Tuesday, 8 July 2025
NewsFeed

คปภ. จี้ บริษัทประกันเร่งจ่ายเคลมโควิด หลังมีการร้องเรียนจ่ายล่าช้า

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ คปภ.ได้ออกคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาการเคลมประกันภัยโควิดเจอจ่ายจบ ล่าช้า มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้บริษัทที่มีปัญหาเรียกร้องการจ่ายเคลมตั้งแต่ 100 เรื่องขึ้นไป ต้องจัดตั้งหน่วยงานรับเรื่องเรียกร้องเคลมโควิดขึ้นมา และกำหนดให้ตรวจสอบเอกสารเรียกร้องค่าสินไหมให้เสร็จใน 3 วัน หากเอกสารครบถ้วนต้องจ่ายเคลมภายใน 15 วัน แต่ถ้าไม่ครบต้องรีบแจ้งผู้เอาประกันภัยภายในเดียวกับที่ตรวจ และให้จ่ายหลังจากนั้นภายใน 15 วันหลังยื่นเอกสารแล้ว 

ส่วนในกรณีมีปัญหาการตีความและหาข้อยุติไม่ได้ ให้บริษัทประกันเสนอความเห็นต่อ คปภ. ภายใน 7 วัน รวมถึงรายงานผลทุก 15 วัน ซึ่ง คปภ.ได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ 4 ชุด มาช่วยพิจารณาประกันในส่วนเจอจ่ายจบ ค่าชดเชยรายวัน ค่ารักษาพยาบาล และอื่น ๆ เป็นการเฉพาะ รวมถึงหากพบล่าช้าเกิน 15 วัน และเข้าข่ายประวิงเวลาก็จะใช้กฎหมายเล่นงาน

นอกจากนี้ คปภ. ยังตรวจสอบความเสี่ยงของบริษัท และจะมีการผ่อนเกณฑ์กำกับดูแลชั่วคราว เพื่อให้บริษัทประกันภัยสามารถจ่ายเคลมประกันโควิดถึงมือประชาชนได้รวดเร็วขึ้น เพราะที่ผ่านมายอมรับว่ายอดเคลมเข้ามาค่อนข้างมาก วันหนึ่งนับพันรายทำให้อาจมีปัญหาดำเนินการ ซึ่ง คปภ.พยายามเข้าอุดรอยรั่วต่าง ๆ เพื่อดูแลประชาชนให้ได้ประโยชน์ที่สุด 

อย่างไรก็ดี ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้ (2 ก.ย. 64) ได้กลับมาเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์อีกจนได้สำหรับเรื่องราวของลูกค้าประกันภัยโควิดเจอจ่ายจบ ที่ไม่จบเสียที เมื่อเกิดกรณีลูกค้าบุกไปปิดล้อมหน้าตึกทำการสนง.ใหญ่ของบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัดย่านสีลม หลังจากได้เรื่อง ยื่นเคลมประกันภัยโควิด-19 กับทางบริษัท ซึ่งยังคงเป็นประเด็นค้างคาไว้เดิม สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ยื่นเอกสารแล้ว บริษัททำเรื่องล่าช้าบ้าง ติดต่อทางบริษัทไม่ได้บ้าง ทั้งที่โฆษณาไว้ว่า เคลมจ่ายเงินใช้เวลาแค่ 1 วัน

โดยล่าสุด ได้มีสมาชิกผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า @anuwat2012 ได้โพสต์คลิปลูกค้าจำนวนมาก บุกไปยัง บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด บริเวณสีลม โดยได้รุบะขุ้ความว่า “ลูกค้าประกันภัยโควิด-19 ปิดหน้าบริษัทอาคเนย์ประกันภัยสีลม หลังจากยื่นเคลมแล้วไม่ได้รับเงินสินไหมตามที่ได้ซื้อประกันไว้"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

อว. เดินหน้าโครงการ "อว. ลดค่าเทอม" ตามนโยบายรัฐบาล เบิกจ่ายเงินส่งให้มหาวิทยาลัยที่ยืนยันข้อมูลครบถ้วนแล้ว 29 แห่ง จำนวน 2,250 ล้านบาท ย้ำเงินทุกบาทที่รัฐสนับสนุนต้องถึงมือนักศึกษา

ศ.(พิเศษ) ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ อว. ดำเนินโครงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ขณะนี้ ได้เริ่มการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการ "อว.ลดค่าเทอม" แล้วตั้งแต่วันที่พฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 

