Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

โฆษกภูมิใจไทยแจง ‘ภูมิใจดูด’ เปรียบ ‘ใต้ฝุ่น’ เหตุ!! ผลงานเด่นดันพรรคเติบโต น่าร่วมงาน

‘ภราดร’ แจง ‘ภูมิใจดูด’ เปรียบ ‘ใต้ฝุ่น’ ก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำ เล็ก ๆ สะสมผลงาน 4 ปี ทำสำเร็จมากมาย และนโยบายใหม่ ที่ประชาชนต้องการให้ทำ จึงมาสมัครสมาชิกพรรคกันคึกคัก ยัน ‘กัญชาเสรี เพื่อการแพทย์และเศรษฐกิจ’ ทำสำเร็จแล้ว ทั้งปลดล็อก เสนอกฎหมาย จนผ่านวาระ 1 และมีผลงานอื่น ๆ อีกมากมาย

(28 ธ.ค.65) นายภราดร ปริศนานันทกุล โฆษกพรรคภูมิใจไทย ชี้แจงกรณีที่สื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายา ‘ภูมิใจดูด พูดแล้วดอย’ ว่า เป็นเชิงสัพยอกกันมากกว่า แต่อยากให้พิจารณาในแง่ข้อเท็จจริงด้วย โดยเฉพาะคำว่า ‘ดูด’ โดยพรรคภูมิใจไทย วันนี้คือ ‘ไต้ฝุ่น’ ใช้เวลา 4 ปีเพิ่มกำลังจากหย่อมความกดอากาศต่ำเล็ก ๆ โดยสะสมผลงาน ผ่านคำว่า ‘พูดแล้วทำ’ หลากหลายนโยบาย ฟังดูเหมือนขายฝัน แต่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงภายในเวลาไม่ถึง 4 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดแรงดึงดูดขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความสนใจและมั่นใจจากเพื่อนส.ส. และนักการเมือง ว่าพรรคการเมืองนี้แหละ คือพรรคการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน สัญญากับประชาชนแล้วสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้

นายภราดร กล่าวว่า เราทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ หลายเรื่อง ทั้งเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์ และเศรษฐกิจ ซึ่งวันนี้ประชาชนปลูกและใช้กัญชาได้จริง ๆ แล้ว มีประชาชนเข้ามาลงทะเบียนในแอปพลิเคชันปลูกกัญ กว่า 1 ล้านคน และมีคนสนใจเข้ามาเยี่ยมชม 40 กว่าล้านครั้ง, การแก้ปัญหาโควิด-19 จนนานาชาติชื่นชม ฟอกไตฟรี ผ้าอ้อมฟรีวันละ 3 ผืน ในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ, การให้สวัสดิการให้กับ อสม. แก้กฎหมายให้กับแอปพลิเคชันเรียกรถจับจ้างสาธารณะ, ค่าโง่โฮปเวล, ค่าโง่ทางด่วน, การสร้างสะพานข้ามเกาะลันตา, สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา แก้ปัญหาให้โครงการมอเตอร์เวย์ สามารถเดินหน้าไปได้ หลังติดปัญหายาวนาน ทั้งค่าเวนคืนที่ดิน การแก้ไขแบบ, โครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์, การเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยว ในการเปิดประเทศ จนมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่า 10 ล้านคน, เรื่องการแบน 3 สารพิษภาคการเกษตร เป็นต้น

‘ตำรวจ’ จับ 2 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่  ฉวยโอกาสช่วงปีใหม่ ขนส่งยาเสพติด

การกวาดล้างจับกุมและขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติด รวมทั้งการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในและในชุมชน และการทำลายเครือข่ายทุกมิติอย่างเร่งด่วน  ตามนโยบาย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.นั้น ตำรวจ ปส. ได้ขับเคลื่อนการทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุมเข้มตรวจสอบการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในห้วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ซึ่งขบวนการมักอาศัยช่วงเวลาเหล่านี้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปจำหน่ายให้กลุ่มลูกค้าตามสถานบันเทิง สถานบริการจำนวนมาก ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม) / ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. และ พล.ต.ต.ธนรัช สอนกล้า ผบก.ปส.2 สั่งการให้ รวบรวม ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีกลุ่มขบวนการลักลอบ ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่พื้นที่ตอนใน ซึ่งทำกันเป็นขบวนการ และดำเนินการลักลอบลำเลียงยาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งสามารถจับกุมได้ 2 คดี 

