่า ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่มีข้อสรุปให้ขยายเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 12 โดยเห็นชอบให้ขยายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 โดยเหตุผลเพื่อการควบคุมโรคระบาด โควิด-19 เป็นหลัก
 

ทอ. ส่งเจ้าหน้าที่ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ทำความสะอาด ตลาดยิ่งเจริญก่อนเปิดบริการ

พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ นำคณะเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ นิวเคลียร์ ชีวะ เคมี กองทัพอากาศ จากศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศ ทำการฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เพื่อทำความสะอาดภายในตลาดยิ่งเจริญ หลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวนมาก จากการตรวจหาเชิงรุก แก่ผู้ค้า ผู้ช่วยค้า แรงงานข้ามชาติ และชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ตลาดยิ่งเจริญ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมเป็นต้นมา

โดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศ ได้ทำการฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ตั้งแต่บริเวณโซนปลาน้ำจืดถึงโซนอาหารทะเล, โซนอาคารยาว ตลาดท้ายเพชร, เต็นท์ยักษ์ ลานจอดรถที่ 3, โซนพลาซ่า, อาคาร 60 ปี, อาคาร 800 ตารางเมตร และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงตลาดยิ่งเจริญ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการต่อไป

ทั้งนี้ กองทัพอากาศ ยังคงดำเนินการตามมาตรการบรรเทาและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง อีกทั้งยังดำรงความพร้อมของทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือกับสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรค เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว

แจงแทน “แรมโบ้” ออกโรงยืนยันผลงานรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2 ปีมีมากมาย ขอประชาชนเชื่อมั่น “บิ๊กตู่” ทำงานเพื่อประชาชน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ว่าตั้งแต่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผลงานหลายอย่างและปฏิรูปประเทศไปแล้วในหลายด้าน ทั้งการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน มอเตอร์เวย์ ทางด่วน วงแหวน อุโมงค์  การขนส่งทางราง ที่มีสถานีกลางบางซื่อ การเชื่อมโยงรถ-เรือ-ราง เร่งสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ และเรือ Smart ferry เจ้าพระยา เรือไฟฟ้าคลองผดุงฯ รวมถึงการปฏิรูปคุณภาพชีวิตชาวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แนวทางแก้ปัญหาเมืองหลวง แก้ปัญหาผู้มีรายได้น้อย ปฏิรูปสู่ยุคดิจิทัล ปฏิรูปกฎหมายปลดล็อกประเด็นสังคม และระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการปฏิรูประบบสวัสดิการแห่งรัฐ การศึกษา ระบบบำนาญเพื่อทุกคน ปฏิรูปภาคการเกษตร จัดสรรที่ดินทำกินเกษตรกร และปฏิรูปประเทศด้วย “นวัตกรรม” โดยผลักดัน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้าง EEC ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งและโทรคมนาคม เป็นต้น

นายเสกสกล กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ปฏิรูปเยียวยายามวิกฤตในช่วงที่ประเทศเกิดสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชน รวมถึงการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มีการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ควบคู่ไปกับการหามาตรการมาเยียวยาด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันได้เร่งจัดหาวัคซีน เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดและให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนทุกคนโดยประกาศ การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติด้วย ที่ผ่านมาตั้งแต่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน นายกฯ มีความตั้งใจและทำงานอย่างเต็มที่ในการที่แก้ไขปัญหาที่สะสมมานานรวมถึงการพัฒนาประเทศในทุกด้าน จึงอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ว่าตลอดการทำงานนั้นทำเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่และสุดความสามารถ

"ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าในช่วง 2 ปีหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา รัฐบาลนี้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และมากกว่ารัฐบาลในอดีตมากมาย ดังนั้นฝ่ายค้านหรือฝ่ายตรงข้ามที่พูดจาใส่ความนายกฯ และรัฐบาลว่าไม่มีผลงานใด ๆ ก็ขอให้ประชาชน อย่าได้เชื่อข้อมูล เพราะฝ่ายค้านต้องการโจมตีรัฐบาลเพื่อกลับมามีอำนาจเป็นรัฐบาลเสียเองโดยไม่เอาข้อมูลความจริงมาพูด เพราะเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องทำหน้าที่ค้าน ซึ่งบางคนก็ค้านอย่างไร้เหตุผล" นายเสกสกล กล่าว

‘บิ๊กตู่’ สั่ง เข้มชายแดน ฟันไม่เลี้ยงนายหน้า-จนท.ลักลอบพาคนเข้าประเทศ ด้าน ตชด.เตรียม 14 รพ. สนาม รับมือต่างด้าวข้ามแดนผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายก เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ให้เข้มงวดเรื่องการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศไทยอย่างสูงสุด เพราะขณะนี้ยังมีการลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้ลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด 

นายกฯ ยังกำชับเรื่องความพร้อมในเรื่องสถานที่กักกันตัวในระดับท้องถิ่น และโรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่จ.ชายแดน เพื่อเตรียมรับการเดินทางกลับเข้าประเทศของคนไทยตามช่องทางทางบก และกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่ม 14 แห่ง เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ข้ามแดนผิดกฎหมาย เป็นการยับยั้งไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังชุมชน และยังเน้นย้ำให้จับกุมนายหน้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายที่เกี่ยวกับกระบวนการนำคนต่างชาติเข้ามาเป็นแรงงานอย่างผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน เพราะเป็นการกระทำที่เลวร้าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการการแพร่ระบาดโควิด19ในประเทศไทย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ทั้งนี้การแจ้งข้อมูลและเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคและกรณีเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สามารถแจ้ง ผ่านสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และศูนย์บริการประชาชน 1111 ในส่วนแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีจำนวนเรื่องสะสมตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.-20 พ.ค.แล้ว 45 เรื่อง ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 42 เรื่อง จับกุมดำเนินคดี 11 คดี มีผู้กระทำความผิด 66 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3 เรื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top