สำหรับมหาวิทยาลัยและสถาบันที่ได้จัดส่งข้อมูลผ่านการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง เสนอครบถ้วนแล้ว มีจำนวน 29 แห่ง รวมเป็นเงิน 2,250 ล้านบาท ซึ่งมหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาจะนำไปใช้ลดค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาภาคเรียนที่ 1/2564 ในสัดส่วนเงินสนับสนุนจากรัฐบาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ได้แจ้งไปแล้ว โดยเน้นย้ำให้กระบวนการอนุมัติงบประมาณมีความรวดเร็ว รอบคอบ รัดกุม ขั้นตอนจ่ายเงินขอให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส สามารถติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินทุกขั้นตอน ไม่ให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด

รมว.อว. กล่าวต่อว่า ทางอว. ได้เร่งติดตามและตรวจสอบระบบการเบิกจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทที่รัฐบาลสนับสนุน ต้องถึงมือนิสิตนักศึกษา โดยมหาวิทยาลัยจะจ่ายเงินคืนกับนิสิตนักศึกษาที่ได้ชำระค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาไปแล้วหรือใช้ลดค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาสำหรับผู้ที่กำลังจะชำระเงิน โดยทางมหาวิทยาลัยไม่เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด

ด้าน ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. รายงานเพิ่มเติมว่า สำนักงานปลัด อว. ได้ตั้งศูนย์ประสานงานเรื่องดังกล่าวและทำงานร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.), ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.), ที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล( ทปอ.มทร.), สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษานอก อว. กันอย่างใกล้ชิด ใช้ระบบฐานข้อมูลการอุดมศึกษากลางของประเทศ ซึ่งดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมาก 

โดยเมื่อสภาพัฒน์ สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังได้ตรวจสอบโครงการแล้ว ส่งต่อให้กรมบัญชีกลางเพื่อโอนเงินโครงการนี้มาให้ อว. ซึ่ง อว. ได้สั่งการเบิกจ่ายไปยังมหาวิทยาลัยที่ได้จัดส่งและยืนยันข้อมูลเข้ามาครบถ้วนแล้วในสัปดาห์เดียวกันเลย

 “การดำเนินงานต่างๆ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม อว. ขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ให้เร่งตรวจสอบและยืนยันข้อมูลนักศึกษาส่งมาที่กระทรวงโดยเร็ว เพื่อดำเนินการอนุมัติเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาต่อไป” ปลัด อว. สรุป


ที่มา : Facebook Page : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
https://www.facebook.com/184257161601372/posts/4931132673580440/

'ผศ.ดร.วรัชญ์' ยื่นเรื่องต่อ กสทช. สอบผู้ประกาศข่าว เหตุชวนข้ามข่าว 2 ทุ่ม ถือว่าเป็นการด้อยค่าสถานบันหรือไม่?

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. โพสต์เฟซบุ๊กว่า... 

เมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ได้แจ้งผม พร้อมทั้งส่งลิงก์มาให้ดู ว่า... 

มีรายการข่าวทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง (ช่องที่ช่วงหลังมานี้ทำข่าวด้วยอคติจนเนื้อหาผิดพลาดอย่างร้ายแรงหลายครั้ง จนทางการต้องออกมาบอกชี้แจงว่าเป็นข่าวปลอม และเมื่อผมไปทักท้วง ก็เรียกผมว่าเป็น "นักวิชาเกิน") 

ได้มีการกล่าวข้อความที่ไม่เหมาะสม คือ หลังจากนำเสนอข่าวของรายการในช่วงแรกเสร็จ ก่อนจะตัดเข้าสู่ช่วงข่าวในพระราชสำนัก ผู้ประกาศคนหนึ่งได้กล่าวว่า... 

"เราจะมาเจอกันอีกรอบนึง เป็นยกสอง ของ (ชื่อรายการ) หลังข่าวในพระราชสำนักนะครับ" 

และกล่าวต่อไปว่า "พักไปอาบน้ำอาบท่า แป๊บเดียวเท่านั้น แล้วเดี๋ยวมาพบเจอกับ (ชื่อผู้ประกาศ) กันต่อ"

ซึ่งความหมาย หากใครฟังก็คงเข้าใจได้ว่า ช่วงข่าวในพระราชสำนัก เป็นช่วงที่ไม่มีความสำคัญ ไม่ต้องดู ไปอาบน้ำ ไปทำอะไรอย่างอื่นก่อน จบแล้วค่อยมาดูข่าวกันต่อ ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็เป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง 

บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาจจะเป็นแค่การพูด "หลุดปาก" แต่หากผู้ประกาศข่าวเผยแพร่ความคิดเช่นนี้ต่อคนจำนวนมากไปเรื่อย ๆ ก็เป็นการด้อยค่า กัดเซาะ บ่อนทำลายความสำคัญของสถาบันหลักของชาติอย่างแน่นอน และคำว่า "หลุดปาก" จริง ๆ แล้วก็คือการแสดงตัวตนของบุคคลคนนั้นนั่นเอง

ข้าราชการท่านนี้ จึงบอกผมว่า ฟังแล้วอึดอัดใจมาก จึงมาปรึกษาผมว่าควรจะทำอย่างไร ตัวท่านเองก็ได้แจ้งทางผู้บังคับบัญชาไปอีกชั้นหนึ่งด้วย 

ผมจึงได้ร้องเรียนต่อ กสทช. ในนามประชาชนคนหนึ่งที่จงรักภักดี และจะคอยติดตามผลแนวทางการดำเนินการของ กสทช. ในกรณีนี้ ว่าจะให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด และจะแจ้งให้ทุกท่านทราบผลต่อไปครับ

หมายเหตุ: ไม่ได้อยู่บนถนนวิภาวดีครับ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

“สท.เจี๊ยบ” วสิตา  บุญริ้ว  ลงพื้นที่แพรกษา เยี่ยมให้กำลังใจผู้ป่วยโควิด-19  พร้อมมอบถุงยังชีพแก่ผู้ติดเชื้อ  ฝ่าวิกฤตโควิด-19

นางวสิตา  บุญริ้ว  สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษา  เขต 3  พร้อมด้วย  คณะเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองแพรกษา  ลงพื้นที่ภายในชุมชนเขตพื้นที่  ต.แพรกษา  อ.เมือง  จ.สมุทรปราการ  เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19  ตามชุมชนต่างๆ พร้อมกับนำถุงยังชีพไปมอบให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19  ที่ต้องกักตัวภายในบ้านพักเพื่อประเมินอาการป่วย

โดยการลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19  นั้น  นางวสิตา  บุญริ้ว  สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษา  ตลอดจนคณะสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษามีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในชุมชนที่ติดเชื้อโควิด-19  ประกอบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19  อย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของทางเทศบาลเมืองแพรกษา  นำถุงยังชีพมามอบให้กับผู้ติดเชื้อเนื่องจากทางเทศบาลเมืองแพรกษา  มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ต้องกักตัวภายในบ้านพักเพื่อประเมินอาการป่วย  และยังแสดงออกถึงความห่วงใยที่มีต่อประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองแพรกษา

อย่างไรก็ตาม  การลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้ติดเชื้อภายในชุมชนต่างๆ นั้น  นางวสิตา  บุญริ้ว  สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษา  ยังได้รับความร่วมมือจากทางร้านข้าวแกงละเวิก  นำอาหารแห้งประเภทอาหารกล่องมาร่วมสนับสนุนนำไปแจกให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19  อีกด้วย  สำหรับถุงยังชีพที่นำมามอบให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19  ทางเทศบาลเมืองแพรกษาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ในระดับหนึ่งและขอให้ประชาชนมีความอดทนเพื่อที่เราจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

‘เกาะติดภารกิจพันธมิตรจิตอาสา’ มอบข้าวปันอิ่มชุมชนพหลโยธิน 66 รวมใจพัฒนา หวังสร้างความสุข เติมรอยยิ้ม สู้ภัยโควิดไปด้วยกัน

เกาะติดภารกิจพันธมิตรจิตอาสา วันที่ 2 กันยายน ที่ชุมชนพลโยธิน 66 รวมใจพัฒนา เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร น.อ.วันชัย ทับเงิน ประธานกรรมการชุมชน พร้อมคณะกรรมการ รับมอบข้าวกล่องพร้อมทานจาก "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" เพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 จากนายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรจิตอาสาจากองค์กรต่างๆ ประกอบด้วย มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เว็ปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ เพื่อส่งมอบถึงมือชาวบ้านได้ปันอิ่ม

นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า กิจกรรมที่สมาคมฯร่วมกับพันธมิตรจิตอาสาครั้งนี้ ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม จนถึงวันที่ 26 กันยายน โดยเป็นสะพานบุญ รับมอบเพื่อส่งต่อข้าวกล่องพร้อมทานโครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" ของบริษัทในเครือซีพี  และ น้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ร่วมส่งกำลังใจถึงพี่น้องประชาชนผ่าน “ข้าวกล่องปันอิ่ม”

