Saturday, 14 June 2025
NewsFeed

‘เคนเนดี จูเนียร์’ ยกเครื่องบอร์ดวัคซีนสหรัฐฯ ประกาศตั้งทีมใหม่ 8 คน บางรายเคยด่าวัคซีนโควิด

(13 มิ.ย. 68) โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ (Robert F. Kennedy Jr.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ ประกาศแต่งตั้งสมาชิกใหม่ 8 คนเข้าสู่คณะกรรมการที่ปรึกษาวัคซีนของ CDC (ACIP) โดยในจำนวนนั้นมีผู้ที่เคยวิจารณ์วัคซีน โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19

ก่อนหน้านี้เพียง 2 วัน เคนเนดีเพิ่งปลดสมาชิกคณะกรรมการเดิมทั้ง 17 คน พร้อมระบุว่า ACIP ชุดเก่า “เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน” และทำหน้าที่เหมือน “ตรายางอนุมัติวัคซีนทุกชนิด” โดยไม่ได้ทบทวนข้อมูลอย่างเหมาะสม

เขาโพสต์บน X ว่าสมาชิกใหม่เป็น “นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และแพทย์ระดับประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข” ซึ่ง “ยึดหลักการแพทย์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีสามัญสำนึก” โดยทั้งหมดจะเริ่มเข้าร่วมประชุม ACIP ชุดใหม่ระหว่างวันที่ 25–27 มิถุนายนนี้

รายงานระบุว่าสมาชิกใหม่บางคนเคยมีบทบาทต่อต้านวัคซีน เช่น ดร.โรเบิร์ต มาโลน (Robert Malone) ผู้ร่วมพัฒนาเทคโนโลยี mRNA แต่เคยเผยแพร่ข้อมูลผิดเกี่ยวกับโควิด-19 รวมถึง ดร.มาร์ติน คุลดอร์ฟ (Martin Kulldorff) หนึ่งในผู้ร่วมเขียน "Great Barrington Declaration" ที่เสนอแนวคิดให้ประชาชนติดเชื้อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

นอกจากนี้มีอย่างน้อย 4 คนในคณะใหม่ที่ถูกอ้างถึงในหนังสือของเคนเนดี The Real Anthony Fauci ซึ่งวิจารณ์บทบาทของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯ ระหว่างวิกฤตโควิด โดยยังไม่ชัดเจนว่าเคนเนดีจะมีการแต่งตั้งกรรมการเพิ่มอีกหรือไม่ในอนาคต

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568

ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง
คนไหน ปล่อยวางเยอะ
คนนั้น ก็จะมีสุขเยอะ
ของสิ่งใดถ้าใช่ของเรา
อยู่ที่ไหนก็ใช่ของเรา
แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา
ให้อยู่กับมือเราก็ยังไปเป็นของคนอื่น

ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต

ปืนลูกซอง...อาวุธระยะประชิด ที่ดีที่สุดในการพิฆาตโดรนสังหาร

ในสงครามสมัยใหม่ อากาศยานควบคุมระยะไกลหรือโดรน จัดว่าเป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงอานุภาพ ปัจจุบันมีการนำโดรนมาใช้การรบทุกสมรภูมิ โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2025 ยูเครนได้ใช้โดรนติดอาวุธโจมตีฐานทัพอากาศรัสเซียเสียหายไป 4 แห่ง ทำให้เครื่องบินรบของรัสเซียเสียหายไปหลายลำ เหตุการณ์นี้ยิ่งสร้างความตระหนักแก่กองทัพของชาติต่าง ๆ ในการคิดค้นออกแบบยุทธวิธีและอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรับมือจากการโจมตีของ “โดรนติดอาวุธ” หรือ “โดรนสังหาร”

