Saturday, 31 May 2025
NewsFeed

โซเชียลกัมพูชาผุดแคมเปญ ‘หยุดใช้สินค้าไทย’ เชิญชวนกลับมาสนับสนุนสินค้าชาติให้เติบโต

(30 พ.ค. 68) จากกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี จนทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และกลายเป็นประเด็นร้อนระหว่างประเทศ

ล่าสุด บนโลกโซเชียลมีเดียฝั่งกัมพูชากำลังเกิดกระแส เผยแพร่ข้อความเชิญชวนให้ “หยุดใช้สินค้าไทย” โดยระบุว่าเป็นการแสดงจุดยืนทางความเชื่อและทัศนคติทางการเมือง พร้อมย้ำว่าจะเลิกใช้สินค้าจากประเทศไทยทันที โดยข้อความต้นทางระบุว่า 

“นี่คือโอกาสสำคัญที่เราทุกคนจะหันกลับมาสนับสนุนสินค้าในประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมและหัตถกรรมของชาติ รวมถึงส่งเสริมการเคลื่อนไหวทางชาตินิยมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”

แม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดถึงกลุ่มผู้ริเริ่มแคมเปญดังกล่าว แต่ข้อความนี้ได้ถูกแชร์ต่อในหลายแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งผู้สนับสนุนที่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และผู้คัดค้านที่มองว่าเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

CHARLES & KEITH SALE ALERT

สินค้าราคาพิเศษลดแรงสูงสุด 50% และสินค้าราคาปกติลดทันที 10 %
แถมสมาชิกยังได้ลดเพิ่มอีกสูงสุด 10% 💥

📅 ตั้งแต่ 29 พ.ค. – 1 มิ.ย. 68 เท่านั้น!
ใครรอของเข้าตู้ ต้องรีบแล้วว 💼👠👜

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตามรวบ รง. รีไซเคิลเถื่อน ลอบนำเข้าเศษยางสารภาพสิ้นไส้พร้อมของกลางครบถ้วน

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'ทีมสุดซอย' ปราบ โรงงานเถื่อนระยอง ลอบนำเข้าเศษยางกัมพูชา ไหวตัวขนของย้ายหนี ตามรวบได้ถึงเมืองชลฯ กรรมการบริษัท สารภาพสิ้นไส้ โบ้ยแฟนหนุ่มชาวจีน ‘ฐิติภัสร์’ ส่งอีกทีมไปแปดริ้ว เหตุ โรงงานใจดีแจกดินเปื้อนกากอุตสาหกรรม ชาวบ้านรับไปถมที่เหม็นแสบจมูก ร้องแจ้งอุตฯ 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ (29 พ.ค.68) ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ 'ทีมสุดซอย' กระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบ บริษัท ฟงหงษ์หยวนเฮง รับเบอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการรีไซเคิลยาง ตั้งอยู่ที่ ตำบลพนานิคม อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง โดยร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สืบเนื่องจากได้รับเบาะแสจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ว่ามีรถบรรทุกลักลอบขนเศษยางนำเข้าจากประเทศกัมพูชา ผ่านทางชายแดน จ.สระแก้ว มายังบริษัทดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะเข้าตรวจค้น พบเพียงอาคารลักษณะโกดังโล่ง ไม่มีสิ่งของหรือผู้ใดอยู่ในพื้นที่ โดยประชาชนละแวกนั้นให้ข้อมูลว่า บริษัท ฟงหงษ์หยวนเฮงฯ เพิ่งขนย้ายเครื่องจักรและเศษยางออกไปเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 

“ทีมสุดซอย ได้แกะรอยขยายผลจนได้เบาะแสเพิ่มเติมว่า มีการย้ายเครื่องจักรและเศษยางไปไว้ที่ บริษัท โอรานไลต์ จำกัด จังหวัดชลบุรี เมื่อไปตรวจสอบ ก็พบเครื่องจักรและเศษยางกว่า 5 พันตัน โดยกรรมการบริษัทชาวไทยสารภาพว่าบางส่วนเป็นเศษยางที่ลักลอบนำมาจากประเทศกัมพูชา และอ้างว่าแฟนหนุ่มชาวจีนเป็นผู้ประสานงานจัดการทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิดอีกหลายข้อหา เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมกรรมการบริษัทชาวไทยไปแจ้งความดำเนินคดีในทุกข้อหา และหากพบการกระทำความผิดอีกก็จะแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป” นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบ บริษัท โอรานไลด์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าบุญมี อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบกิจการหั่น ตัด บด รียางแผ่นเพื่อส่งออกต่างประเทศ มีนางสาวเบญจมาศ ลีสม เป็นกรรมการบริษัท และพบว่าเพิ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงงานเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ตรวจค้นภายในโรงงานพบเครื่องจักรที่คาดว่าขนย้ายมาจากจังหวัดระยอง และพบเศษยางกว่า 5 พันตัน เบื้องต้นบริษัทฯ แจ้งว่าเศษยางบางส่วนนำเข้าผ่านทางท่าเรือแหลมฉบัง แต่เมื่อสอบถาม นางสาวเบญจมาศ ยอมรับว่าเป็นเศษยางที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศกัมพูชา โดยแฟนหนุ่มชาวจีนเป็นผู้ติดต่อประสานซื้อขายทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบใบขนสินค้าขาเข้าที่สำแดงพิกัดสินค้าเป็นเศษยางจากประเทศเบลเยียม ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะนำเศษยางรถยนต์และยางรถยนต์ที่ใช้แล้วมาเข้ากระบวนการตัด บดย่อย รีดเป็นแผ่นแปรรูปยาง ซึ่งเป็นการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงยึดอายัด และประทับตรายางเครื่องจักรทั้งหมด พร้อมจับกุมตัว นางสาวเบญจมาศ ไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรเกาะจันทร์ ด้วยข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติโรงงาน และเป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยอีกว่า ได้มอบหมายให้ ทีมสุดซอยอีกชุด ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ฉะเชิงเทรา ปลัดอำเภอพนมสารคาม เจ้าหน้าที่เทศบาลเขาหินซ้อน  บก.ปทส. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) ภาค 13 ลงพื้นที่ บริษัท ภัชชาภิวัฒน์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีการแจกดินปนเปื้อนเศษพลาสติก ซึ่งนับว่าเป็นวัตถุอันตรายให้กับประชาชนในพื้นที่นำไปถมที่ดิน จนเกิดผลกระทบมีกลิ่นเหม็นแสบจมูกหลังจากถมที่ดินแล้ว 