นำไปมอบให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดเชื้อโควิด เพื่อช่วยเหลือให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน ซึ่งวันนี้มอบให้กับชุมชนตั้งอยู่ตะเข็บรอยต่อระหว่างกรุงเทพมหานครฝั่งเหนือ ติดกับ จ.ปทุมธานี

ด้านน.อ.วันชัย ทับเงิน กล่าวว่า ชุมชนแห่งนี้มีผู้พักอาศัยจำนวน 108 ครัวเรือน มีสมาชิกกว่า 400 คน มีผู้ที่ติดเชื้อโควิด และส่งตัวไปทำการรักษายังโรงพยาบาลแล้ว 4 ราย และผู้ป่วยติดเตียงอีก 2 ราย โดยภายในชุมชนมีทั้งผู้ป่วยติดเตียง คนพิการ ผู้ติดเชื้อโควิด คนตกงาน ล้วนได้รับผลกระทบจากการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา

นอกจากนี้ พันธมิตรจิตอาสา ยังนำข้าวกล่องพร้อมทานส่งมอบให้กับ พนักงานทำความสะอาดกทม. วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และคนเร่ขายไอศครีม ได้ปันอิ่ม

สภาอุตฯ ผนึกพันธมิตร เร่งผลักดัน BCG Model พร้อมพัฒนาแล้ว 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม

(2 ก.ย. 64) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือดำเนินโครงการการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อยกระดับภาคธุรกิจ 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ BCG ในฐานะวาระแห่งชาติ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ร่วมผลักดันและดำเนินงานตามนโยบาย BCG ของประเทศ ภายใต้ 3 กลยุทธ์ คือ 1.) การพัฒนาโมเดล BCG และการขยายผล 2.) การพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ และ 3.) การพัฒนามาตรฐานและการสนับสนุนด้านนโยบาย โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรบริสุทธิ์น้อยลง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมสำคัญ อาทิ…

>> การส่งเสริม Smart Agriculture Industry 
>> การพัฒนา Platform การบริหารจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วหรือที่เรียกว่า “Circular Material Hub” 
>> การจัดทำข้อตกลงร่วมบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 
>> การส่งเสริมการจัดขยะพลาสติกภายใต้การสนับสนุน AEPW 
>> การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 

รวมถึงโครงการการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า ในฐานะผู้ให้ทุนการสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ได้เล็งเห็นถึงบทบาทภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อน BCG ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งโครงการฯ จะเน้นการศึกษาวิจัย BCG Model ในทางวิชาการและสร้างการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจ BCG เพื่อนำไปสู่การปรับใช้ในทางธุรกิจให้เกิดขึ้นจริง หลังจากที่ผลการศึกษาเสร็จสิ้น บพข. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการในโครงการ ด้วยนโยบายการสนับสนุนทางการเงิน ภาษี การลงุทน กฎระเบียบ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนาและการตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างประโยชน์จากผลการวิจัยโครงการฯ ให้เกิดขึ้นจริงกับธุรกิจ 

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดี ด้านการวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับนโยบาย BCG เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2570 โดยความร่วมมือในโครงการนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะส่งเสริมและสนับสนุนในด้านวิชาการ ทั้งในเชิงองค์ความรู้เกี่ยวกับ Circular Economy และวิธีการวิจัยที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการทำ Focus Group และจัดทำ Guidelines เพื่อให้ผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สามารนำแนวทางไปปรับใช้และพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สายงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินภารกิจดูแล 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน BCG และร่วมผลักดันในการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต้นแบบโมเดลกลุ่มอุตสาหกรรมนำร่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดเป็นรูปธรรมและสัมฤทธิ์ผล เพื่อสร้างทางเลือกแผนธุรกิจที่มีศักยภาพสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและร่วมจัดทำคู่มือบทเรียนความสำเร็จของ CE Champion จาก 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม อาทิ...