“โดรนติดอาวุธ” หรือ “โดรนสังหาร”หมายถึง อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ทางทหารที่ออกแบบมาเพื่อการรบ โดยเฉพาะโดรนประเภทนี้สามารถบรรทุกอาวุธ เช่น ขีปนาวุธ ระเบิด หรือแม้แต่อุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่อง (IED) เพื่อโจมตีเป้าหมาย โดยถูกควบคุมจากระยะไกล แต่จะมีระดับการทำงานอัตโนมัติที่มีระบบปฏิบัติการที่มีความแตกต่างกัน

“โดรนสังหาร” มีบทบาทสำคัญในสมรภูมิรบสมัยใหม่ จากการใช้งานโดรนอย่างแพร่หลายในยูเครนสามารถเป็นเครื่องยืนยันได้ และแม้ว่าสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีศักยภาพในการต่อต้าน “โดรนสังหาร” แต่โดรนสังหารขนาดเล็กจำนวนมากสามารถหลบเลี่ยงแนวป้องกันที่ดีที่สุดได้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาในทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านขีดความสามารถของ “โดรนสังหาร”

อุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อต้าน “โดรนสังหาร” ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้คือ “ปืนต่อต้านโดรน (Anti-drone gun)” ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีรูปร่างคล้ายปืนยาวใช้ในการปล่อยสัญญาณรบกวนการทำงานของโดรน โดยเฉพาะ สัญญาณการสื่อสาร และระบบนำทาง ปืนเหล่านี้จะรบกวนความถี่ที่ใช้ในการควบคุมโดรน ทำให้โดรนลงจอด ลอยนิ่ง หรือกลับสู่จุดเริ่มต้น นอกจาก นี้บางรุ่นยังรบกวนสัญญาณ GPS ซึ่งทำให้โดรนทำงานช้าลงอีกด้วย

แต่พัฒนาการของ “โดรนสังหาร” นั้นก้าวไปไกลมากจนกระทั่งประสิทธิภาพในการทำงานของ “ปืนต่อต้านโดรน” ลดลงจนอาจไม่ได้ผลเลย เมื่อมีการนำ สัญญาณการสื่อสาร และระบบนำทาง แบบพิเศษมาใช้ใน “โดรนพิสังหาร” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการทำงานของ “ปืนต่อต้านโดรน” กอปรกับบทเรียนจากสงครามยูเครน-รัสเซียได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับวิธีการที่ “โดรนสังหาร” กำหนดรูปแบบของสนามรบสมัยใหม่ โดยเฉพาะความสามารถของ “โดรนสังหาร” ในการโจมตีหน่วยทหารราบ ยานพาหนะ ตลอดจนยุทโธปกรณ์ ยุทธภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ และเสบียงต่าง ๆ ตลอดจนทรัพยากรสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อแนวรบของทั้งสองฝ่าย

“โดรนสังหาร” สามารถซุ่มโจมตีเหนือพื้นที่ปฏิบัติการและโจมตีอย่างแม่นยำ โดยสามารถส่งวัตถุระเบิดพร้อมกับถ่ายทอดข้อมูลสำคัญ หรือ “โดรนสังหาร” สามารถโอบล้อมพื้นที่เพื่อให้กำลังทหารเข้าใกล้เป้าหมายโดยไม่ถูกตรวจพบ กองกำลังทั้งยูเครนและรัสเซียต่างใช้ “โดรนสังหาร” ในการขัดขวางการเคลื่อนไหวของศัตรู ลดขีดความสามารถของยานเกราะ และสร้างอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ ฯลฯ

ดังนั้นจึงมีการหยิบเอาอาวุธที่มีอยู่มาใช้ในการต่อต้าน “โดรนสังหาร” ซึ่ง “ปืนลูกซอง” จัดว่าเป็นอาวุธที่ใช้ในการต่อต้าน “โดรนสังหาร” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ “โดรนสังหาร” ขนาดเล็ก ทหารของยูเครนได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในการต่อต้านภัยคุกคามจาก “โดรนสังหาร” ด้วยปืนลูกซองกึ่งอัตโนมัติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่งในการขัดขวางการปฏิบัติการของ “โดรนสังหาร” รัสเซีย แม้ว่า “ปืนลูกซอง” อาจไม่ใช่อาวุธหลักในการป้องกัน “โดรนสังหาร” แต่ก็สามารถใช้เพื่อเป็นแนวป้องกันสุดท้ายที่มีประสิทธิภาพได้ เพราะปืนลูกซองมีความทนทาน สามารถปรับใช้งานได้ง่าย และกลุ่มกระสุนกระจายเป็นวงกว้าง จึงทำให้แม้แต่ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเพียงเล็กน้อยก็มีโอกาสยิง “โดรนสังหาร” ถูกได้ อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนในการใช้ “ปืนลูกซอง” จะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น