จากการเข้าตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการคัดแยกของเสียประเภทเศษเปลือกสายไฟ เศษพลาสติก เศษยาง ชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งมีความผิดในข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเดิมมีการปล่อยเช่าที่ดินให้ชาวจีนเพื่อลักลอบเก็บกากอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่าย เมื่อกักตุนไว้จำนวนมาก จึงต้องการระบายออกโดยการแจกจ่ายให้ชาวบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงทำการยึดเครื่องจักร วัตถุดิบ และกากของเสีย พร้อมดำเนินคดีกับบริษัทในข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีความผิดฐานครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต 

"ผู้ประกอบการที่ครอบครองวัตถุอันตรายถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และอาจสร้างผลกระทบต่อประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องเร่งมือผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการตรวจ จับ และดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด หากท่านใดมีเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่านแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' ในระบบ ทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ได้ทันที หลังรับแจ้งจะมีการตรวจสอบข้อมูลและสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น ก่อนส่ง ทีมสุดซอย ลงจัดการปัญหาเพื่อปราบปรามและกวาดล้างขบวนการเหล่านี้ให้หมดไปจากอุตสาหกรรมไทยโดยเร็ว" นางสาวฐิติภัสร์กล่าว

นายกฯ เปิดแคมเปญท่องเที่ยว “สวัสดี หนีห่าว” ฟื้นความเชื่อมั่น ตอกย้ำสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี

(30 พ.ค.68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดแคมเปญเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน “สวัสดี หนีห่าว” (Sawasdee Nihao) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย. 68 ย้ำชัดไทยพร้อมเดินหน้ากระตุ้นนักท่องเที่ยวจีน และส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตร ตอกย้ำความเป็น 'Quality Destination'

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในสะพานสำคัญที่เชื่อมโยงไทยและจีนเข้าหากันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ โดยรัฐบาลไทย จะมุ่งยกระดับมาตรการอำนวยความสะดวก พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ท่องเที่ยว และนำเทคโนโลยีมายกระดับอย่างเข้มข้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสนับสนุนการจัดทำสถานที่ท่องเที่ยวแบบ Man-Made Destination ประเภทใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

โดยโครงการ “สวัสดี หนีห่าว” ในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเส้นทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันอย่างยั่งยืน เพื่อให้ความมั่นใจว่า ทุกย่างก้าวของนักท่องเที่ยวในไทย ทั้งชาวจีนและชาติอื่น ๆ จะเต็มไปด้วยความสุข ความสบาย และความปลอดภัยอย่างแท้จริง

ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน และสร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วน โดยให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้าง สู่มาตรฐาน และคุณภาพเหนือปริมาณ 'Value over Volume' ซึ่ง “สวัสดี หนีห่าว” จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระยะยาว สร้างความเชื่อมั่น โอกาสทางธุรกิจ และส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังสะท้อนเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการปรับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในตลาดจีน รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรชาวจีน เพื่อร่วมกันสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีความหมาย และยั่งยืนต่อไป

สำหรับโครงการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน “สวัสดี หนีห่าว” (Sawasdee Nihao) ระหว่างวันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย. 68 มุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และเป็นมิตร เพื่อสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยนำตัวแทนบริษัทนำเที่ยว (Travel Agents) จำนวน 400 ราย สื่อมวลชน และ KOLs (Key Opinion Leader) อีก 200 ราย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยว พร้อมจัดเวทีเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยกว่า 500 ราย เพื่อผลักดันการขายสู่ตลาดจีน

ทั้งนี้ คาดว่าจะสร้างการรับรู้กว่า 350 ล้านคน-ครั้ง และการเจรจาธุรกิจกว่า 5,000 นัดหมาย นอกจากนี้ “สวัสดี หนีห่าว” (Sawasdee Nihao)” ยังประกอบด้วย การจัดกิจกรรมหลัก 5 รายการ ได้แก่

1. กิจกรรมเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทย-จีน (Table Top Sales) โดยนำผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจากประเทศจีน (Buyers) จำนวนประมาณ 300 บริษัท รวม 400 ราย จากกว่า 25-30 มณฑลศักยภาพ ทั้งจากพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองของจีน เข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของไทย (Sellers) รวมจำนวน 500 ราย

2. กิจกรรมเวทีเสวนา (Tourism Forum) ระดับ G2G โดยมี น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, 'ว่านไฉ' อคิร วงษ์เซ็ง Influencer ไทย เพจอาสาพาไปหลง และ Xiao Tai Hou Influencer จีน ร่วมกิจกรรมฯ มุ่งเน้นการสื่อสารเชิงบวก สร้างความมั่นใจและเน้นย้ำบทบาทของไทยในฐานะ 'Quality Destination'

3. กิจกรรม Welcome Reception งานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ แก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจากประเทศจีน สื่อมวลชน KOLS และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของไทย เพื่อสร้างความประทับใจ และสะท้อนความพร้อมของประเทศไทย ทั้งเน้นย้ำวาระการครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน

4. กิจกรรมสำรวจเส้นทาง และทดสอบสินค้าท่องเที่ยว (Agent & Media Mega Fam Trip) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (พัทยา) ระยอง จันทบุรี นครปฐม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการนำเสนอขายตลาดจีน แก่ตัวแทนบริษัทนำเที่ยวจีน (Agent Educational Trip: AET) และกลุ่ม KOLs / สื่อมวลชนจีน (Media Educational Trip: MET)

5. Sawasdee Nihao: A Celebration of Thai-China Relations; Celebrities Marketing ปรับภาพลักษณ์ประเทศไทย โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลสูงในตลาดจีน เป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาเชิงบวก เพื่อสร้างกระแสใน Mainstream Media สร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางของกลุ่มเป้าหมาย

นายสรวงศ์ กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวจีน จะมีแนวโน้มลดลง โดยระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-27 พ.ค. 68 ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 1,909,862 คน ททท. ยังคงวางแผนมาตรการเชิงรุก เดินหน้าบุกตลาดจีนอย่างเต็มที่ ทั้งการเร่งกระตุ้น Charter Flight ในหลายพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น 52% ในปี 68 โดยพื้นที่ที่มีการเติบโตของ Charter Flight สูงได้แก่ ปักกิ่ง (+26%) เซี่ยงไฮ้ (+117%) และเฉิงตู (+164%)

นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดโครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศไทยในประเทศจีน ให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย และร่วมแชร์ประสบการณ์ผ่าน Social Media เพื่อสร้าง User Generated Content ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค. 68 เสริมสร้างความมั่นใจในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน

พร้อมทั้งเตรียมจัดกิจกรรม Nihao Month อย่างยิ่งใหญ่ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติจีนในช่วง Golden Week เดือนต.ค. ทั้งการจัด Mega Fam Trip กิจกรรมส่งเสริมการขาย Joint Promotion ร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์ทางการท่องเที่ยว และร่วมกับพันธมิตรศูนย์การค้าและร้านอาหารมอบสิทธิพิเศษและโปรโมชันสินค้าและบริการต่าง ๆ รวมถึงการใช้ Celebrity Marketing ศิลปินที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน

ตลอดจนการทำงานของ 5 สำนักงาน ททท. ในพื้นที่ตลาดจีน ที่มุ่งจัดกิจกรรมและโครงการเพื่อปรับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย สร้างกระแสเชิงบวกเสริมความมั่นใจในการเดินทาง ขยายการรับรู้ในพื้นที่รองศักยภาพ กระตุ้นการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ อาทิ Young Traveler, Incentive & Family, Golf, Active Senior ทั้งในส่วนตลาด FIT และ Group Tour รวมถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย Joint Promotion ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจนำเที่ยว สายการบิน โรงแรมที่พัก คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันตลาดนักท่องเที่ยวจากจีนสู่เป้าหมายในปี 68

ชาวเนปาลนับหมื่นลงถนน เรียกร้องฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ หลังไม่พอใจรัฐบาล ทำเศรษฐกิจประเทศตกต่ำ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) ประชาชนหลายหมื่นคนออกมารวมตัวกันในกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เรียกร้องให้ฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ที่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2008 ท่ามกลางความไม่พอใจต่อสภาพเศรษฐกิจและการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน โดยผู้ชุมนุมยังเรียกร้องให้ศาสนาฮินดูกลับมาเป็นศาสนาประจำชาติ

กลุ่มผู้ชุมนุมได้ตะโกนข้อว่า “จงนำกษัตริย์กลับคืนราชบัลลังก์และช่วยชาติ เรารักกษัตริย์มากกว่าชีวิต” ขณะที่เป้าหมายของการเรียกร้องครั้งนี้คือการให้ กษัตริย์เกียนเอนทรา ชาห์ วัย 77 ปี อดีตกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของเนปาล ซึ่งยังพำนักอยู่ในกาฐมาณฑุ กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง

เนปาลกลายเป็นสาธารณรัฐหลังยกเลิกระบอบกษัตริย์ และปัจจุบันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนที่ไม่พอใจกับชนชั้นการเมืองและสภาพเศรษฐกิจ ที่ทำให้ชาวเนปาลจำนวนมากต้องเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อส่งเงินกลับบ้าน

แม้จะมีเสียงเรียกร้องเพิ่มขึ้น แต่โอกาสในการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากพรรคการเมืองหลักทั้งสามพรรคในสภายังคัดค้านแนวคิดดังกล่าว ขณะที่พรรคฝ่ายหนุนกษัตริย์อย่าง Rastriya Prajatantra Party มีเพียง 13 ที่นั่งจากทั้งหมด 275 ที่นั่งในรัฐสภาเท่านั้น

‘ฮุน เซน’ แพร่แถลงการณ์ 4 ข้อ หลังเจรจากับไทย ลั่น ทหารกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังจากจุดปะทะ

(30 พ.ค. 68) จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน โพสต์ภาพแถลงการณ์จากกองบัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา ผ่านเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia”  ที่มีข้อความระบุว่า หลังจากเกิดเหตุปะทะด้วยอาวุธระหว่างกองทัพกัมพูชาและกองทัพไทย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณหมู่บ้านเตโชมรกต ต.มรกต อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร

ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลา 15:30 น. พล.อ.เมา โซะพัน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการกองทัพบกกัมพูชา และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย ได้เข้าร่วมการหารือ ที่สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนช่องจอม-โอเสม็ด ได้ผลสรุปออกมา 4 ข้อดังต่อไปนี้

1.ทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ผ่านกลไกที่มีอยู่ทั้งหมด ได้แก่ คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย (GBC)และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 (MOU2543) เพื่อให้แนวชายแดนของทั้งสองประเทศเป็นชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา

2.ทั้งสองฝ่ายจะควบคุมสถานการณ์ตามสภาพเดิม อดทนอดกลั้น และแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะมีการประชุมภายใน 2 หรือ 3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

3.ฝ่ายกัมพูชาขอให้มีการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 อีก

4.ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังหรือวางกำลังโดยไม่ติดอาวุธ ณ จุดที่เกิดการปะทะ เพราะบริเวณดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาได้ครอบครองมาตั้งแต่ก่อนมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543

แถลงการณ์กัมพูชาระบุว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องและยอมรับในทั้ง 4 ข้อข้างต้น และการหารือได้สิ้นสุดลงเมื่อเวลา 16.15 น. ของวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นฝ่ายไทยได้แถลงข้อสรุปการหารือมีเพียง 3 ข้อ ได้แก่

1.ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็นครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์

2.ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม หรือ 200 เมตรจากจุดปะทะ ลดการเผชิญหน้า

3.ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น

ยูเครนร้องจีนสองมาตรฐาน ระงับขายโดรนให้ตะวันตก แต่ส่งให้รัสเซียเพิ่ม

(30 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครน เปิดเผยเมื่อ 29 พ.ค. ว่า จีนได้หยุดขายโดรนให้ยูเครนและประเทศตะวันตก แต่ยังคงส่งโดรนให้รัสเซีย โดยระบุว่า “Mavic จากจีนเปิดขายให้รัสเซีย แต่ปิดให้ยูเครน” ซึ่งเป็นโดรนรุ่นยอดนิยมของบริษัท DJI จากจีน

เลนสกีเผยอีกว่า มีสายการผลิตโดรนตั้งอยู่ในรัสเซียโดยมีตัวแทนจากจีนอยู่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ยุโรปที่ระบุว่าจีนได้ลดการส่งออกชิ้นส่วนโดรน เช่น แม่เหล็กมอเตอร์ ไปยังตะวันตก แต่เพิ่มการส่งให้รัสเซีย

แม้จีนจะอ้างความเป็นกลาง แต่ตลอดช่วงสงคราม โดรนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในสนามรบ โดยทั้งสองฝ่ายนำมาใช้ในภารกิจลาดตระเวนและโจมตีแม่นยำ ขณะที่ยูเครนเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตโดรนภายในประเทศให้ถึงขีดสุด เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ

กระทรวงการต่างประเทศจีนยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งยุทโธปกรณ์ให้ฝ่ายใด พร้อมยืนยันว่าควบคุมเข้มสินค้าสองทาง (Dual-use goods) แต่การที่จีนกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียมากขึ้น ได้สร้างความกังวลให้กับโลกตะวันตกและนาโต ซึ่งระบุว่าจีนกำลังเป็น 'ผู้สนับสนุนหลัก' ให้รัสเซียรุกรานยูเครน

