Tuesday, 10 June 2025
NewsFeed

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จัดเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475’ ณ ม.กรุงเทพธนบุรี แลกเปลี่ยนความรู้-มุมมองประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67)  รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดกิจกรรมเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น’ และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 

โดยมี ผศ.ดร.เสงี่ยม บุษบาบาน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ, ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ดร.ธนพันธุ์ พลูชอบ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ นายฤกษ์อารี นานา อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนักศึกษา ประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมไขความจริง ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป

‘กฟผ.’ โชว์เทคโนโลยี ‘LED เบอร์ 5’ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในงาน ‘LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024’

(6 ก.ย. 67) นายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเปิดงาน LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 ณ ห้องแอมเบอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน 

งานนี้ถือเป็นมหกรรมเทคโนโลยีแสงสว่างอัจฉริยะใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวบรวมและนำเสนอนวัตกรรม โซลูชัน เทคโนโลยีด้านไฟฟ้าและแสงสว่างอัจฉริยะระดับนานาชาติกว่า 500 แบรนด์จาก 10 ประเทศทั่วโลก รวมถึงมี Zhejiang International Trade Exhibition 2024 เวทีการค้าระดับทวิภาคีที่สำคัญระหว่างจีนและไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมการค้ามณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน (5 ก.ย.)

นายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 โดยจัดแสดงบูทนิทรรศการโซน ‘กฟผ. พาวิลเลี่ยน’ ณ บูท G10 นำเสนอการดำเนินงานด้านการส่งเสริมเทคโนโลยี LED เบอร์ 5 ที่ กฟผ. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2556 โดยมีการติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 สำหรับ LED ที่ใช้ในครัวเรือน อาคาร โรงงาน และขยายผลสู่โคมไฟถนน ตลอดจนการนำร่องใช้ระบบไฟฟ้า LED ติดตั้งในศาสนสถานและสถานที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นต้นแบบนวัตกรรมพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังได้นำเสนอแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ENZY EGAT's Smart Energy Solution ที่ กฟผ. พัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในบ้านและอาคารอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในบูท กฟผ. ยังมีการนำเสนอ 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา อาทิ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เบอร์ 5 ในพื้นที่โครงการหลวง โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เบอร์ 5 วัดมหาธาตุวชิรมงคล โครงการจัดตั้งห้องเรียนสีเขียว โรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณวราราม 

LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 แบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนนวัตกรรม LED ล่าสุด โซนเทคโนโลยีแสงสว่างอัจฉริยะ โซนอุตสาหกรรมแสงสว่างยั่งยืน และโซนกิจกรรมสร้างเครือข่าย เพื่อโอกาสทางธุรกิจ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 7 กันยายน 2567 ณ Hall 7 และ 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

'ด่านโม่ฮานจีน' รับชาวไทยกว่า 16,000 คนใน 6 เดือน อานิสงส์รถไฟความเร็วสูง 'ลาว-จีน' ช่วยกระตุ้น

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) สำนักข่าวซีซีทีวี รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ข้อตกลงการยกเว้นวีซ่าระหว่างประเทศไทยและจีนมีผลบังคับใช้ ด่านโม่ฮานที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมณฑลยูนนานในจีนตอนใต้ ได้รองรับผู้โดยสารชาวไทยมากกว่า 16,000 คน ภายในระยะเวลา 6 เดือน

สถานีตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านโม่ฮาน ซึ่งเป็นด่านพรมแดนทางบกที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนและลาวระบุว่า ผู้โดยสารชาวไทยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าคิดเป็น 54 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหมด

ในบรรดาผู้โดยสารจากประเทศที่สามที่ผ่านเข้าออกด่านแห่งนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีสัดส่วนมากกว่า 74 เปอร์เซ็นต์

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา รถไฟโดยสารข้ามพรมแดนระหว่างลาวและไทยได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าจีนสามารถโดยสารรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปยังเวียงจันทน์ในลาว และต่อรถไฟสายจีน-ลาว จากเวียงจันทน์เข้าสู่จีนได้ ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางออกจากจีนสามารถเดินทางไปยังลาว ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความสะดวกสบายดังกล่าวส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ผ่านเข้าออกที่ด่านรถไฟโม่ฮานอย่างมีนัยสำคัญ

จากสถิติของสถานีตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านโม่ฮาน ในช่วงวันที่ 19 ก.ค. 67 ถึง 31 ส.ค. 67 ด่านรถไฟโม่ฮานได้รองรับผู้โดยสารชาวไทยขาเข้าและขาออกมากกว่า 1,400 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในจำนวนนี้ ผู้โดยสารชาวไทยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าคิดเป็น 56 เปอร์เซ็นต์

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระบุว่า นโยบายการยกเว้นวีซ่าที่ได้รับจากจีนและประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

"ในขณะที่ตลาดการท่องเที่ยวของจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับนโยบายต่างๆ เช่น การยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนกับไทย และนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในลาว ผมเชื่อว่าการท่องเที่ยวตามเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ และเส้นทางอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ" 

‘นายอวี๋ หนาน’ ไกด์นำเที่ยวของ China International Travel Service กล่าว

'มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์' จับมือ 'มูลนิธิยังมีเรา' สถานีท็อปนิวส์ และ 'ไทยสมายล์กรุ๊ป' ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบอุทกภัย จ.พิจิตร

(6 ก.ย.67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย นายประวิทย์ สุขนิมิต ผู้จัดการมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อป นิวส์ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป และพลังภาคีเครือข่ายลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 211 ชุด เพื่อช่วยเหลือและเยี่ยมขวัญกำลังใจแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยมี ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ ณ วัดรังนก ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อป นิวส์ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป และพลังภาคีเครือข่าย มีความห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย 

ในวันนี้หน่วยงานดังกล่าวจึงได้พร้อมใจกันนำถุงยังชีพซึ่งเป็นสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง มามอบให้แก่ชาวบ้านผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านรังนก หมู่ที่ 4 บ้านเกาะสาลิกา หมู่ที่ 11 บ้านปากคลอง และหมู่ที่ 12 บ้านย่านยาว อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ซึ่งสิ่งของที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้รับบริจาคมาจากบริษัท ไบ่ ลี่ เอ็นเตอร์ไพร์ส จํากัด กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป และเครือข่ายภาคเอกชน รวมทั้งมูลนิธิยังได้มอบเรือไฟเบอร์กลาส จำนวน 2 ลำ ที่ได้รับบริจาคมาจากกลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป เพื่อมอบให้กับทางจังหวัดพิจิตรไว้ใช้ประโยชน์ในการนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 

นางเธียรรัตน์ กล่าวต่อว่า การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมกับมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อป นิวส์ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้นำถุงยังชีพมามอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยและนำเรือไฟเบอร์กลาสมามอบให้จังหวัดพิจิตรในครั้งนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน เติมกำลังใจ ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย 

ที่สำคัญมูลนิธิหัวใจบริสุทธ์เรามีความห่วงใยและให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบางในแต่ละพื้นที่ เช่นเดียวกับการลงพื้นที่มายังจังหวัดพิจิตรในครั้งนี้ เพื่อให้ได้เข้าถึงการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ อย่างทั่วถึง และสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหลักที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ ต่อชุมชน สังคม ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าส่งต่อธารน้ำใจร่วมกับพลังเครือข่ายภาคเอกชนถึงผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ต้องการขอรับความช่วยเหลือต่อไป

พลิกโฉม!! 1 ปี ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ ภายใต้หญิงเก่งสุดแกร่ง ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา’

เมื่อวันที่ (6 ก.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง โดยได้เข้าสักการะเพื่ออำลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ พระภูมิ และองค์พระนารายณ์ 

‘พิมพ์ภัทรา’ ได้กล่าวขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกคนที่ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มว่า “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับทุกท่าน ขอบคุณจากหัวใจ ที่ได้สร้างภาพจำที่ดีให้กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จต่าง ๆ จะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความรู้ความสามารถ และได้ส่งพลังงานดี ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ทุกคนมีรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันแรกที่เข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านและครอบครัวของพวกเราต่อไป”