ประเทศพันธมิตรของยูเครน เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี และเบลเยียม ต่างทราบดีถึงบทเรียนของทหารยูเครน และได้เริ่มนำปืนลูกซองมาใช้ในยุทธวิธีในการป้องกัน “โดรนสังหาร” โดยทั้งกองทัพทั้ง 3 ชาติต่างเลือกใช้ปืนลูกซองยี่ห้อเบเนลลี่หลายแบบที่ใช้ทั้งกระสุนลูกซองแบบดั้งเดิมและแบบพิเศษ ในระหว่างการทดสอบภาคสนาม อาวุธเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพอย่างมากในการยิง “โดรนสังหาร” ในระยะ 80–120 เมตร ทำให้สามารถนำไปใช้ในการป้องกันกองกำลังในขณะปฏิบัติการได้ กองทัพสหรัฐฯ เองจำเป็นต้องมีการฝึกฝนอย่างเต็มที่ในการใช้ปืนลูกซองเพื่อยิง “โดรนสังหาร” ซึ่งเป็นเป้าหมายทางอากาศในระยะประชิด

“ปืนลูกซอง” จึงเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับ “โดรนสังหาร” ในระยะประชิด แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่หลายประการ อาทิ การยิง “โดรนสังหาร” ที่กำลังบินมาหานั้น ผู้ที่ทำการยิงต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นแล้ว “โดรนสังหาร” เหล่านี้ยังสังเกตได้ยากมากอีกด้วย ถึงแม้ “โดรนสังหาร” แบบ Quadrocopter มักจะส่งเสียงดังตลอดเวลา แต่ในสนามรบซึ่งเป็นสถานที่ที่มีเสียงดังมากและมีความวุ่นวายตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องปกติที่ทหารที่เคยเจอโดรนเหล่านี้เล่าว่า เราจะไม่ทันสังเกตเห็น “โดรนสังหาร” จนกว่ามันจะบินอยู่เหนือเรา ซึ่งมีหลักฐานวิดีโอที่สนับสนุนในเรื่องนี้

ข้อดี:
- ความสะดวกในการใช้งานและความพร้อมใช้งานของปืนลูกซอง: สามารถเรียนรู้และใช้งานได้ค่อนข้างง่าย
- กลุ่มกระสุนครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง: กระสุนปืนลูกซองที่กระจายตัวจะเพิ่มโอกาสในการยิงถูกเป้าหมายขนาดเล็กที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น “โดรนสังหาร” ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในขณะที่บินต่ำหรือลอยตัวนิ่ง
- ความคุ้มค่า: โดยทั่วไป “ปืนลูกซอง” จะราคาไม่แพงไปกว่าเทคโนโลยีต่อต้านโดรนขั้นสูงอย่าง “ปืนต่อต้านโดรน” จึงทำให้ปืนลูกซองเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

ข้อจำกัด:
- ปืนลูกซองมีระยะยิงที่จำกัด ราว 80-100 เมตร และอาจไม่มีประสิทธิภาพในการยิง “โดรนสังหาร” ที่บินในระดับความสูงที่พ้นระยะหรือในระยะไกลมาก