1.) ปิโตรเคมี 
2.) วัสดุก่อสร้าง 
3.) อาหาร 
4.) ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 
5.) และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม

ทั้งหมดถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย มีความเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการทุกขนาดโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีจุดแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขัน ของประเทศ 


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

เพจดัง “Drama-addict” งัดผลวิจัย ชี้! บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำให้เซลล์ตายใน 30 นาที

จากการนำเสนอข่าว “เตือนสูบบุหรี่ไฟฟ้า 30 นาที เซลล์ถูกทำลาย เสี่ยงป่วยโรคหัวใจ ปอด มะเร็ง” โดยเพจ “อีจัน” โดยอ้างข่าวจากแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีและประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ทำให้ชาวเน็ตหัวร้อน เข้าไปแสดงความคิดเห็นโต้แย้ง จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ในขณะนี้นั้น “จ่าพิชิต" เจ้าของเฟซบุ๊กเพจชื่อดัง “ดราม่า แอดดิก” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ “ดราม่า แอดดิก” (Drama-addict) ระบุว่า จากงานวิจัยไม่ได้แปลว่า สูบแล้วเซลล์ตายในสามสิบนาที และยังคงต้องศึกษาต่อไปว่าระดับของอนุมูลอิสระในเซลล์ หรือ cellular oxidative stress ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่

ข้อความในเฟซบุ๊กเพจ “ดราม่า แอดดิก” (Drama-addict) ระบุว่า “อันนี้คอมเมนต์กำลังเดือด จ่าเลยไปหางานวิจัยอ้างอิงมาอ่านดูเป็นงานวิจัยแบบนี้ครับ นักวิจัย เอาเด็กวัยรุ่น 30 กว่าคน มาแบ่งสามกลุ่ม แบ่งเป็น 1. กลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่ 2. สูบบุหรี่ปรกติ 3. สูบบุหรี่ไฟฟ้า จากนั้นให้ทั้งสามกลุ่ม ปื้ด ๆ ๆ สูบบุหรี่ไฟฟ้า แล้วก็วัดค่า cellular oxidative stress หลังจากสูบสามสิบนาที ซึ่ง cellular oxidative stress นี้ หมายถึง ภาวะเครียดที่เกิดจากออกซีเดชัน ประมาณว่า เกิดพวกอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ ในระยะยาวก็อาจทำให้เซลล์ตาย หรือเสื่อมสภาพจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ ทีนี้ นักวิจัย วัดค่า cellular oxidative stress นี้ เทียบในทั้งสามกลุ่ม พบว่า ค่านี้ ในกลุ่มที่สูบบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าอยู่แล้ว ไม่ได้สูงขึ้นแต่อย่างใด (นักวิจัยโน๊ตไว้ว่า น่าจะเป็นเพราะค่าเบสไลน์ของกลุ่มนี้สูงอยู่แล้ว) แต่ค่านี้ในกลุ่มที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลย พุ่งสูงขึ้น 2-4 เท่า”

“ซึ่งยังต้องศึกษากันต่อไปว่า cellular oxidative stress ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ มีปัจจัยใดในบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีผลต่อมันบ้าง และจะมีผลระยะยาวต่อสุขภาพอย่างไร และคนที่ปรกติไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ก็ดีแล้ว อย่าลองสูบ ไม่ว่าจะบุหรี่จริงหรือบุหรี่ไฟฟ้า เพราะมันมีผลกับค่านี้เยอะกว่าในกลุ่มที่สูบอยู่แล้วมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่า สูบแล้วเซลล์ตายในสามสิบนาทีนะเธอว์ คนละประเด็นกัน”

โพสต์ดังกล่าวมีสมาชิกแฟนเพจเข้ามากดถูกใจกว่า 6 พันราย และยังแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่องอีกเกือบ 900 ราย ซึ่งต่างก็บอกตรงกันว่าเคยสูบบุหรี่มาหลายปี ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพราะรู้ว่าเป็นอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่ และก็พบว่าร่างกายดีขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ในขณะที่ส่วนใหญ่ก็เรียกร้องให้หยุดแอนตี้บุหรี่ไฟฟ้าและนำเสนอข้อมูลที่ไม่บิดเบือน รวมถึง เจ้าของเพจดัง 'เบ๊น อาปาเช่' ที่มาแสดงความคิดเห็นเช่นกันว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่

"คนพิการไทย หัวใจแบ่งปัน" จากผู้รับกลายเป็นผู้ให้...โดยนายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ร่วมส่งมอบข้าวสารให้แก่คนพิการ สืบเนื่องจากปัญหาสถานการณ์โควิด-19