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ‘ณัฐพล รังสิตพล’ ได้กล่าวอำลา ‘พิมพ์ภัทรา’ ว่า “1 ปี ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา เป็นผู้นำที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สามารถทำงานร่วมกับข้าราชการในทุกระดับเป็นอย่างดี ขอบคุณท่านที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ช่วยหลือชุมชน ผู้ประกอบการ และได้ผลักดันนโยบาย 'รื้อ ลด ปลดสร้าง' ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตนในฐานะตัวแทนของผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณ และพร้อมที่จะสานต่อนโยบายต่อไป”

ทั้งนี้ผลงาน 1 ปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนของ ‘พิมพ์ภัทรา’ ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแนวทางในการพลิกอุตสาหกรรมไทยที่รองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต :

‘รื้อ’ ด้วยการเร่งรื้อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น อาทิ ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ที่คงค้างจำนวนมากจนแล้วเสร็จ ทำให้เกิดการลงทุนเพิ่ม 12,000 ล้านบาท และดำเนินการออกใบอนุญาตที่ขอใหม่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนด แก้ไขปัญหาผังเมือง เพื่อให้เกิดการลงทุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 

‘ลด’ ด้วยการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ 

(1) เร่งดำเนินการจัดการกากอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพี่น้องประชาชนคนไทย 

(2) ช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลอันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลไม่ให้ลักลอบเผาไร่อ้อยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 

(3) กวดขันให้มีการตรวจ กำกับดูแลโรงงาน/วัตถุอันตราย และโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวถึงร้อยละ 87.66 จากเป้าหมายร้อยละ 90 เพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน 

(4) ส่งเสริมการทำเหมืองแร่ในเมือง (Urban Mining) เพื่อสร้าง/ขยายเครือข่ายการนำขยะหรือของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ 

(5) กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทยซึ่งเป็นผู้บริโภค 

(6) ผลักดันการจัดตั้งนิคม Circular แห่งแรกของไทยในพื้นที่ EEC ให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน และพัฒนานิคม Smart Park เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ การแพทย์ หุ่นยนต์ และดิจิทัล 

(7) เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า/จักรยานยนต์ไฟฟ้า Solar Rooftop และอุตสาหกรรม Recycle เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยแนวคิด BCG 

(8) พัฒนาองค์กรดิจิทัลเพื่อให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ 

(9) จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฝุ่น PM 2.5 สู่ชั้นบรรยากาศ และจัดตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉินจากการประกอบการและจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยจากโรงงานอุตสาหกรรม

‘ปลด’ ด้วยการปลดภาระให้ผู้ประกอบการ โดยการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด 

(1) ปลดล็อกการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 

(2) ช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ด้วยสินเชื่อลดโลกร้อน (Decarbonize Loan) สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความตั้งใจในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน 

(3) ผลักดันเหมืองแร่โปแตชเพื่อส่งเสริมการผลิตปุ๋ยภายในประเทศ อันเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรให้เกษตรกร และได้จัดสรรผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

(4) เร่งส่งเสริม MSMEs ให้มีศักยภาพและแข่งขันได้ 

‘สร้าง’ ด้วยการเร่งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก โดยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Food for the Future) อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลก อาทิ อุตสาหกรรมฮาลาล ฯลฯ 

ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดได้ส่งต่อให้กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ได้ทำงานสานต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม มีความต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป

‘สายสุนีย์’ ฟอร์มร้อนแรง เอาชนะ ‘กัง ซู่’ คว้าเหรียญทองที่ 3 วีลแชร์ฟันดาบ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นผู้หญิงคนแรก ที่คว้า 3 ทอง ในพาราลิมปิกเกมส์ 1 ครั้ง

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) การแข่งขัน วีลแชร์ฟันดาบ พาราลิมปิกเกมส์ 2024 ประเภทเอเป้ หญิง คลาส B ‘แวว’ สายสุนีย์ จ๊ะนะ มือ 1 ของรายการจากไทย ที่ก่อนหน้านี้คว้าไปแล้ว 2 เหรียญทอง จากประเภทเซเบอร์ และฟอยล์ ลงชิงชัยฟาดดาบ

‘สายสุนีย์’ นั้นทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับ ‘กัง ซู่’ มือ 10 ของรายการจากจีน ผลปรากฏว่า สายสุนีย์ ที่กำลังฟอร์มร้อนแรง ติดลมบนต่อเนื่อง เอาชนะไป 15-7 คว้าเหรียญทองที่ 3 ของตัวเองในพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ได้สำเร็จ