กระสุน:
- กระสุนปืนลูกซองมีมากมายหลายแบบ สามารถเลือกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการต่อต้านโดรนได้ รวมไปถึงกระสุนพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อจับหรือทำลายใบพัดของโดรน เช่น กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ทดสอบกระสุนปืนลูกซองแบบ SkyNet Mi-5 ซึ่งสามารถปล่อยตาข่ายออกกลางอากาศเพื่อให้พันรอบใบพัดของโดรน
ทางเลือกสุดท้าย:
- แม้ “ปืนลูกซอง” จะไม่ใช่อาวุธสำหรับการป้องกันหลัก แต่ “ปืนลูกซอง” ก็สามารถใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อระบบป้องกัน “โดรนสังหาร” อื่น ๆ ไม่สามารถใช้การได้

สำหรับกองทัพไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการพัฒนาการใช้โดรนสำหรับภารกิจต่าง ๆ แต่การต่อต้านโดรนนั้น กองทัพบกได้พัฒนาปืนเล็กยาว M-16 ประกอบฐานยิง เพื่อใช้ในการต่อต้านโดรน ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการจัดซื้อจัดหา “ปืนต่อต้านโดรน” มาใช้ ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่า หน่วยงานความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน ควรได้ทำการศึกษาแนวทางในการใช้ “ปืนลูกซอง” ในการต่อต้านโดรนที่เป็นภัยต่อความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ทั้งวิธีการใช้ “ปืนลูกซอง” ในการต่อต้านโดรน โดยเฉพาะการพัฒนากระสุนปืนลูกซองที่เหมาะสมต่อการทำลานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและให้ประสิทธิผลมากที่สุด รวมทั้งอุปกรณ์ต่อต้านโดรนอื่น ๆ อาทิ ปืนเล็กกลสำหรับยิงโดรนขนาด .22 ซึ่งราคากระสุนจะถูกกว่ากระสุนขนาดมาตรฐานของกองทัพ และยิงได้ไกลกว่าปืนลูกซอง ฯลฯ โดยผู้เขียนยินดีให้ความรู้และคำแนะนำแก่หน่วยงานทุกหน่วยที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อนำไปใช้ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติต่อไป

สหรัฐฯ ไม่ควรเข้าร่วมสงครามกับอิหร่านในทุกระดับ การต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านก็ไม่มีอะไรจะเป็นคุณ กับสหรัฐฯ ได้

(14 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ทักเกอร์ คาร์ลสัน (Tucker Carlson) สื่อใหญ่มะกัน ผู้สนับสนุนทรัมป์มาโดยตลอดและพิธีกรรายการโทรทัศน์คนล่าสุดของทรัมป์ ได้ออกมาวิจารณ์ทรัมป์อย่างเปิดเผย หลังจากที่อิสราเอลโจมตีอิหร่าน 

โดยระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ 'สมรู้ร่วมคิด' กับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่าน

พร้อมเรียกร้องให้ทรัมป์ “ทิ้งอิสราเอล” และ “ปล่อยให้อิสราเอลสู้สงครามของตนเอง”

“สหรัฐฯ ไม่ควรเข้าร่วมสงครามกับอิหร่านในทุกระดับ ไม่ว่าจะด้วยเงินทุน อาวุธจากสหรัฐฯ หรือกำลังทหารในพื้นที่ ไม่ว่า 'พันธมิตรพิเศษ' ของเราจะพูดอะไรก็ตาม การต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านก็ไม่มีอะไรจะเป็นคุณกับสหรัฐฯ ได้”

ตม.3 ร่วมกับตำรวจนนทบุรีระดมกำลังตรวจสอบแรงงานต่างด้าวตลาดบางใหญ่ 

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.68) เวลาประมาณ 00.10 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม.พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ,พ.ต.อ.พัดธงทิว ดามาพงศ์ ผกก.ตม.จว.นนทบุรี,พ.ต.ท.รัฐไกร ประยูรศร รอง ผกก.สส. บก.ตม.3 ,ว่าที่ พ.ต.ท.จตุรโชค เพชรคง สว.กก.สส.บก.ตม.3  นำกำลังเข้าตรวจสอบร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี, ตม.จว.นนทบุรี, ฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานราชการอื่นๆ ในจังหวัดนนทบุรี ตรวจสอบแรงงานต่างด้าวทั้งหมดที่ตลาดบางใหญ่ ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พบแรงงานต่างด้าวจำนวนมากภายในตลาด กำลังทำงานตามแผงร้านค้าต่างๆ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงได้ระดมกำลังรวบรวมแรงงานต่างด้าวทั้งหมดมาตรวจสอบ

พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3 เปิดเผยว่าได้ร่วมกับ พ.ต.อ.พัดธงทิว ดามาพงศ์ ผกก.ตม.จว.นนทบุรีพร้อมกำลังเข้าร่วมปฏิบัติการตัังแต่เวลา 23.00 น. ของวันที่ 12 มิ.ย.68 ถึงเวลา 02.30 น. โดยได้นำแรงงานต่างด้าวทั้งสัญชาติกัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม จำนวนกว่า 400 คน มาตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าแรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่มีเอกสารประจำตัว และเอกสารการทำงานถูกต้อง ต่อมาได้นำแรงงานต่างด้าวจำนวน 181 คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาตรวจสอบโดยละเอียด หากแต่พบแรงงานต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย จำนวน 20 ราย โดยพบคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม 1 ราย กระทำความผิดฐาน “คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” และคนต่างด้าวสัญชาติลาวกระทำความผิด จำนวน 3 ราย โดยจำนวน 2 ราย มีความผิดฐาน “คนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และจำนวน 1 ราย มีความผิดฐาน “คนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน”  ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของการไม่แจ้งที่พักอาศัยเท่านั้น  เจ้าหน้าที่จึงจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

นอกจากนี้ พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ผบก.ตม.3 ยังเปิดเผยอีกว่า ความผิดในข้อหาดังกล่าวแม้มีโทษเพียงการปรับในชั้นศาล แต่ผู้ถูกจับจะต้องถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ถูกบันทึกเป็นบุคคลต้องห้าม หรือ blacklist ห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และถูกส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป

'บรอ.12' บุกนอร์เวย์–เดนมาร์ก ศึกษาความมั่นคง–สัมพันธ์ 400 ปี

รองผบ.ตร. นำคณะ 'บรอ.12' ดูงานยุโรป เสริมแกร่งผู้นำภาครัฐ–เอกชน เจาะลึกนโยบายโลก–สายสัมพันธ์ไทย–เดนมาร์กอันแน่นแฟ้น

ระหว่างวันที่ 7–13 มิถุนายน 2568 พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ได้นำนักศึกษา หลักสูตรการบริหารการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 12 (บรอ.12) จำนวน 38 คน เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศ นอร์เวย์และเดนมาร์ก เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านความมั่นคง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โดยมีข้าราชการตำรวจ ภารรัฐ เอกชน ประกอบด้วย พล.ต.ต.กานตพงศ์ ชัยรุ่งเรือง รองผบช.ศ. / รองหัวหน้าคณะ พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (รองผบ.ตชด.) , พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส รองจเรตำรวจ (สบ.7) , พล.ต.ต.คธา เกษรมาลา ผู้บังคับการอำนวยการ บช.ส. , พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผู้บังคับการ ปส.2 ,  พล.ต.ต.กัปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผบก.น.7 , พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.อก.บช.ก. , พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผบก.อก.ภ.1 , พล.ต.ต.ปราโมทย์ สิมหลวง เลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายทรงชัย อันนานนท์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการภาค 2 ,  นายสุรเชษฐ ณ กาฬสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานงบประมาณที่ 12 , นายสุบิน เนตรสว่าง ผู้อำนวยการเขื่อนรัชชประภา , นายธีรพงศ์ เพชรรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฎร์ธานี , นางสาววรรณา ผู้อุตส่าห์ นายด่านศุลกากรหนองคาย , นายพินิจ ตันติวิญญูพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