ภูมิรัฐศาสตร์แห่งความกลัวในอดีต คือเหตุผล ทำไมรัสเซียต้องการเขตกันชน

“Russia is never as strong as she looks; Russia is never as weak as she looks.” เป็นประโยคคลาสสิกของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลรัฐบุรุษและอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่สะท้อนความซับซ้อนของรัสเซียในเวทีระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลพยายามบอกว่าภาพลักษณ์ของรัสเซียในสายตาชาวโลกนั้นมักจะ “หลอกตา” เสมอ ภายนอกรัสเซียอาจดูเข้มแข็ง แข็งกร้าวและทรงอิทธิพล แต่เมื่อเข้าไปดูภายในอาจพบกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจ สังคมและโครงสร้างการเมือง ในทางกลับกันรัสเซียอาจดูอ่อนแอหรือไร้อำนาจในบางช่วงเวลาแต่กลับฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็วและใช้อำนาจในแบบที่คาดไม่ถึง ประโยคนี้จึงบ่งบอกว่าการทำความเข้าใจรัสเซียในฐานะรัฐและคู่แข่งในเวทีโลกจำเป็นต้องมองลึกไปกว่าภาพลักษณ์ภายนอก เพราะความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของรัสเซียอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงและซับซ้อน สะท้อนถึงความเป็นรัฐที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ความหวาดระแวงเชิงโครงสร้างและยุทธศาสตร์ที่สร้างสมดุลระหว่างความกลัวและความทะเยอทะยาน

ในสายตาของรัสเซีย “พรมแดน” ไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งทางกายภาพระหว่างรัฐหากแต่เป็นแนวปะทะระหว่างอำนาจ ประวัติศาสตร์และความทรงจำเชิงอารยธรรม การที่พรมแดนรัสเซีย–ยูเครนเคยเป็น “พรมแดนภายใน” ของจักรวรรดิโซเวียตยิ่งทำให้การเปลี่ยนสถานะจาก “พรมแดนระหว่างรัฐ” กลายเป็นบาดแผลเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่รัสเซียไม่อาจยอมรับโดยง่าย ความขัดแย้งในยูเครนจึงไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์หรือผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้นแต่เป็นผลสะสมของความตึงเครียดระหว่างแนวคิด “ยูเรเซีย” ของรัสเซียกับการขยายตัวของโลกตะวันตกผ่านนาโต้และอียู การที่ยูเครนเริ่มโน้มเอียงไปทางตะวันตกหลังปี ค.ศ. 2014 ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อ “สนามอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์” ของรัสเซียและอาจนำไปสู่การปรากฏตัวของกองกำลังนาโต้ใกล้พรมแดนตะวันตกของตน พรมแดนยูเครนจึงกลายเป็นพื้นที่ “ไม่เคยนิ่ง” ทั้งทางกายภาพ (ด้วยการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ยึดครอง เช่น ไครเมีย ดอนบาส ฯลฯ) และทางความหมาย (จากพรมแดนแห่งมิตรภาพในอดีตสู่พรมแดนของภัยคุกคามในปัจจุบัน) สิ่งนี้สะท้อนแนวโน้มในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่มักมอง “พรมแดนมั่นคง” ว่าหมายถึง “พรมแดนที่ไกลออกไปจากศัตรู” ไม่ใช่เพียงการป้องกันแต่คือการขยายอิทธิพลไปให้พ้นจากเขตเสี่ยงภัย ในความหมายนี้ เขตกันชน (buffer zone) ที่รัสเซียต้องการจึงไม่ใช่เพียงยุทธวิธีเชิงทหารแต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การนิยามตนเองในโลกหลังสงครามเย็น

ในภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียความกลัวไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์เชิงปัจเจกหากแต่เป็น “โครงสร้างทางความคิด” (structural fear) ที่ฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของรัฐ มันคือมรดกของประวัติศาสตร์ การล่มสลายของจักรวรรดิและการถูกรุมล้อมจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง ความกลัวในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าแต่มาจากประสบการณ์ที่สะสมและกลายเป็นแนวคิดหลักในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ นับตั้งแต่ยุคจักรวรรดิรัสเซียรัฐแห่งนี้เผชิญกับภัยจากรอบทิศ ทั้งจากโปแลนด์ ลิทัวเนียในยุคต้น จากฝรั่งเศสในยุคนโปเลียน จากเยอรมนีในสองสงครามโลกและจากสหรัฐและนาโต้ในโลกยุคหลังสงครามเย็น ผลลัพธ์ก็คือแนวโน้มที่จะมองภัยคุกคามเป็นเรื่องเชิงโครงสร้างและเชื่อว่าการรักษาความมั่นคงต้องไม่พึ่งเพียงการป้องกันแต่ต้อง “สร้างระยะห่าง” ระหว่างศัตรูกับใจกลางอำนาจของตน ความกลัวเชิงโครงสร้างนี้ยังสะท้อนอยู่ในโลกทัศน์ของชนชั้นนำรัสเซียทั้งในคำพูดของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินที่วิจารณ์นาโต้ว่า “หลอกลวง” รัสเซียหลังการล่มสลายของโซเวียตไปจนถึงแนวคิดของนักคิดสายยูเรเซียน เช่น อเล็กซานเดอร์ ดูกิน และเซอร์เกย์ คารากานอฟที่เชื่อว่าโลกตะวันตกมุ่งทำลายรัสเซียจากภายใน ทั้งในเชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และภูมิรัฐศาสตร์ “ความกลัวเชิงโครงสร้าง” นี้จึงไม่ใช่เพียงความวิตกจริตหากคือกลไกแห่งรัฐที่ขับเคลื่อนนโยบาย ตั้งแต่การสร้างเขตกันชน การยึดไครเมีย การควบคุมพื้นที่ดอนบาส ไปจนถึงการพยายามทำลายอิทธิพลตะวันตกในยูเครน รัสเซียมองโลกผ่านแว่นแห่งความระแวดระวัง และเชื่อว่าหากไม่รุกก่อนก็จะตกเป็นฝ่ายถูกรุกรานในที่สุด