คดีที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 จับกุม นายสมบูรณ์ สงวนนามสกุล อายุ 43 ปี ได้ริมถนนมิตรภาพ บริเวณแยกจุดให้สัญญาณจราจร ต.พันดอน อ.กุมภวาปี จว.อุดรธานี พร้อมตรวจยึดสารไอซ์ จำนวน 135 กก., ยาอี 40 ถุง รวม 40,000 เม็ด, วัตถุออกฤทธิต่อจิตและประสาท ประเภทที่ 2 (เคตามีน) จำนวน 44 กก., ยา Happy water บรรจุอยู่ในซองกาแฟซอง 1,313 ซอง, รถยนต์ PROTON หมายเลขทะเบียน ฆฮ 2893 กทม. ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการลำเลียงยาเสพติด และ โทรศัพท์ จำนวน 2 เครื่อง

เบื้องต้น แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (สารไอซ์, ยาอี, Happy water) ไว้ในความครอบครองเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

สำนักอัยการสูงสุดร่วมกับสภากาชาดไทยจัดโครงการขอรับบริจาคโลหิตด้วยหัวใจ หนี่งคนให้สามคนรับสำหรับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

ด้วยสำนักงานอัยการสูงสุด จัดโครงการบริจาคโลหิตด้วยหัวใจหนึ่งคนให้สามคนรับครั้งที่ 12 ในวันที่ 26 และ 27 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30-15.30 ณ อาคารสมาคมภริยาอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนรัชดาภิเษก โดยมีวัตถุประสงค์ในการมีส่วนร่วมบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

เมื่อวันที่ 26-27 ธ.ค. 65 ณ อาคารสมาคมภริยาอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร โดยนางสาวนารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด เป็นประธานในพิธีเปิดรับบริจาคโลหิต ต่อลมหายใจ 1คนให้ 3 คนรับ ครั้งที่ 12 พร้อมด้วย นายพรชัย ชลวาณิชกุล ประธานโครงการบริจาคโลหิตสำนักงานอัยการสูงสุด นางศศนันท์ เจตน์เจริญรักษ์ นายกสมาคมภริยาอัยการ ดร.ฉวีวรรณ คำพา ประธานที่ปรึกษาโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ,ดร.พรทิพย์ วงษ์นครินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม กต.ตร.กทม.(ด้านสังคม) ข้าราชการอัยการระดับสูง พร้อมด้วย คุณโอ๊ต-สุรศักดิ์ โชติทินวัฒน์ คุณเรย์-อิสริยะ อภิชัย มิสไทยแลนด์เวิลด์ และประชาชนทั่วไป

ผบ.ตร.สั่งเข้มทุกส่วน ดูแล ปชช. ช่วงปีใหม่ ต้องเดินทางถึงภูมิลำเนา โดยสวัสดิภาพ

(28 ธ.ค.65) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาของศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ร่วมกันเปิด ‘ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566’ เพื่อกำกับดูแลและสั่งการ ในการอำนวยการจราจรและแก้ไขสถานการณ์อุบัติเหตุ ในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึง 4 มกราคม 2566

โดย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้เตรียมความพร้อม กำลังพลกว่า 50,000 นาย อำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงการป้องปรามไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ โดยจะปฏิบัติงานตลอดช่วงเทศกาลไม่มีวันหยุด ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ จึงได้สั่งการให้ บช.น., ภ.1-9 และ บก.ทล. ปฏิบัติตามมาตรการ ดังนี้...

1. อำนวยความสะดวกการจราจร เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีรถเดินทางเข้า-ออก กทม. มากถึง 7.3 ล้านคัน โดยปริมาณรถขาออกมากที่สุด วันที่ 29 และ 30 ธันวาคม 2565 และปริมาณรถขาเข้ามากที่สุด วันที่ 2 และ 3 มกราคม 2566 จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยประสาน คืนพื้นผิวการจราจร จุดที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซม เป็นเหตุให้รถชะลอตัว โดยสามารถคืนพื้นผิวได้ทั้งหมด 408 จุดทั่วประเทศ พร้อมจัดตำรวจอำนวยการจราจร ตามจุดสำคัญที่มีปัญหาการจราจร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว และในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ให้มีชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์ เช่น รถยก, รถสไลด์ เข้าถึงที่เกิดเหตุและคลี่คลายการจราจรได้ทันที 