นางสาวณัชพร วรรณเอี่ยมพิกุล รองประธานกรรมการ บริษัทไพลินเลเซอร์ เมทเทิล จำกัด ,  ดร.รัตนาภรณ์ มั่นศรีจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสพีพีทรานสปอร์ต จำกัด ,  นายสุพิชช์ อังศวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทจักรวาลคอมมิวนิเคชั่น ซีสเท็ม , นายพัฒนา สุคนธรักษ์ กรรมการ บริษัทสัมมากรพลัส จำกัด , นายพัชรพงษ์ ธะนะปัด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เป็นต้น

ซึ่งการเดินทางเยือน เดนมาร์ก เริ่มต้นที่ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน โดยได้รับเกียรติจาก นายภูวิศ วิสารทสกุล อุปทูต ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปพิเศษในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สถานการณ์การเมือง–เศรษฐกิจระหว่างไทยกับเดนมาร์ก” ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือที่มีมายาวนานกว่า 400 ปี

โดยเฉพาะในมิติความสัมพันธ์ระดับราชวงศ์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 ที่เสด็จประพาสยุโรปสองครั้งในปี 2440 และ 2450 และต่อเนื่องจนถึงปี 2531 เมื่อ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

คณะฯ ยังได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญเพื่อศึกษาระบบการปกครอง เช่น พระราชวัง Rosenborg, จัตุรัส Christiansborg, และ ศาลาว่าการกรุงโคเปนเฮเกน (City Hall) ที่เปิดเผยถึงโครงสร้างทางการเมือง และวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีระดับความสุขสูงสุดในโลก

จากนั้น คณะได้เดินทางต่อไปยัง ประเทศนอร์เวย์ เพื่อดูงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการบริหารจัดการเมือง โดยเข้าชมสถานที่สำคัญ เช่น Oslo Opera House อาคารทรงเรขาคณิตสมัยใหม่ที่สะท้อนแนวคิดการออกแบบร่วมกับธรรมชาติ , พิพิธภัณฑ์ Norsk Folke Museum แหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านและประวัติศาสตร์นอร์เวย์ ,  ป้อม Aker Brygge ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมศิลปะ-ธุรกิจสุดทันสมัยริมอ่าว

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศในแนวทาง Pragmatic Idealism ซึ่งหมายถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบมีอุดมคติ แต่ยังคงความยืดหยุ่น ยึดผลประโยชน์ร่วมเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวทางที่เดนมาร์กกำลังจับตาไทยอย่างใกล้ชิด

กานดูงานในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของหลักสูตร บรอ.12 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจประเด็นระดับมหภาค ทั้งด้านความมั่นคง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมของโลก

ภารกิจนี้ตอกย้ำว่า 'ผู้นำในยุคใหม่' ต้องพร้อมทั้งความรู้ ความสัมพันธ์ และวิสัยทัศน์ระดับนานาชาติ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

(สุรินทร์) มทบ.25 จัดกิจกรรมฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน ประจำปี 2568

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 68) พลตรีไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 มอบหมายให้ พันเอก อัครสิทธิ์ ปะกิระตา รอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 (2) เป็นประธานในการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน ประจำปี 2568 พร้อมด้วย จิตอาสา 904, จิตอาสาพระราชทาน, ประชาชนจิตอาสา ผู้นำชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลบักได นายวีรวัติ  เสาะพบดี กำนันตำบลบักได พันตำรวจเอก นพดล  พินิจอักษร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ในการนี้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 25 

ได้กำหนดการดำเนินการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน ในรูปแบบ commander post Exercise (cpx) เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจการปฏิบัติทางทหารที่ถูกต้องและไม่เป็นการขัดขวางต่อการปฏิบัติทางทหารเมื่อเกิดสถานการณ์สงคราม ตลอดจน การฟื้นฟูความเสียหายภายหลังเหตุการณ์สงบ ให้สามารถปฏิบัติงานได้จริงเมื่อเกิดสถานการณ์ ณ โรงเรียนบ้านรุน ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์  