เขตกันชน (buffer zone) ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นขีดกันระหว่างกองกำลังแต่คือหมากตัวสำคัญในกระดานภูมิรัฐศาสตร์ที่รัสเซียกำลังจัดวางอย่างแยบยล มันคือ “พื้นที่หมอก” ที่ผสานอำนาจการทหารกับอิทธิพลทางการเมืองให้กลายเป็นอาวุธเชิงพื้นที่ที่ทรงพลัง ในมิติทางยุทธศาสตร์เขตกันชนทำหน้าที่เป็น “แนวสกัดภัยคุกคาม” จากอาวุธปืนใหญ่และโดรนของยูเครนที่โจมตีลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย การสร้างแนวกันชนลึกเข้าไปในภูมิภาคซูมีหรือคาร์คิฟไม่ใช่เพียงเพื่อ “หยุดกระสุน” แต่เพื่อ “ขยับแนวสมรภูมิ” ให้ห่างจากหัวใจของรัสเซียทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และจิตวิทยา แต่ในมิติการเมืองเขตกันชนคือเครื่องมือท้าทายอธิปไตยของยูเครนอย่างแยบคาย มันไม่ได้ถูกเรียกว่า “เขตยึดครอง” แต่กลับถูกบรรจุไว้ในกรอบของ “ความมั่นคง” และ “การป้องกันตัวเอง” หากรัสเซียสามารถครอบครองพื้นที่เหล่านี้โดยไม่จำเป็นต้องยึดอย่างเป็นทางการ แต่สามารถควบคุมอิทธิพลและสกัดไม่ให้รัฐบาลยูเครนเข้าไปบริหารได้ มันคือชัยชนะทางการเมืองที่ไม่ต้องใช้คำว่า “ชัยชนะทางทหาร” นี่คือยุทธวิธีของ “ภูมิรัฐศาสตร์เชิงรุก” (offensive geopolitics) ที่รัสเซียใช้เขตกันชนเป็นอาวุธแบบอสมมาตร ไม่ต่างจากการใช้ “พื้นที่เทา” (grey zone) ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นสงครามหรือสันติภาพ เป็นอาณาเขตหรือพื้นที่เป้าหมายของจิตวิทยาการครอบงำ และในเมื่อพื้นที่กันชนสามารถลดแรงกดดันจาก NATO และเปลี่ยนทิศทางของสมรภูมิ มันจึงไม่ใช่แค่ “ระยะห่าง” ทางภูมิศาสตร์แต่คือ “สนามต่อรอง” ทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจ

เขตกันชนไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อกันกระสุนแต่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อกันอำนาจฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ข้ามเส้น "การควบคุม"ภายใต้สายตาของเครมลินเส้นพรมแดนคือภาพลวงตาหากมันไม่อาจควบคุมได้ด้วยกำลังทหารหรือจิตวิทยา เขตกันชนจึงกลายเป็น “อาณาบริเวณของความเหนือกว่า” มากกว่าแค่ “อาณาบริเวณของความปลอดภัย” ที่นี่คือ “สนามทดสอบความกล้าของยูเครน” และ “เขตปิดล้อมที่บอกกับ NATO ว่า “ถ้ากล้าก็เข้ามา” รัสเซียไม่ได้เพียงแค่ต้องการ “ยืดแนวกันชนออกไป 100 กิโลเมตร” อย่างที่พันเอกอนาโตลี มัตวีชุก (Anatoliy Matviychuk) พันเอกเกษียณอายุและอดีตทหารผ่านศึกของยูเครนเสนอ แต่ต้องการแผ่บารมีลึกเข้าไปในดินแดนศัตรูโดยไม่จำเป็นต้องปักธงยึดครองเพราะอำนาจที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องประกาศตัวมันเพียงแค่การ “แผ่เงา” ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่า “เรากำลังมองอยู่ และเราพร้อมจะบดขยี้ หากคุณเดินพลาด” เขตกันชนในสายตารัสเซียคือการปลูกฝัง “ความกลัวเชิงโครงสร้าง” (structural fear) ลงบนพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ มันคือการขีดเส้นให้ยูเครนรู้ว่าพื้นที่ของคุณอาจยังเป็นของคุณในทางกฎหมายแต่ในทางยุทธศาสตร์ มันเป็น “ของเรา” นี่คือภูมิรัฐศาสตร์เชิงบีบคั้น (coercive geopolitics) ที่เล่นกับ “ระยะห่าง” แต่สร้างผลกระทบเชิง “การครอบงำ” คือการประกาศอย่างเงียบๆ ว่า “รัฐชาติที่ล้อมรัสเซียไว้จะไม่มีวันปลอดภัยหากไม่เลือกอยู่ใต้เงารัสเซีย” ในเชิงทฤษฎีเขตกันชนในบริบทนี้จึงไม่ใช่แค่ ‘defensive depth’ แบบคลาสสิกของ Mackinder หรือแนวคิด Heartland แบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่คือการนำหลักการของ “ภูมิรัฐศาสตร์จิตวิทยา” มาผสานกับทฤษฎีอำนาจเชิงพื้นที่แบบใหม่ที่อเล็กซานเดอร์ ดูกินเรียกว่า “จุดกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์” (geopolitical pressure points) และเยฟเกนี พรีมาคอฟเรียกว่า “บัฟเฟอร์เชิงกลยุทธ์เพื่อเสถียรภาพหลายขั้ว” (strategic buffers for multipolar stability) กล่าวคือเขตกันชนไม่ใช่ “พื้นที่กันภัย” หากแต่เป็น “พื้นที่ขู่เข็ญ” ที่บอกว่ารัสเซียยังมีเขี้ยวเล็บ ไม่ใช่แค่ในสมรภูมิหากแต่ในทุกลมหายใจของภูมิรัฐศาสตร์