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 ณ ชุมชนทิวสนพัฒนา ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี สืบเนื่องสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบันมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้พี่น้องประชาชน / คนพิการ  / ผู้ยากไร้ ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ ขาดรายได้ ตกงาน และเกิดปัญหาอีกมากมายตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น "นายณรงค์ ไปวันเสาร์" นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้มอบข้าวสารขาว 100% คัดพิเศษ จำนวนหนึ่ง เพื่อส่งมอบให้กับ "คนพิการ" และผู้ป่วยติดเตียง โดยมี "นายภูชิชย์ พิทักษ์กรณ์ " ฑูตอารยสถาปัตย์จังหวัดชลบุรี รหัส AX-3051 /สมาชิกสามัญคนพิการแห่งประเทศไทย (จังหวัดชลบุรี) ดำเนินการประสาน "นายวรวิทย์ รังสิโย" สมาชิกสภาเทศบาลตำบลบางพระ (สท.ฉัตร) และคณะกรรมการชุมชนทิวสนพัฒนา ประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งจัดผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมารับบริจาคสิ่งของต่าง ๆ ในวัน-เวลา ดังกล่าว (สำหรับคนพิการที่ไม่สามารถเดินทางมารับได้ด้วยตนเอง ทางเรามีหน่วยเคลื่อนที่เร็วไปมอบถึงที่บ้าน หรือญาติมารับแทนก็ได้)

โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยจึงถือหลัก "New Normal" วิถีชีวิตแนวใหม่ และมีเจ้าหน้าที่ อสม. มาร่วมวัดอุณหภูมิคัดกรอง ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ ให้กับผู้ที่มาร่วมงานทุกท่าน


ภาพ/ข่าว  น.ท.หญิงพิมพ์ผกา พิทักษ์กรณ์

‘เทพ โพธิ์งาม’ ฝากข้อคิดการสู้ชีวิต 5 ข้อ ผ่านเพจ ‘ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ’

เพจ ‘ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ’ ได้โพสต์ข้อความแนวคิดการสู้ชีวิต ของ ‘เทพ โพธิ์งาม’ หรือ ป๋าเทพ เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า 5 ข้อคิด จาก - เทพ โพธิ์งาม 

1.) ยอมรับความเปลี่ยนแปลง - ปรับตัว
เราควรยอมรับการเปลี่ยนแปลง สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่เหมือนสมัย 10 - 20 ปีก่อน ยังคล่องตัวอยู่ ไม่หนักหนาสาหัสขนาดนี้ บางคนมักนำปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับอดีตแล้วไม่ยอมรับ ซึ่งที่จริงแล้วควรต้องยอมรับ เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พร้อมให้แง่คิดในสไตล์แกว่า “เมื่อเราสมัครมาจะเป็นมนุษย์แล้ว ร้อนก็ต้องอยู่ได้ หนาวก็ต้องอยู่ได้ ในโลกปัจจุบันเราก็ต้องปรับตัวประคองเอาชีวิตให้อยู่รอด ให้มีชีวิตอยู่”

2.) รู้จักตัวเอง ทำแค่พอดีตัว อย่าประมาท
ถ้าจะเริ่มธุรกิจต้องดูตัวเอง ความหมายก็คือ ต้องรู้จักประเมินศักยภาพ ความสามารถของตนเองเสียก่อน รวมถึงเงินทุนที่มีอยู่ อย่าเพิ่งไปมองธุรกิจอะไรที่เกินกำลัง เพราะถ้าต้องไปกู้มาลงทุนเกินกำลัง นั่น คือ ความประมาท

ทั้งนี้ ป๋าเทพ บอกว่า “อย่าประมาท” คือ บทเรียนที่แกจำขึ้นใจ เพราะนี่คือปัจจัยสำคัญที่เคยทำให้แกเจ๊งมาหลายครั้ง โดยในข้อนี้ น่าจะเหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มออกมาใช้ชีวิตวัยทำงาน หรือ มองหาเส้นทางในการสร้างธุรกิจของตนเอง

3.) ก้าวข้ามความผิดพลาดในอดีต อยู่กับปัจจุบัน
เพราะความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ทุกการลงทุน ย่อมมีความเสี่ยง แต่สำหรับป๋าเทพเอง ในเรื่องนี้แกมองว่า ถ้าทำพลาด หรือ ล้มไปแล้ว ก็ให้ล้มไป แต่ควรผ่านมันไปให้ได้ และไม่ควรมานั่งเสียดาย เสียใจ ยึดติดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ต้องมองไปข้างหน้าว่าจะมีช่องว่างอะไรที่ทำให้เราได้คิด ได้วางแผน หรือไม่

โดยกล่าวว่า “ชีวิตไม่ได้หมดแค่นั้น ชีวิตพลาดทีเดียวไม่ได้หมายความว่าจบ หรือ หมดแค่นั้น คนที่เขาประสบความสำเร็จ บางคนเขาก็เจ๊งมาเยอะแยะ แต่มีความไม่ยอมแพ้ เชื่อไหมว่าคนทำหมื่นคน จริง ๆ มันมีคนพลาดเกือบ 9 พันกว่าคน สำเร็จออกมาไม่ถึง 10 คน แต่สุดท้ายก็อยู่ตรงที่ตัวเราเองว่าจะพัฒนา หรือ ดูแลให้ได้มาตรฐานที่ดีขึ้นอย่างไร”