โดยในช่วงเช้าจะเป็นการแนะนำการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) พร้อมหุ่นปฏิบัติ โดยมีวิทยากรจากโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน เป็นผู้ให้ความรู้ และในช่วงสายจะเป็นการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชนฯ แบบปฏิบัติจริง และยังด้วยความร่วมมือจากภาคประชาชน, ผู้ปกครอง, คณะครูอาจารย์, นักเรียน, หน่วยทหารพัฒนาการเคลื่อนที่ 54, นักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนพนมดงรัก, นักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนบ้านรุนและเมื่อจบการฝึกซักซ้อมฯ ทุกส่วนมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเมื่อเกิดสถานการณ์จริง โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกซักซ้อมฯ ทั้งหมด 475 นาย ด้าน นายวีรวัติ  เสาะพบดี กำนันตำบลบักได กล่าวว่า ตำบลบักได มีความพร้อมในการเผชิญเหตุอพยพประชาชน เนื่องจากได้ประชาสัมพันธ์และบูรณาการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน อย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะพื้นที่ ตำบลบักได อยู่ใกล้พื้นที่ชายแดน

 

กมธ.ทหารฯ วุฒิสภา เปิดเวทีถกแถลงสถานการณ์ทางทหารและความมั่นคงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประเด็น 'เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร' เพื่อเสนอแนวทางรัฐบาลเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุม หมายเลข 406-407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา (ฝั่ง สว.) คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ จัดประชุมถกแถลงอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ทางทหารและความมั่นคงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประเด็น “เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” เพื่อแสวงหาข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับให้รัฐบาลนำไปใช้แก้ไขสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ที่เกิดกรณีข้อพิพาทอยู่ในขณะนี้ โดยมีกรรมาธิการ นักวิชาการ และสื่อมวลชน เข้าร่วม

การแถลงอภิปรายและแสดงความคิดเห็นหัวข้อ “เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” มีคณาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้และแสดงความคิดเห็นในขอบข่ายความเชี่ยวชาญ ประกอบด้วย นายวีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ประเด็น” ปราสาททั้งหลายในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา” นายคำนูญ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ประเด็น “มุมมองข้อกฎหมายและกระบวนการของศาลโลก” และรองศาสตราจารย์ ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเด็น “ปัญหาและการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดำเนินรายการถกแถลง การอภิปราย และแสดงความคิดเห็น สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ อาทิ ไทยควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ซึ่งต้องอาศัยความชัดเจนและความหนักแน่นบนโต๊ะเจรจา

ฝากรัฐบาล วุฒิสภา หรือรัฐสภา ว่าจะต้องร่วมมือกันตอบโต้กัมพูชาเท่าที่ทรัพยากรของเราและความตั้งใจของเราที่มีอยู่ เพราะโจทก์วันนี้คือกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์กดดันไทยในหลายมิติ แนวรบการต่อสู้ไม่ใช่สถานที่เพียงอย่างเดียวแต่คือการปฏิบัติการทางวัฒนธรรม การช่วงชิงความหมายเชิงสัญลักษณ์ความเป็นชาตินิยมที่เข้มข้นเกินไปของกัมพูชา

พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา แถลงว่า คณะกรรมาธิการได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มาตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดยประณามการกระทำอันไร้ความจริงใจในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชา และเรียกร้องให้รัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย ต่อมาในวันที่ 9-10 มิถุนายน 2568 ได้เดินทางไปพื้นที่ปฏิบัติการของกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ที่เคยเกิดกรณีพิพาทในเขตจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี เพื่อรับทราบข้อมูลแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจพี่น้องทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อดทน โดยหลังจากที่พิจารณารอบด้านแล้วพบว่า สถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและสะสมความตึงเครียดมาเป็นระยะเวลายาวนาน จึงได้เชิญคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้ ด้วยการถกแถลงและแสดงความคิดเห็นมุมมองในประเด็นที่อยู่ในความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน โดยการจัดกิจกรรมในวันนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเป็นข้อมูลสำหรับรัฐบาลสำหรับนำไปใช้แก้ไขปัญหาสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อไป