พันเอกอนาโตลี มัตวีชุกพันเอกเกษียณอายุและอดีตทหารผ่านศึกของยูเครนได้วิเคราะห์เหตุผลที่รัสเซียต้องการเขตกันชนเอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
1) ป้องกันภัยคุกคามจากอาวุธระยะไกลของ NATO
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น การขยายตัวของ NATO เข้ามาใกล้พรมแดนรัสเซียไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่อง “ภูมิรัฐศาสตร์ทั่วไป” หากแต่เป็นการกดทับความมั่นคงแห่งชาติอย่างรุนแรง รัสเซียมองเห็นภัยคุกคามที่แฝงตัวอยู่ในรูปแบบของ “อาวุธระยะไกล” เช่น ขีปนาวุธนำวิถี ระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงและโดรนรบที่สามารถยิงเข้าโจมตีลึกถึงใจกลางรัสเซียได้โดยไม่ต้องส่งทหารเข้ามา พื้นที่ชายแดนกับยูเครนจึงกลายเป็น “แนวหน้าแห่งภัยคุกคาม” ที่รัสเซียต้องปกป้องด้วย “แนวกันชนเชิงยุทธศาสตร์” การมีเขตกันชนที่กว้างขวางกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การเพิ่มระยะห่างทางกายภาพจากเป้าหมายที่สำคัญ แต่เป็นการสร้าง “เขตปลอดภัยเชิงยุทธวิธี” ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ (blitzkrieg) จากอาวุธของ NATO รัสเซียเข้าใจดีว่า อาวุธระยะไกลของ NATO ไม่ใช่แค่ปืนใหญ่ธรรมดาแต่คือ “เครื่องมือทางการเมืองที่มีพลังทำลายสูง” ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสมดุลภูมิรัฐศาสตร์ในพริบตา ดังนั้นการสร้างและรักษาเขตกันชนจึงเป็นการลงทุนเพื่อรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อย่างถึงที่สุดการขยายแนวกันชนลึกเข้าไปในดินแดนยูเครนจึงไม่ได้เป็นเรื่องแค่ “สงครามพื้นที่” แต่เป็น “สงครามระยะยาวเพื่อการอยู่รอดของรัฐ” รัสเซียไม่อาจยอมรับได้ว่าศัตรูจะนำขีปนาวุธหรือโดรนขั้นสูงมายิงใส่เมืองใหญ่ของตนโดยตรง มันคือ “เส้นตาย” ของความมั่นคงที่ไม่อาจยอมถอย ด้วยเหตุนี้เขตกันชนจึงไม่ใช่แค่พรมแดนที่ขีดเส้นไว้บนแผนที่แต่คือ “เกราะกำบัง” ที่รัสเซียต้องใช้เพื่อป้องกัน “มิติใหม่ของสงคราม” ที่ NATO พยายามสร้างขึ้นในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลและยุทธศาสตร์อาวุธไฮเทค พันเอกนาโตลี มัตวีชุก อธิบายว่าการสร้างเขตกันชนลึก 100 กิโลเมตรนั้นมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีจากอาวุธปืนใหญ่ระยะไกลที่ NATO จัดหาให้ยูเครน ซึ่งสามารถยิงได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร การเพิ่มระยะอีก 30 กิโลเมตรเป็นเขตปลอดภัยจะช่วยปกป้องเมืองสำคัญของรัสเซีย เช่น เบลโกรอด คูร์สค์ เบรียนสค์ ไครเมีย ซาโปริชเซีย เคอร์ซอน และดอนบาส

2) ประสบการณ์จากสงครามในอัฟกานิสถาน

สงครามอัฟกานิสถานไม่ได้เป็นเพียง “บาดแผลทางทหาร” แต่เป็นบทเรียนเลือดและเหล็กที่ฝังลึกในจิตวิญญาณของรัสเซีย (ก่อนหน้านั้นคือสหภาพโซเวียต) มันคือการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของสงครามที่ไม่อาจชนะด้วยกำลังทหารล้วน ๆ และเป็นการตอกย้ำว่า “การปกป้องพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์” ต้องมากกว่าการบุกเข้าไปครอบครอง ในสนามรบอัฟกานิสถานรัสเซียได้เรียนรู้ว่าการบุกทะลวงเข้าลึกในดินแดนที่เป็นเขตกันชนของศัตรู โดยไม่มีการสนับสนุนทางภูมิรัฐศาสตร์และประชากรในพื้นที่จะนำมาซึ่งการขัดแย้งที่ยาวนานและเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุดเหมือน “สงครามในเขาวงกต” ที่จะกัดกร่อนความเข้มแข็งทางทหารและจิตใจของชาติ บทเรียนนี้ทำให้รัสเซียมีความระแวดระวังมากขึ้นกับการขยายเขตกันชนในยูเครน ไม่ได้หมายความว่ารัสเซียจะหลีกเลี่ยงการปะทะแต่หมายถึงการพยายามสร้างเขตกันชนที่มี “ความลึกทางยุทธศาสตร์” และ “ความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่มากกว่าแค่การใช้กำลังทางทหารอย่างเดียว สงครามในอัฟกานิสถานสอนให้รัสเซียรู้ว่า“การครอบครองดินแดนโดยไม่มีการสนับสนุนเชิงโครงสร้างและการยอมรับจากประชากรในพื้นที่เป็นเหมือนการแบกรับหายนะที่ยิ่งใหญ่กว่า” ดังนั้นเขตกันชนที่รัสเซียพยายามสร้างขึ้นจึงเป็นมากกว่าพรมแดน มันคือ “แนวป้องกันที่ผสานทั้งกำลังทหาร การเมือง และภูมิปัญญาทางภูมิรัฐศาสตร์” เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักสงครามลัทธิในดินแดนที่ไม่เป็นมิตรและสร้างภูมิคุ้มกันที่ทำให้ศัตรูไม่สามารถล้ำเส้นเข้ามาง่ายๆประสบการณ์จากอัฟกานิสถานจึงไม่ใช่แค่บทเรียนทางประวัติศาสตร์ แต่คือ “เครื่องเตือนใจ” ที่ทำให้รัสเซียมองเขตกันชนในยูเครนด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าเดิมนั่นคือเหตุผลว่าทำไม “เขตกันชน” จึงต้องมีทั้งความยืดหยุ่นทางยุทธศาสตร์ และความเข้มแข็งทางการเมืองควบคู่กันไปอย่างไม่อาจแยกจากกัน โดยเขาเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับยุทธศาสตร์ที่สหภาพโซเวียตเคยใช้ในอัฟกานิสถานโดยการสร้างเขตกันชนเพื่อป้องกันการโจมตีจากกลุ่มมูจาฮีดีนซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันในการสร้างระยะห่างจากภัยคุกคาม

3) ควบคุมพื้นที่ชายแดนที่สำคัญ
ในเกมภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย เขตกันชนไม่ได้เป็นแค่แนวรบธรรมดา แต่คือ “เส้นแบ่งชี้ชะตา” ระหว่างความมั่นคงและการถูกล้อมกรอบพื้นที่ชายแดนอย่าง ซูมี เชอร์นีฮิฟ ดนีโปรเปตรอฟสค์ และคาร์คิฟ กลายเป็น “ป้อมปราการยุทธศาสตร์” ที่รัสเซียยอมลงทุนทุกอย่างเพื่อควบคุมและยึดครอง เหตุผลหนึ่งที่รัสเซียมุ่งเน้นพื้นที่เหล่านี้คือการป้องกัน “การโจมตีจากยูเครน” ที่อาจมุ่งเป้าไปยังเมืองและฐานทัพสำคัญในดินแดนรัสเซียเอง การควบคุมพื้นที่ชายแดนที่กว้างขวางและลึกช่วยให้รัสเซียสามารถตั้ง “แนวป้องกันเชิงลึก” (defense in depth) ซึ่งไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงจากการโจมตีสายฟ้าแลบแต่ยังเปิดโอกาสให้รัสเซียสามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เขตกันชนยังทำหน้าที่เป็น “ด่านตรวจสอบ” ในการสอดแนมและเก็บข้อมูลการครอบครองพื้นที่ชายแดนสำคัญช่วยให้รัสเซียสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกองกำลังยูเครนและพันธมิตร NATO ได้อย่างใกล้ชิด นี่คือ “ตาข่ายทางข่าวกรอง” ที่ทำให้รัสเซียไม่ถูกจับได้โดยฝ่ายตรงข้าม ในมุมมองภูมิรัฐศาสตร์การควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญยังเป็นการยึด “ทางหลวงยุทธศาสตร์” ที่เชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ เมืองดนีโปรเปตรอฟสค์และคาร์คิฟเป็นศูนย์กลางการขนส่งและอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและกำลังทหาร ดังนั้นการยึดครองพื้นที่เหล่านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ป้อมปราการทางทหาร” แต่เป็นการ “ตัดวงจรชีวิต” ของศัตรูในมิติเศรษฐกิจและการสนับสนุนทางการทหารด้วย สรุปง่าย ๆ “การควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญเหล่านี้คือการสร้าง ‘เกราะป้องกัน’ ที่ลึกและแน่นหนาเป็นทั้งด่านหน้าและฐานทัพที่รัสเซียใช้ค้ำยันความมั่นคงและอำนาจในภูมิภาค”