นอกจากนี้ ยังได้ออกข้อบังคับเปิดช่องทางพิเศษ เพื่อเร่งระบายรถ ทั้งขาเข้าและออก กทม. 9 เส้นทาง 10 จังหวัด รวมระยะทาง 450 กม. โดยตำรวจทางหลวงจะเปิดช่องทางพิเศษ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตามสภาพการจราจร และได้ออกข้อบังคับ ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินในถนน 7 เส้นทาง เพื่อลดความหนาแน่นของการจราจร รวมระยะทาง 194 กม. สำหรับรถบรรทุกที่มีความจำเป็นต้องเดินรถ เช่น รถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง, อาหารสด สามารถยื่นคำขออนุญาตผ่านระบบออนไลน์ ของ บก.ทล. ได้ที่ www.hwpdth.com

2. การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กำหนดเป้าหมายให้ทุก ภ.จว. ลดจำนวนอุบัติเหตุ, ผู้เสียชีวิต, ผู้บาดเจ็บ จากค่าเฉลี่ยปีใหม่ 3 ปีย้อนหลัง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยมีมาตรการให้ทุกหน่วยทำบัญชีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เพื่อเข้าไปรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ป้องปรามกลุ่มเป้าหมาย และตั้งจุดตรวจเพื่อกวดขันจับกุม การกระทำผิดกฎจราจร ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยเริ่มบังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2565 เป็นต้นมา เน้นหนัก 4 ข้อหา ตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ ขับรถในขณะเมาสุรา, ขับรถเร็วเกินกำหนด, ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่รัดเข็มขัดนิรภัย 


 

'ผบ.ตร.' เปิดศูนย์ลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ส่งตำรวจกว่า 50,000 นาย คอยความอำนวยการจราจร พี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา เข้มงวดความเร็ว เมาสุรา ลดอุบัติเหตุบนถนน”

วันนี้ (28 ธ.ค.65) เวลา 09.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธนา  ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วีระ  จิรวีระ รอง จตช. และผู้บังคับบัญชาของศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) แถลงเปิด "ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566" เพื่อกำกับดูแลและสั่งการ ในการอำนวยการจราจรและแก้ไขสถานการณ์อุบัติเหตุ ในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น (29 ธ.ค.65 ถึง 4 ม.ค.66)  

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ได้สั่งเตรียมความพร้อมกำลังพลกว่า 50,000 นาย เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร และดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงการป้องปรามไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ โดยจะปฏิบัติงานตลอดช่วงเทศกาลไม่มีวันหยุด สำหรับวันนี้ เป็นวันแรกที่เปิด ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ ได้สั่งการให้ บช.น. ภ.1-9 และ บก.ทล. ปฏิบัติ ดังนี้
1) อำนวยความสะดวกการจราจรเพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีรถเดินทางเข้าออก กทม. มากถึงจำนวน 7.3 ล้านคัน โดยปริมาณรถขาออกมากที่สุด วันที่ 29 และ 30 ธ.ค.65 และปริมาณรถขาเข้ามากที่สุด วันที่ 2 และ 3 ม.ค.66 จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยประสานเจ้าของถนนคืนพื้นผิวการจราจร จุดที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซม เป็นเหตุให้รถชะลอตัว โดยสามารถคืนพื้นผิวได้ทั้งหมด 408 จุดทั่วประเทศ จัดตำรวจอำนวยการจราจร ตามจุดสำคัญที่มีปัญหาการจราจร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว และในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ให้มีชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์ เช่น รถยก รถสไลด์  เข้าถึงที่เกิดเหตุและคลี่คลายการจราจรได้ทันที นอกจากนี้ยังได้ออกข้อบังคับเปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถ ทั้งขาเข้าและออก กทม. 9 เส้นทาง 10 จังหวัด รวมระยะทาง 450 กม. โดยตำรวจทางหลวงจะเปิดช่องทางพิเศษตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตามสภาพการจราจร และได้ออกข้อบังคับห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินในถนน 7 เส้นทาง เพื่อลดความหนาแน่นของการจราจรรวมระยะทาง 194 กม. สำหรับรถบรรทุกที่มีความจำเป็นต้องเดินรถ เช่น รถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง อาหารสด สามารถยื่นคำขออนุญาตผ่านระบบออนไลน์ ของ บก.ทล. ได้ที่ www.hwpdth.com  

2) การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กำหนดเป้าหมายให้ทุก ภ.จว. ลดจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จากค่าเฉลี่ยปีใหม่ 3 ปีย้อนหลัง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยมีมาตรการให้ทุกหน่วยทำบัญชีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เพื่อเข้าไปรณรงค์ประชาสัมพันธ์ป้องปรามกลุ่มเป้าหมาย และตั้งจุดตรวจเพื่อกวดขันจับกุมการกระทำผิดกฎจราจรที่ เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยเริ่มบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ 22 ธ.ค.65 เป็นต้นมา เน้นหนักใน 4 ข้อหา ตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ ขับรถในขณะเมาสุรา ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.65 – 27 ธ.ค.65 ที่ผ่านมามีการจับกุมทั้ง 4 ข้อหารวมแล้วทั้งสิ้น 9,364 ราย และนอกจากนั้น บก.ทล. มีการออกใบสั่งกล้องตรวจจับความเร็วทั่วประเทศอีกจำนวน 115,906 ราย โดยในห้วง 7 วันควบคุมเข้มข้น (29 ธ.ค.65 ถึง 4 ม.ค.66) ตร. ได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มในการกวดขันวินัย  โดยมีการตั้งจุดตรวจทั่วประเทศรวม 3,771 จุด แบ่งเป็น จุดตรวจกวดขันวินัยจราจร  2,142 จุด (กำลังพล 19,699 นาย) จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ 1,629 จุด (กำลังพล 13,726 นาย) นอกจากนั้น กรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ทุกรายเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน หากผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่ยอมให้ทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ จะถูกกฎหมายสันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ตั้งแต่ 28 ธ.ค.65 ถึง 5 ม.ค.66 กำหนดให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุและการจราจรทุกวัน ในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น โดยมอบหมาย พล.ต.อ.รอยฯ พล.ต.ท.ธนาฯ พล.ต.ท.ประจวบฯ และ พล.ต.ท.วีระฯ เป็นประธานการประชุมตลอด 7 วัน และวันนี้เป็นการประชุมเปิดศูนย์ฯ เพื่อสั่งการทุกหน่วยให้เตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายก่อนเริ่มภารกิจจริง  

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า การจะลดอุบัติเหตุบนถนนได้อย่างมีนัยสำคัญ ต้องสร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยตามกฎหมายจราจรให้กับสังคม ซึ่ง ตร. ได้ทำโครงการ อาสาตาจราจร ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ บ.วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จส.100 และ สวพ.91 เพื่อให้ประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถ หรือคลิปจากกล้องโทรศัพท์มือถือ ที่บันทึกเหตุการณ์การกระทำผิดกฎจราจรสำคัญที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น หรือบันทึกอุบัติเหตุสำคัญและสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในทางคดีของตำรวจได้เพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด โดยสำหรับในเทศกาลปีใหม่นี้ จะมีแคมเปญพิเศษ “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ให้ประชาชนส่งคลิปในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้นของเทศกาลปีใหม่ 2566 จากคลิปที่ส่งมาทั้งหมด จะมีการคัดเลือกให้เหลือ 7 คลิป และจะมีรางวัลให้คลิปละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 70,000 บาท โดยได้รับสนับสนุนเงินรางวัลจาก บ.วิริยะประกันภัย ฯ
 

‘เจ๊เจี๊ยบ’ ห่วงครูสาวบูลลี่ ‘ป๋าเปรม’ โดนลงโทษ แนะ!! ควรสังคายนาวิชาประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่

(28 ธ.ค.65) ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่การประชุม ก่อนเข้าสู่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... โดยได้ให้ ส.ส. หารือปัญหาต่าง ๆ

ทั้งนี้ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้หารือว่า กรณีครูสอนประวัติศาสตร์ พูดถึงระบอบอำนาจนิยม พูดถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เรื่องเพศวิถี ตนไม่ได้ติดในเรื่องนั้น แต่ห่วงว่าจะไปกดดันให้ลงโทษครูจนเกินเหตุสมควร นายกฯ ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า ‘แปดเปื้อน’ บัญชาการเข้มงวดเรื่องประวัติศาสตร์ ยัดเยียดการสอนให้เน้นเรื่องความรักชาติ จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ ลงนามเมื่อ19 ธ.ค. เปลี่ยนแปลงแยกวิชาประวัติศาสตร์มาโดด ๆ ออกจากสังคม ศาสนา วัฒนธรรม และให้เน้นย้ำความภูมิใจในความรักชาติ เป็นทัศนคติหลงยุค เป็นทัศนคติของผู้นำยุคล่าอาณานิคม

ผวจ.มุกดาหาร จัดคาราวานน้ำใจมอบของขวัญปีใหม่ให้กลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียง 911 ครอบครัว