ททท. ผนึก อสส. ส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ลงนามความร่วมมือเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

(13 มิ.ย. 68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ZPOT) โดย นางสมรัก  บุษปธำรง รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายปฏิบัติการและพัฒนาธุรกิจ) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การดำเนินการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวประเทศไทย” เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในประเทศและผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมศูนย์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง ททท. และ อสส. จะช่วยส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสวนสัตว์ 6 แห่ง และ 1 โครงการ ทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์อุบลราชธานี สวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์สงขลา และโครงการคชอาณาจักร จ.สุรินทร์ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว โดยทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันผลักดันกิจกรรมด้านประชาสัมพันธ์และและส่งเสริมการตลาดที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับการเรียนรู้  ทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านอนุรักษ์ การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่สวนสัตว์ ตลอดจนการใช้สื่อประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการรับรู้ในวงกว้างและกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

นางสมรัก บุษปธำรง รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายปฏิบัติการและพัฒนาธุรกิจ) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ ททท. ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมบทบาทของสวนสัตว์ในฐานะพื้นที่เรียนรู้ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์และสร้างสรรค์กิจกรรมที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งร่วมกันยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวของไทยให้เชื่อมโยงกับแนวคิดด้านธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว

ทั้งนี้ ภายหลังจากพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ ผู้แทนจากทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันเยี่ยมชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพื่อสำรวจพื้นที่และศึกษาการบริหารจัดการสวนสัตว์ที่เน้นการอนุรักษ์และส่งเสริมการเรียนรู้ด้านธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาและจัดกิจกรรมท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงการใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลเพื่อขยายการเข้าถึงข้อมูลและเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

บันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ นี้มีระยะเวลา 1 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การผลิตเนื้อหาประชาสัมพันธ์ทางการท่องเที่ยวร่วมกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยเริ่มต้นด้วยสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก อ.ส.ท.คลับ จะได้รับส่วนลด 20% สำหรับการเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์ขอนแก่น, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์อุบลราชธานี และสวนสัตว์สงขลา จากอัตราค่าเข้าชมผู้ใหญ่ (ชาวไทย) 200 บาท เหลือ 160 บาท จำกัดจำนวน 2,000 สิทธิ์ ขณะที่สมาชิกสโมสรผู้รักสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ผู้ถือบัตร Zoo Lover Society) สามารถซื้ออนุสารอ.ส.ท.ในราคาเล่มละ 70 บาท จาก 85 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง) ในช่วงเดือนเมษายน - ธันวาคม 2568 จำกัดจำนวน 1,500 สิทธิ์ โดยสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทาง https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSff0BDqIjhoXiwFYdcntDIRe45uDLnDxQokTOAQWI9o180bOw/viewform นอกจากนี้จะร่วมกันดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ และการจัดกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) สนับสนุนแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนและความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในระยะยาว

สล.พมพ.ทรภ.1 จัดกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร เสริมทักษะช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล

ระหว่างวันที่ 11 – 13 มิถุนายน 2568 สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1 (สล.พมพ.ทรภ.1) จัดกิจกรรม “เพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร” ณ ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด (ฐตร.ทรภ.1) ตำบลคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด เพื่อเสริมสร้างทักษะในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลให้แก่กำลังพล

กิจกรรมดังกล่าวได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง (ศรภ.ทร.เกาะช้าง) พร้อมด้วยอาสาสมัครจากกลุ่ม “ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมี นายฝันเด่น จรรยาธนากร (พี่เล็ก) ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ตรงแก่ผู้เข้าร่วม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 80 นาย ประกอบด้วยกำลังพลจากฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราดและหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน การฝึกอบรมประกอบด้วยทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดฝึกภาคสนามในทะเลจากสถานการณ์จำลองจริง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และฝึกฝนอย่างใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากที่สุด

กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่ 1 โดยเฉพาะใน ฐตร.ทรภ.1 และหมู่เรือลาดตระเวนชายแดนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top