4.) เรียนรู้จริงจากมหาลัยชีวิต ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ถือเป็นคำกล่าวอมตะที่ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคนมักนำมาพูดถึง แต่ในมุมของนักสู้ชีวิตที่ล้มเหลวมาแล้วหลายครั้งก็นำสิ่งนี้มาใช้เช่นกัน โดยป๋าเทพถือว่าความล้มเหลวที่ผ่านมาคือการลงทุนเพื่อหาความรู้ให้ตนเองผ่านมหาลัยชีวิต ที่แกนิยามไว้ดังนี้

“โรงเรียนมหาลัยชีวิต คือ โรงเรียนที่ต้องคิดว่าเริ่มต้นมาแล้วจะทำยังไง มันไม่มีวิชาในสถาบันเลยพวกนี้ มันเป็นวิชาที่ต้องมาเรียน เก่งมาจากไหน จบมาจากไหนก็ต้องมาเรียน เงินที่ลงทุนทำมาหากินไปมันเหมือนเป็นค่าเรียน พลาดพลั้งบ้างอะไรบ้าง มนุษย์มีกรอบอยู่ ความคิดสามารถเลยกรอบได้ แต่การประคองชีวิตมันก็ต้องเสี่ยง และใช้ความสามารถมากหน่อย มันจะมีสิ่งที่เป็นวิชาใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลาที่เรานึกไม่ถึงก็มี นั่นแหละก็คือการเรียน

5.) ทุกอย่างต้องวิเคราะห์
เพราะ “การวิเคราะห์” เป็นอีกหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ หรือ ทำงานต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ ช่วยสะท้อนจุดอ่อน จุดแข็ง หรือ ช่องโหว่ รอยรั่วที่มี เพื่อให้เราสามารถเติม หรือ เสริมในส่วนนั้น ๆ ได้ทัน ซึ่งในความล้มเหลวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ป๋าเทพ ก็ยอมรับว่า นี่ถือเป็นอีกจุดอ่อนสำคัญที่แกได้เรียนรู้และพบเจอ

“จะทำอะไรมันต้องมีการวิเคราะห์ สมัยก่อนที่ป๋าเจ๊งมาตลอด ก็มาจากส่วนหนึ่งเราไม่ได้คิดจ้องแต่จะโดดอย่างเดียว มองภาพสวยงาม เช่น ทำตรงนี้ได้กำไรเท่านี้แน่เลย แต่ไม่ได้คิดเลยว่าถ้าขายไม่ได้จะทำยังไง ไปหวังแต่สิ่งที่คิดว่าจะได้ พอมันพลาดก็เสียใจ เพราะว่าไม่ได้รอบคอบ ไม่ได้เรียนรู้มาก่อน สุดท้ายเราต้องสู้ ถ้ากูยอม กูก็อด อย่าไปท้อ”

“ความฝันตื่นมาแล้วก็จบ แต่ความจริงคือสิ่งที่ต้องติดตาม” และนี่คืออีกหนึ่งแง่มุมที่กลั่นออกมาเป็นบทเรียนจากชีวิตจริงของชายที่ชื่อว่า เทพ โพธิ์งาม


Cr. บทสัมภาษณ์จาก aommoney / Cr.ภาพจาก Zurrreal)

อว. ก้าวข้ามกรอบทำงานรูปแบบเดิม อนุญาตบัณฑิตทุน พสวท. ใช้ทุนด้วยการทำงานในภาคเอกชน เดินหน้าร่วมเอกชนพัฒนาไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วภายใน 10 ปี

ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยถึงโครงการส่งเสริมบัณฑิตทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปปฏิบัติงานในภาคเอกชน ว่า ภาคเอกชนนับเป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนในการลงทุนวิจัยและพัฒนากว่า 1.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของการลงทุนวิจัยและพัฒนาทั้งหมดของประเทศ 

ซึ่งแน่นอนว่าความต้องการบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนก็ต้องเพิ่มสูงมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจัยระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อให้สามารถรองรับการลงทุนวิจัยและพัฒนาได้ การปลดล็อกเพื่อให้บัณฑิตทุนไปทำงานภาคเอกชน จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนที่มีศักยภาพสูงของภาคเอกชน 