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม นายวรญาณ  บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยนางอัญชลี กัลมาพิจิตร บุญณราช นายกเหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร และหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้แทนภาคเอกชนและประชาชนในจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกิจกรรมโครงการ “คาราวานน้ำใจของขวัญปีใหม่จากใจชาวมุกดาหาร”เพื่อเป็นการถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิรา เทพยวดี กรมหลวงราชสาริณี สิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร

นายวรญาณ กล่าวว่า จังหวัดมุกดาหารได้ส่งมอบขบวนคาราวาน น้ำใจของขวัญปีใหม่จากใจชาวมุกดาหาร ให้นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ และนายกเทศมนตรีเมืองมุกดาหาร นำส่งต่อให้หัวหน้าหน่วยงานทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชน นำไปมอบให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 911 ครัวเรือน โดยของขวัญปีใหม่ดังกล่าวประกอบด้วยของใช้เครื่องอุปโภคบริโภคและผ้าห่มกันหนาว พร้อมกับฝากความห่วงใย ความปรารถนาดี และกำลังใจ ไปยังประชาชนกลุ่มเปราะบาง และผู้ป่วยติดเตียงทุกครัวเรือน ให้มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจในการต่อสู้และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป

ขยายผลจับกุมแก๊งนอมินีต่างชาติ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด สตม.ร่วมกับ บช.ก. ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อาภากร  โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปอศ., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวขยายผลการจับกุมตัวคนต่างด้าวซึ่งมีพฤติการณ์ในการประกอบธุรกิจโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอมินี) ดังนี้ 
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 พ.ย.65 เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. ได้เข้าจับกุมตัว Mr.SHAO คนต่างด้าว ตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ในข้อหา “ยื่นขอมีบัตรประชาชนไทยโดยมิได้มีสัญชาติไทยฯ” พร้อมตรวจยึดของกลางรวม 36 รายการ ได้ที่สมาคมพ่อค้าไทย ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ซึ่งในการเข้าตรวจค้นจับกุมพบพยานหลักฐานว่า Mr.SHAO มีพฤติการณ์ในการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอมินี) จำนวน 3 บริษัท จึงได้ร่วมกับ บก.ปอศ. สืบสวนขยายผลจนพบชาวไทยผู้ให้ความช่วยเหลือ Mr.SHAO ในการประกอบธุรกิจในบริษัทดังกล่าว โดยต่อมาได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญา เพื่อเข้าตรวจค้นบริษัทที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด จำนวน 3 บริษัท คือ
1. บริษัท คิววาย ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด 
2. บริษัท ลีฟ อิเล็กทริก จำกัด 
3. บริษัท โฮป โฮม บิวดิ้ง จำกัด

โรงพยาบาลพญาไท 3 รำลึกมหาราช บวงสรวงเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตาก

บวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เทิดพระเกีรยติ 'วันพระเจ้าตากสิน' โรงพยาบาลพญาไท 3 โดย นพ.สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล รศ.พญ.วารุณี จินารัตน์ ผู้อำนวยการแพทย์ ศุภกร พะวันนา ผู้อำนวยการบริหารการตลาด พญาไท -เปาโล นพ.อภิชัย โตวณะบุตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการแพทย์ นิตยา กฤตธนเวท ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร พว.ภาวิณี วัยปัทมะ ผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานเปิดเวทีพูดคุยเครือข่ายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ใน 'Let’s Talk TIP'

วันนี้ (28 ธ.ค. 65) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้เป็นประธานในการจัดงาน “Let’s Talk TIP : ขับเคลื่อนด้วยใจ ประเทศไทยไร้ค้ามนุษย์” ซึ่งเป็นการเสวนาระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีบทบาทในการร่วมกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยจัดขึ้นที่ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมประมง อัยการประจำสำนักงานคดีค้ามนุษย์ กรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและแรงงาน ผู้แทนจากสถานทูตอเมริกา มูลนิธิกระจกเงา โครงการ SPRING โครงการ HUG PROJECT มูลนิธิ Stella Maris มูลนิธิ O.U.R. เอทเวนตี้วัน มูลนิธิราฟาอินเตอร์เนชั่นแนล สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และหน่วยงานจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง

โดยในงานได้มีการเปิดโอกาสให้แต่ละภาคส่วนที่ได้มาร่วมงานนี้ ได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งรับฟังปัญหาในการทำงานต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเวทีนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการสร้างความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ซึ่งจะทำให้หน่วยงานรัฐมีความเข้าใจข้อจำกัดของภาคเอกชน และในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมก็รับทราบและเข้าใจการทำงานของหน่วยงานรัฐมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายในการประสานงานกันมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้การทำงานร่วมกันสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top