สำหรับผลงานของ สายสุนีย์ ในครั้งนี้ ยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้หญิงคนแรกของโลกที่คว้า 3 เหรียญทองในพาราลิมปิกเกมส์ 1 ครั้ง และเหรียญทองประเภทเอเป้ ครั้งนี้ ยังบวกให้ทัพนักกีฬาไทย เก็บไปแล้ว 6 เหรียญทอง ในพาราลิมปิกเกมส์ 2024

นอกจากนี้ สายสุนีย์ ยังมีโอกาสลุ้นเหรียญทองที่ 4 ด้วย ในประเภทเอเป้ ทีมหญิง ซึ่งจะลงแข่งขันในวันนี้ (7 ก.ย.67) อีกด้วย 

ซึ่งงานนี้คนไทยทั้งประเทศ ก็เอาใจช่วยให้ ‘สายสุนีย์’ คว้าเหรียญทองที่ 4 ได้สำเร็จ

สู้สู้!!

‘นายกฯ’ นำ ‘คณะรัฐมนตรี’ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ จะจงรักภักดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ดังนี้

- นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
- นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
- นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
- นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
- นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม

- นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
- นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
- นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
- นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
- นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

- นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
- นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
- นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

- นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
- นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
- นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
- นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
- นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
- นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
- พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
- นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
- นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
- พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
- นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
- นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
- นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
- นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นำคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า

“...ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ...”

โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสแก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า

“...รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสพบท่านนายกฯ และคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ขอให้พรด้วยความยินดี ให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจ มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ไปแล้ว เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าจะปฏิบัติได้อย่างดี ก็ขอเป็นกำลังใจให้ ณ โอกาสนี้ และตลอดไป...”

เชียงใหม่- เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรม 'Blooming Party with Chiang Mai Night Safari 2024'

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) เวลา 17.00- 22.00 น. เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรม"Blooming Party with Chiang Mai Night Safari 2024" สานสัมพันธ์สื่อมวลชน โดยมี นายกฤษดา ลาพิมล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร กล่าวเปิดงาน ณ ห้องประชุมวารีกุญชร เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 

นายกฤษดา ลาพิมล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์สื่อมวลชน 'Blooming Party with Chiang Mai Night Safari 2024' ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญในการเผยแพร่ข่าวสารให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง และมีความน่าเชื่อถือ ทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสื่อมวลชนและองค์กรอีกด้วย

ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) กำกับดูแลสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่เที่ยวได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติและสัตว์ป่าที่สร้างรายได้ พร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชนโดยรอบพื้นที่ 

โดยในปี 2567 นี้ ทำรายได้ไปแล้วมากกว่า 177 ล้านบาท และในปี 2568 วางเป้าหมายรายได้อยู่ที่ประมาณ 230 ล้านบาท และในปี 2568 นอกจากกิจกรรมหลักๆ แล้ว เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้พัฒนากิจกรรมให้มีความสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยว เช่น กิจกรรม ChiangMai Night Safari Learning Center เป็uศูนย์การ เรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาศึกษาหาความรู้ด้านสัตว์ป่า ผ่านกิจกรรมและสื่อต่าง ๆ อาทิ เกมอนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์ 3D animation หนังสือ AR book เป็นต้น 

และพบกับกิจกรรม Farnily Zone เป็นกิจกรรมใหม่สำหรับเด็ก ๆ และครอบครัว ในการเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์น่ารักโดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ โดยจะพบกับกระต่ายสายพันธุ์ต่าง ๆ อาทิ กระต่ายยักษ์, กระต่ายจิ๋ว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์น่ารักอื่น ๆ อาทิ แพ รีด็อก เมียร์แคท ที่สามารถเข้ามาเล่นและสัมผัสอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้เรายังได้ปรับปรงพื้นที่ในกิจกรรม TiperShow เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ต่อไป

‘น้องวี’ หนุ่มรปภ.วัย 18 ปี ทำงานส่งตัวเองเรียน สอบติด ‘สัตวแพทย์ จุฬาฯ’ เผย!! พ่อแม่แยกทาง ฐานะยากจน ต้องช่วยแม่ทำงาน ก่อนสานฝันเป็น ‘คุณหมอ’