ซึ่งขณะนี้ อว. ได้ร่วมมือกับ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงความต้องการของภาคเอกชน สถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัยของรัฐและบัณฑิตทุนเข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อ Talent Thailand Platform ที่มีทั้งระบบการวิเคราะห์ข้อมูลกำลังคนที่มีศักยภาพสูงที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายและงานวิจัยขั้นแนวหน้า และการพัฒนาแพลตฟอร์มการใช้ประโยชน์กำลังคนที่มีศักยภาพสูงของประเทศ 

โดยในการดำเนินงานจะมีการส่งเสริมให้บัณฑิตทุนทุกคนได้รับการบ่มเพาะเพื่อเตรียมความพร้อมในการร่วมงานกับเอกชน และ ส.อ.ท. จะนำความเชี่ยวชาญของบัณฑิตทุนแต่ละคนมาวิเคราะห์เพื่อดูความเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม พร้อมกับสนับสนุนให้ไปทดลองงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 3 เดือน และหากภาคอุตสาหกรรมสนใจที่จะว่าจ้างบัณฑิตทุนต่อ ก็สามารถจัดทำเป็นสัญญาเพื่อดำเนินการจ้างต่อได้ 

ถือเป็นอีกก้าวที่การอุดมศึกษาจะเข้าไปเติมเต็ม ช่วยแก้ปัญหาการทำงานของภาคเอกชน และได้ก้าวข้ามกรอบการทำงานรูปแบบเดิมที่นักเรียนทุนต้องทำงานกับภาครัฐเท่านั้น โดยมุ่งหวังที่จะสามารถนำเอาศักยภาพของบัณฑิตทุนมาช่วยพัฒนาประเทศร่วมกับภาคเอกชนและเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วภายใน 10 ปี 

ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีพลิกโฉม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก การเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงการเกิดโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด -19 ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและสังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม 

ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนา การพัฒนากำลังคน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากกำลังคนผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศผ่านการดำเนินงานของทั้งภาครัฐและเอกชน 

แม้ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีระบบส่งเสริมการผลิตกำลังคนที่มีศักยภาพสูงผ่านการให้ทุนการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สามารถสร้างนักเรียนทุนรัฐบาลที่เป็นกำลังสำคัญที่จะใช้ความรู้และความสามารถช่วยพัฒนางานวิจัยและพัฒนาของประเทศเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและนำไปสู่การพัฒนาสังคมได้อย่างต่อเนื่อง 

แต่นักเรียนทุนรัฐบาลส่วนใหญ่เมื่อจบการศึกษาแล้วจะมีรูปแบบการชดใช้ทุนโดยการบรรจุเข้าทำงานในหน่วยงานของภาครัฐ สถาบันวิจัยของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษาตามหน่วยทุนต้นสังกัด และข้อจำกัดจากเงื่อนไขการชดใช้ทุนนี่เองที่ทำให้นักเรียนทุนบางส่วนไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ งานที่ได้รับมอบหมายขาดความท้าทายและไม่สอดคล้องกับความรู้และทักษะที่มี ทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสในการใช้กำลังคนอย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาประเทศ
.
ปัจจุบันประเทศไทยมีนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหลักของประเทศ อาทิ ทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ทุนโครงการปริญญาเอกกาญนาภิเษก (คปก.) และทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย 

ซึ่งมีผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วรวมประมาณ 9,000 คน และกำลังศึกษาอยู่ประมาณ 6,000 คน และคาดว่าจะมีนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาประมาณปีละ 500-700 คน และจากข้อมูลของ พสวท. พบว่า จากพลวัตรที่โลกปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว บางสาขาที่บัณฑิตทุนสำเร็จการศึกษามาอาจมีความล้ำหน้าหรือเจาะลึกและใช้เครื่องมือเฉพาะทางที่มีเฉพาะในห้องปฏิบัติการต่างประเทศ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการของงานวิจัยและการศึกษาในภาครัฐของไทยในปัจจุบัน จึงส่งผลให้บัณฑิตทุน พสวท. ยังรอเข้าปฏิบัติงานชดใช้ทุนอยู่ถึง 53 คน โดยเป็นบัณฑิตระดับปริญญาเอก 42 คน และระดับปริญญาโท 11 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2564) 

ดังนั้น การเปิดโอกาสให้บัณฑิตทุน พสวท. สามารถไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนที่มีกิจกรรมวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการใช้ประโยชน์กลุ่มกำลังคนศักยภาพสูง 


ที่มา : https://www.nxpo.or.th/th/8759/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top