4) จำกัดอำนาจของรัฐบาลเคียฟในพื้นที่
เขตกันชนที่รัสเซียต้องการสร้างขึ้นไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเดียวแต่ยังเป็น “เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อสกัดกั้นและจำกัดอำนาจของรัฐบาลเคียฟโดยตรง ตามบทวิเคราะห์ของพันเอกอนาโตลี มัตวีชุกพื้นที่เหล่านี้จะถูกแยกออกจากการควบคุมโดยรัฐบาลยูเครนอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าในทางปฏิบัติประชาชนยูเครนจะยังคงอาศัยและดำรงชีวิต เช่น การทำเกษตรกรรมหรือกิจกรรมประจำวันอื่น ๆ ความสำคัญอยู่ที่ “อำนาจรัฐ” โดยรัสเซียมุ่งมั่นที่จะตัดขาดความชอบธรรมและการบริหารของเคียฟในเขตนี้ นั่นหมายความว่ารัฐบาลยูเครนจะไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ หรือหน่วยงานความมั่นคงเข้าไปบริหารจัดการหรือควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ผลที่ตามมาคือการล้างบทบาทของเคียฟในพื้นที่ชายแดนที่รัสเซียตั้งใจจะทำให้กลายเป็น “เขตที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของยูเครน” นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองธรรมดาแต่เป็น “การตัดวงจรการบริหารและอำนาจ” ของรัฐศัตรู การจำกัดอำนาจเคียฟทำให้ยูเครนสูญเสียการเข้าถึงทรัพยากรและการบริหารจัดการพื้นฐานในพื้นที่สำคัญซึ่งสะท้อนถึงการ “ทำลายความเป็นรัฐ” ในภูมิภาคที่เป็นขอบเขตของความขัดแย้ง แนวทางนี้ยังทำให้รัสเซียสามารถ “ควบคุมทางอ้อม” ผ่านกลุ่มหรือหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัสเซียในพื้นที่นั้นซึ่งจะช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางการเมืองและความมั่นคงในระยะยาว พร้อมกับบั่นทอนความเป็นเอกภาพของรัฐยูเครน โดยสรุปการจำกัดอำนาจรัฐบาลเคียฟในเขตกันชนคือ “ดาบสองคม” ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ช่วยรัสเซียสร้างการครอบครองอย่างยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองของยูเครนอย่างลึกซึ้ง โดยที่ยูเครนเองแทบจะไม่สามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5) ลดความสามารถในการโจมตีของยูเครน
การผลักดันกองทัพยูเครนให้ออกห่างจากชายแดนรัสเซียอย่างน้อย 100 กิโลเมตร ไม่ใช่แค่การ “ถอยร่นเชิงพื้นที่” แต่เป็นการ “ตัดขาดขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์” ที่สำคัญของยูเครนอย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะในแง่ของการใช้ปืนใหญ่และอาวุธยิงระยะกลางที่ต้องอาศัยระยะยิงใกล้เพื่อทำลายเป้าหมายอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง เมื่อกองกำลังยูเครนถูกบีบให้ถอยห่างออกไป การใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มพื้นที่ชายแดนรัสเซียจะลดลงอย่างมาก การสูญเสีย “ระยะยิงที่ได้เปรียบ” ทำให้รัสเซียมีเวลามากขึ้นในการเตรียมป้องกันและตอบโต้ อีกทั้งยังลดโอกาสที่ยูเครนจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ฐานทัพ เส้นทางขนส่ง หรือหมู่บ้านชายแดน แม้ยูเครนจะยังพึ่งพาโดรนสอดแนมและขีปนาวุธระยะไกลเพื่อโจมตีได้ แต่ขีดจำกัดเหล่านี้ยังห่างไกลจากการแทนที่ “การโจมตีระยะใกล้ที่ต่อเนื่องและแม่นยำ” ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในสถานการณ์สงครามที่ต้องอาศัยการยิงปืนใหญ่มหาศาลเพื่อเบิกทางหรือกดดันแนวรบฝ่ายตรงข้าม การขยายเขตกันชนจึงเหมือน “การสร้างเขตปลอดภัยเชิงยุทธศาสตร์” ที่ทำให้รัสเซียได้เปรียบอย่างชัดเจนทั้งในแง่การเสริมความมั่นคงและการลดโอกาสการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สรุปได้ว่าการผลักดันยูเครนออกไป 100 กิโลเมตร คือการ “ตัดขาทางยุทธศาสตร์” ของยูเครน ลดความสามารถในการทำลายและบั่นทอนความมั่นคงชายแดนรัสเซียอย่างมีประสิทธิผล

6) ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากยูเครน
ในวงการการเมืองและสงคราม การประกาศเขตกันชนตามแนวชายแดนรัสเซีย-ยูเครนย่อมก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากฝ่ายยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีและรัฐบาลเคียฟคงไม่รั้งรอที่จะตำหนิการดำเนินการนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและเป็นรูปแบบใหม่ของการ “ยึดครอง” ซึ่งแน่นอนว่าเสียงเหล่านี้สะท้อนถึงความสิ้นหวังและความขัดแย้งที่ขยายตัวลุกลาม อย่างไรก็ดีพันเอกอนาโตลี มัตวีชุกชี้ชัดว่ารัสเซียจะไม่หวั่นไหวหรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง เพราะในสายตาของผู้นำมอสโก “ความปลอดภัยของประชาชนรัสเซีย” อยู่เหนือทุกสิ่ง การสร้างเขตกันชนจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การกระทำทางยุทธศาสตร์แต่เป็นพันธกิจที่ไม่อาจถอยหลังได้ เพื่อปกป้อง “ประชากรชาติ” จากภัยคุกคามที่พวกเขาเห็นว่ามีอยู่จริงและใกล้ตัว นี่คือความขัดแย้งของมุมมองที่ลึกซึ้ง ยูเครนมองเป็นการรุกราน ในขณะที่รัสเซียมองเป็น “มาตรการป้องกันสูงสุด” ซึ่งจุดยืนนี้สะท้อนถึงความดื้อรั้นและการไม่ยอมถอยของรัสเซียในสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากยูเครนแม้จะสร้างแรงกดดันทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนทิศทางหรือยุทธศาสตร์ของรัสเซียเพราะสำหรับรัสเซียแล้ว เขตกันชนคือ “เส้นชีวิต” ของความมั่นคงรัฐชาติที่ไม่อาจประนีประนอม

บทสรุป การที่รัสเซียเรียกร้อง “เขตกันชน” ตลอดแนวชายแดนกับยูเครนไม่ใช่เพียงการวางกำลังเพื่อป้องกันการโจมตี แต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่า รัสเซียกำลังวาด "เส้นแดง" ใหม่ในภูมิรัฐศาสตร์ยูเรเชียภายใต้กรอบคิดแบบ “ความกลัวเชิงโครงสร้าง” (structural fear) รัสเซียมองว่าโลกภายนอกโดยเฉพาะ NATO และรัฐบาลเคียฟคือภัยคุกคามที่พร้อมบั่นทอนอธิปไตยและความมั่นคงของรัฐรัสเซียทุกเมื่อ เขตกันชนจึงกลายเป็น “พื้นที่กันกระสุนเชิงอารมณ์” และ “สนามสู้รบทางความคิด” ที่สะท้อนทั้งปมประวัติศาสตร์ ความระแวดระวังและความพยายามควบคุมปริมณฑลความมั่นคงด้วยเงื่อนไขของตนเอง ในมิติเชิงยุทธศาสตร์การผลักดันยูเครนให้ถอยออกจากแนวชายแดนอย่างน้อย 100 กิโลเมตรเท่ากับเป็นการตัดขาดอาวุธหลักของยูเครนอย่างปืนใหญ่และการสอดแนม

ในขณะเดียวกัน เขตกันชนยังทำหน้าที่เป็น “เกราะ” ที่ลดทอนอำนาจการปกครองของรัฐบาลเคียฟในดินแดนของตนเอง กลายเป็น “พื้นที่สีเทา” ที่อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงทางอำนาจของรัสเซีย และแม้ยูเครนจะกล่าวหาว่านี่คือการ “ยึดครองในคราบความมั่นคง”แต่นักวิเคราะห์สายทหารอย่างพันเอกอนาโตลีย มัตวีชุกยืนยันว่า รัสเซียจะไม่ถอยจากจุดยืนนี้ เพราะนี่คือเรื่องของ “การอยู่รอดของชาติ” ในภาพรวม เขตกันชนไม่ใช่เพียง "แถบพื้นที่ว่าง" ระหว่างสองรัฐแต่เป็น “เส้นแบ่งแห่งความกลัว” ที่ถูกขีดด้วยเลือด ความเชื่อ และการคำนวณทางอำนาจ มันคือตัวแทนของรัสเซียในฐานะรัฐที่ยังไม่ไว้วางใจโลกและยังไม่เลิกล้มภารกิจในการออกแบบระเบียบระหว่างประเทศใหม่ตามแนวคิดของตน

‘โอ๋ ฐิติภัส’ เผยหญิงไทยถูกจับแทนทุนจีน เตรียมรับโทษหนักกรณีโรงงานรีไซเคิลเถื่อน

(30 พ.ค.68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า …จากคนรักกลายเป็นนอมินี ที่เตรียมรับโทษหนัก

รับแจ้งมีการลักลอบนำเข้าเศษยางจากกัมพูชา แอดรู้ทันจีน และ พี่บอส แห่งไทยพีบีเอส ช่วยกันหาเบาะแสตามรถบรรทุกขนเศษยางจากกัมพูชาผ่านข้ามชายแดนแถว จ.สระแก้ว ปลายทางคือโรงงานร้าง และโรงงานเถื่อนแถวชลบุรี + ระยอง…เพราะเถื่อนตั้งแต่ต้นทาง ทั้งกระบวนการเลยต้องเถื่อนทั้งหมด

แกะรอยตาม GPS จนมาพบ 1 ในโรงงานปลายทางส่งยางที่เพจ บิ๊กเกรียน เคยแจ้งไว้ โรงงานยางไฟไหม้ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี 

พบผู้จัดการโรงงานชาวพม่าสัญชาติจีน เป็นผู้คุมงาน พร้อมแรงงานต่างด้าวเกือบ 20 คน มีหญิงชาวไทยรับเป็นเจ้าของและเป็นกรรมการนิติบุคคลเพียง 1 คน ทำหน้าที่การเงิน คือ จ่ายเงินอย่างเดียว ส่วนรายรับคือรับเงินโอนจากแฟนหนุ่มคนจีนเป็นหลัก จะจ่ายให้ใครแฟนคนจีนจะโอนเงินมาให้แล้วจ่ายต่อ ส่วนการซื้อขายแฟนคนจีนเป็นคนจัดหาและประสานทั้งหมด

ตรวจทั่วโรงงานปรากฏเถื่อนทุกตรง จนท. จับกุมหญิงชาวไทยที่รับเป็นนอมินีดำเนินคดีที่ สภ.เกาะจันทร์ ข้อหาตั้งประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน เพราะเคยถูกสั่งห้ามประกอบกิจการในช่วงไฟไหม้แต่พบฝ่าฝืนแอบประกอบกิจการ ข้อหาจ้างแรงงานต่างด้าวลักลอบหนีเข้ามาในประเทศทำงาน

พยายามเจรจาให้เชิญแฟนคนจีนเข้ามาร่วมรับผิดชอบ ปรากฏแฟนคนจีนปิดโทรศัพท์หนี แต่น้องคนไทยยินดีและเต็มใจรับผิดแทน และให้เพื่อนมาช่วยประกันตัวออกไปเพื่อรอต่อสู้คดีในชั้นศาล เรื่องความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.แรงงานเป็นเรื่องหนึ่ง…แต่ยังไม่นับรวมต่อจากนี้จะมีคดีเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าเศษยางที่กรมศุลกากรและกระทรวงพาณิชย์ต้องตามมาดำเนินคดีเพิ่มอีกต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top