(7 ก.ย.67) ‘น้องวี’ หรือ นายวีระพงศ์ แซ่หาญ หนุ่มวัย 18 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ทำงานส่งเสียตัวเองเรียน และสามารถสอบติดคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามความฝันได้สำเร็จ กลายเป็นที่ชื่นชม และแชร์กันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย

‘น้องวี’ ได้เปิดใจว่า ตนเองอาศัยอยู่กับแม่ที่แยกทางกับพ่อมาตั้งแต่ตนยังเด็ก และครอบครัวมีฐานะยากจน แม่ทำอาชีพรับจ้างรายได้ประมาณ 6,000-7,000 บาทต่อเดือน น้องวีเป็นลูกคนเดียว จึงพยายามช่วยแบ่งเบาภาระแม่ โดยตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเพื่อหาทุนการศึกษามาช่วยเหลือครอบครัว จนได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิจุฬาภรณ์และจบมัธยมปลายด้วยเกรดเฉลี่ย 3.92 

ในช่วงปิดเทอม น้องวีได้สมัครทำงานเป็น รปภ. ที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ เพื่อหารายได้และส่งเงินให้แม่ น้องวีไม่เคยอายที่จะทำงานนี้ เพราะถือว่าเป็นงานสุจริตและมีเกียรติไม่น้อยไปกว่าอาชีพอื่น ๆ ด้วยความตั้งใจและขยันหมั่นเพียร น้องวีสามารถสอบติดทั้งคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในที่สุดเขาได้เลือกคณะสัตวแพทยศาสตร์ ตามความฝันที่อยากเป็นหมอตั้งแต่เด็ก

เรื่องราวของ’น้องวี’ นั้นเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมถึงความกตัญญู ขยันหมั่นเพียร และการใช้ความฝันเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิต

ผบ.ทร. ชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ 'น้องคิว' ประดู่เหล็ก หนึ่งเดียวของสมาคมกีฬาปัญจกีฬาฯ ใน โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 33 กรุงปารีส

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) พลเรือโท ชนินทร์ แสงเฟื่อง อุปนายกสมาคมฯ ผู้แทนนายกสมาคมกีฬาปัญจกีฬาแห่งประเทศไทย ได้นำ จ่าโท ภูริช โยเฮือง หรือ 'น้องคิว' ประดู่เหล็กยอดมนุษย์ หนึ่งเดียวของสมาคมกีฬาปัญจกีฬาฯ เข้าพบ เพื่อรับโอวาทจาก พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกำลังพลกองทัพเรือ ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 33 กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ ห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าว ชื่นชมนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติและกองทัพเรือ ที่สามารถผ่านการคัดเลือก จนสามารถเข้าแข่งขันในระดับโอลิมปิกได้ และได้ให้โอวาท มี ใจความตอนหนึ่งว่า

“บันไดที่ก้าวไปถึงโอลิมปิกนั้น มันยากมาก ๆ นักกีฬาทีมชาติของเรา จํานวนไม่มากนักที่ประสบความสําเร็จ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ เราต้องฝันไปให้ถึงให้ได้ จงไปดูว่าตัวเราเองยังอ่อนเรื่องไหนกับคู่ต่อสู้ของเรา เขาเป็นยังไง ก็ขอฝากครูฝึกสอนในเรื่องนี้ไว้ด้วย เราพอไปไหวในกีฬาที่ใช้ทักษะสูง เพราะฉะนั้นกีฬาอะไรที่ใช้ทักษะส่วนบุคคลคงต้องพัฒนานะ

เราเดินมาทางนี้แล้วเดินไปให้สุด อย่าท้อแท้ อย่าเพิ่งหมดกําลังใจ ไปถามตัวเองให้ได้ว่า เราพลาดตรงไหน เรายังไม่เก่งตรงไหน สมัยนี้มันช่วยกันได้ด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งจะมาเติมในข้อที่เราบกพร่องได้หมด"

และขอขอบคุณ ที่เป็นผู้แทนกองทัพเรือ ไปสร้างชื่อเสียงในเวทีโอลิมปิก และขอให้ทุกคนไปสู่ความสําเร็จ ขอให้สู่โอลิมปิกให้ได้ตลอดไป“  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top