Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

'โหรฟองสนาน' ชี้!! หาก 'ป๋าเปรม' รับใต้โต๊ะแค่ 1% คงไม่อยู่แค่บ้านสี่เสาเทเวศน์ "ท่านสร้างบ้านพันเสายังได้'

หลังจากเมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 65) ทางสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า...

ตามที่ได้มีการพาดพิงถึง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นั้น สมาคมฯ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ในฐานะที่ พลเอกเปรม เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังนี้...

1. พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร โดยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรลงมติ ให้ท่านมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันยาวนานถึง 8 ปีเศษ และท่านได้ปฏิเสธการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยคำว่า “ผมพอแล้ว” อันถือได้ว่าเป็นอมตวาจาในสถาบันการเมืองของประเทศไทย

‘จุรินทร์’ บุกพิษณุโลก เปิดตัว 5 ผู้สมัคร ส.ส. มั่นใจ ‘ประกันรายได้’ มัดใจเกษตรกร เตรียมดันพิษณุโลกเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่าง

‘จุรินทร์’ ควง ‘จุติ-นราพัฒน์’ เปิดตัว 5 ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก สู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจ ‘ประกันรายได้’ มัดใจเกษตรกร เตรียมดันพิษณุโลกเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่าง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคเหนือ และนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 5 เขตการเลือกตั้ง ได้แก่ นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร อดีตผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยนเรศวร นายพงษ์มนู ทองหนัก รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก นางสาวมุธิตา ทองคำนุช อดีตผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ นายคณิศร มาดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระท้าว และนายวันชัย ทิมชม  สาธารณสุข 5 อำเภอ ที่ใกล้ชิดชาวพิษณุโลก และยังมีนายจุติ ที่จะลงสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ โดย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนชาวพิษณุโลกมาให้การต้อนรับ พร้อมให้กำลังใจมอบดอกไม้ คล้องพวงมาลัยให้นายจุรินทร์ ขอถ่ายรูปเซลฟี่ และอวยพรให้นายจุรินทร์เป็นนายก รัฐมนตรีสมัยหน้าดังกึกก้องทั้งห้องประชุม

โดยนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีเป็นโอกาสพิเศษที่ได้นำคณะพรรคประชาธิปัตย์มาพบชาวพิษณุโลกพร้อมกันๆ ซึ่งเราให้ความสำคัญกับพิษณุโลกเพราะ 1. พิษณุโลกคือเมืองหลวงของภาคเหนือตอนล่าง  2. ชาวพิษณุโลกกับพรรคประชาธิปัตย์ผูกพันทางการเมืองยาวนาน  3. ผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ผูกพันกับชาวพิษณุโลกตลอดมาโดยเฉพาะตั้งแต่มาร่วมรัฐบาลชุดนี้

‘ผู้สื่อข่าวทำเนียบ’ เปิดฉายารัฐบาล-รัฐมนตรีประจำปี 2565 วาทะแห่งปี “เกลียดหรือไม่เกลียดก็ช่างคุณเถอะ เพราะผมไม่รู้”

(26 ธ.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2565 ดังนี้

>> ฉายารัฐบาล : ‘หน้ากากคนดี’

เป็นอีกหนึ่งปี ที่ทุกคนยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน ภายใต้หน้ากากของรัฐบาล ที่สร้างภาพจำตลอดเวลาว่าเป็นคนดี นโยบายทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมือง และประชาชน แต่กลับเกิดข้อกังขาว่ายังเดินตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ได้หรือไม่ เช่น นโยบายกัญชา ที่อวดอ้างทำเพื่อประชาชน แต่เมื่อเกิดผลกระทบจากการใช้ผิดวัตถุประสงค์ กลายปัญหาสังคมบานปลาย แม้แต่การออกกฎหมายควบคุมการใช้ยังทำไม่ได้ สุดท้ายผลักภาระเพิ่มให้ตำรวจ เพียงเพราะต้องการเช็กลิสต์ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ นโยบายประชานิยมที่ออกแนวหาเสียง ให้ทั้งเบ็ด ทั้งปลา หรือ การประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีความคลุมเครือ ว่าประโยชน์ที่ได้นั้น เป็นของประชาชนหรือนักการเมืองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใด เมื่อออกมาในนามรัฐบาล ประชาชนจึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ว่าภายใต้หน้ากากที่ประกาศเป็นคนดีนั้น จริงหรือไม่?

>> พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม : ‘แปดเปื้อน’

ปมวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี สั่นคลอนภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ ตลอดปีที่ผ่านมา และกลายเป็นข้อครหา ถึงความชอบธรรมในการครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนาน พลเอกประยุทธ์ ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ที่ศาลมีคำสั่ง ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แม้จะเพียงแค่ 38 วัน ก็ทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในตัวของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่มักจะพูดเสมอว่าไม่ยึดติดอำนาจ ทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมือง และประชาชน ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง ยิ่งเมื่อปัญหาใต้พรมถูกขุดคุ้ยขึ้น ใกล้ตัวเกินกว่าจะปัดความเกี่ยวโยงได้ ทั้งนโยบายประชานิยม ทุนสีเทาสนับสนุนพรรคการเมือง หรือ แม้แต่นักการเมืองใกล้ตัว นายทหารใกล้ชิด ที่ได้ไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารบริษัทพลังงาน แม้พิสูจน์กันทางกฎหมายไม่ได้ แต่ก็ทำให้ถูกมองว่า ไม่ได้ใสสะอาด ผุดผ่องอีกต่อไป

>> พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี : ‘ลองนายกฯ’

แม้จะเป็นเวลาเพียง 38 วัน ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่พลเอกประวิตรก็ได้ทำอย่างสุดกำลัง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ลองเป็นนายกฯ หลายครั้งที่ตัวจริงอย่างพลเอก ประยุทธ์ ต้องไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ พี่ใหญ่ในกลุ่ม 3 ป. ในฐานะ สร.2 ก็ทำหน้าที่แทนมาตลอด แต่อาจไม่ยาวนานเช่นครั้งนี้ ซึ่งมีอำนาจเต็มc(ในขณะนั้น) หากจะยุบสภาฯ ก็สามารถทำได้

บรรดากองหนุนและกองเชียร์ ปั่นกระแสจนเคลิ้ม ถึงกับประกาศใช้ ‘ใจบรรดาลแรง’ ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ลุยงานรัว ๆ ทำเอากองเชียร์นายกฯ ตัวจริง ร้อน ๆ หนาว ๆ แต่สุดท้ายก็ได้แค่ ‘ลอง’ เท่านั้น

>> นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี : ‘เครื่องจักรซักล้าง’

ความเอกอุด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ในตำนาน ถูกใช้สนองตอบความต้องการของรัฐบาลทุกช่องทาง ทั้งพรรคหลักพรรคร่วม ไม่มีเลือกปฏิบัติ ช่วยยกภูเขาออกจากอก ลดปัญหาหนักใจ ทำหน้าที่เหมือนเครื่องจักรกล คอยซักล้างความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลให้ผ่านพ้น เรื่องไหนผ่านมือเนติบริกรคนนี้ อย่าหวังว่าจะมีใครโต้แย้งได้ เช่น ปม 8 ปีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ แม้แต่เรื่องเหมืองทองอัครา

>> นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข : ‘ภูมิใจดูด พูดแล้วดอย’

‘พูดแล้วทำ’ คือ สโกแกนพรรคภูมิใจไทย แต่ทำแล้วสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แม้จะปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด แต่กฎหมายควบคุมกลับค้างเติ่งติดดอย ไปต่อไม่ได้ เกิดเป็นปัญหาสังคมบานปลาย เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงกัญชาได้อย่างง่ายดาย เมื่อจวนตัวกลับโยนให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ หัวจะปวดกันทั้งประเทศ

ขณะที่ บทบาทพรรคร่วมรัฐบาล ถือได้ว่าเป็นเด็กดีมาโดยตลอด แต่เมื่อเสียงปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้น กลับสวมบทไดโวโชว์พลังดูด ส.ส. นักการเมือง ทั้งจากพวกเดียวกัน และต่างขั้ว ชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม โดดเด่นไม่แพ้การนำเสนอนโยบายกัญชา

>> นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ : ‘ประกันไรได้’

‘ประกันรายได้’ เป็นนโยบายหาเสียงหลักของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค แถมยังนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและกระทรวงค้าขาย ก็จัดหนักนโยบายนี้ จนแทบไม่โฟกัสงานอื่น ข้าวของขึ้นราคาไม่หยุด แต่สินค้าเกษตรกลับต้องทุ่มเงินไปประกันอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดคำถามกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลด้วยวิธีประกันรายได้ ว่าถูกทางจริงหรือ? ที่ว่าประกันนั้น ‘ประกันไรได้บ้าง’

>> นายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ : ‘ลุ่มๆ ดอนๆ’

APEC ถือเป็นงานใหญ่งานหนึ่งในรอบ 20 ปีของไทย ที่มาพร้อมโอกาสทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 นโยบายเปิดประเทศจึงเป็นความหวังของทุกคน ที่จะทำให้ประเทศพ้นกับดักต่าง ๆ แต่บทบาทในฐานะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง กลับไม่สามารถสร้างการรับรู้ หรือ ดึงดูดความสนใจของคนในประเทศได้เท่าที่ควร การเป็นเจ้าภาพ APEC จึงเหมือนรับรู้กันเฉพาะในวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องพูดถึงความสนใจจากทั่วโลกที่ดูน้อยมาก จนเกิดการเปรียบเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญ ล้มเหลวตั้งแต่ระบบลงทะเบียน ลามไปจนถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์โหมโรง ที่ไม่ลุกโชนตามความตั้งใจ แม้แต่ธงโบกสะบัดยังปักเป็นหย่อม ๆ ก่อนงานเพียงไม่กี่วัน และ มีเสียงเล่าลือกันหนาหู ว่าการทำงานในกระทรวงร่วมกับข้าราชการ ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่เปิดกว้างรับฟัง เกิดเป็นภาพการทำงานที่ล่าช้า ตกยุค ไม่ทันสมัย

>> นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน : ‘Powerblank’

‘วิกฤตพลังงาน’ เป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสสำหรับคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก หลายมาตรการที่เข็นออกมาไม่ขาดสาย นอกจากชักเนื้อรัฐบาลมาอุดหนุน ก็ยังไม่เห็นว่ามีสิ่งไหนทำได้จริง ยิ่งการล้วงเงินจากกระเป๋าเอกชนอย่างโรงกลั่นน้ำมัน โครมครามอยู่พักใหญ่ แล้วก็หายไปกับสายลม เหมือนการขายที่ดินให้ต่างชาติแลกเงินลงทุน เกิดกระแสตีกลับระเนระนาด ถอยตั้งหลักแทบไม่ทัน จึงเกิดข้อสงสัยกันว่า เป็นรัฐมนตรีพลังงาน หรือ รัฐมนตรีไม่มีพลังงานกันแน่

‘ไพศาล’ ชวนจับตาสูตรตั้งรัฐบาล 3 พรรค ‘พท. - ภท. - พปชร.’ ดัน ‘ลุงป้อม’ นายกฯ

(26 ธ.ค. 65) นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และนักกฎหมาย โพสต์เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol หัวข้อ 'นับถอยหลังการเลือกตั้ง' มีเนื้อหาดังนี้...

#นับถอยหลังการเลือกตั้ง

หลังกรณีการแถลงข่าวเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติและแคนดิเดตนายก กองเชียร์ก็ฮือฮากันใหญ่ แต่หลังจากนั้นวันเดียวก็กลายเป็นว่า “เป็นแค่เจตนารมณ์ ยังไม่ได้เข้าพรรค เพราะต้องทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี”

เรื่องนี้เป็นข้อเตือนใจว่า ความสำคัญของกฎหมายนั้นไม่ว่าใครก็มองข้ามไม่ได้เพราะอาจเหยียบเปลือกกล้วยหน้าคว่ำเสียก่อนก็ได้

แค่นี้ก็ทำให้นักการเมือง ที่จะไปอยู่ด้วยกันขาดความมั่นใจ หลายคนขอกลับพรรคเก่า หรือไม่ก็ไปอยู่พรรคใหม่ ทำให้ด่านหินที่ต้องได้ ส.ส. 25 คนจุกอกต่อไป

เวลานับถอยหลังอยู่ทุกวัน แรงกดดันให้ยุบสภาเพราะเหตุสภาล่มก็จะหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนก็จะก่นด่าเรียกร้องให้ยุบสภามากขึ้น สภาพที่บ้านเมืองไม่มีคนรับผิดชอบปัญหาต่าง ๆ ดังที่กำลังเกิดขึ้นจะทำให้สารพัดปัญหาประดังกันเข้ามา

ยิ่งล่วงเข้าเดือนมีนาคม 66 ดาวมฤตยูเดินหน้าเข้าราศีพฤษภทับเรือนเศรษฐกิจดวงเมืองปัญหาเศรษฐกิจหนักหนาจะกระหน่ำซ้ำเติมเพิ่มเข้ามาอีก ความนิยมจะตกต่ำลงไปถึงไหน อาการจึงน่าเป็นห่วงมาก

ท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ได้ชื่นชมท่านนายกว่าเป็นคนดีมีความสามารถถ้าเป็นนายกอีกสมัย 2 ปี หรือ 3 ปีหรือ 4 ปีก็ได้

ใครที่คิดจะ 'วิ่งผลัดนายก 2 ปี' คงสะดุ้งโหยง เพราะการแย้มพราย ของผู้รู้ทางกฎหมายอย่างนี้ ทำให้คิดได้ว่า ถ้าเป็นนายกอีกครั้งก็อาจแก้รัฐธรรมนูญยกเลิกมาตรา 158 ก็ได้ มิฉะนั้นจะเป็นนายก 3 ปี 4 ปีได้อย่างไร และถ้าแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จก็จะอยู่ในอำนาจชั่วนิจนิรันดร์ คนอื่นก็ต้องรอชาติหน้า!!!

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ทรงนำคณะสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ อุทิศกุศลแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง

(26 ธ.ค. 65) เพจสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โพสต์ภาพสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงนำคณะสงฆ์สวดมนต์ทำวัตรเย็น แล้วสวดพระพุทธมนต์อุทิศกุศลแก่ผู้เสียชีวิต และเจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ อำนวยสวัสดิมงคลแด่ราชนาวีไทยและราชอาณาจักรไทย เป็นกรณีพิเศษ ตามที่เกิดเหตุเรือหลวงสุโขทัยแห่งราชนาวีไทย อับปาง เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และยังสูญหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565

‘วิโรจน์’ ห่วง ข้าราชการน้ำดีถูกเล่นงาน ปมทุจริตไฟ 39.5 ล้าน จี้ กทม.ให้ความเป็นธรรม

ต่อกรณีโครงการไฟประดับลานคนเมือง 39.5 ล้านบาท ของ กทม. ที่จัดแสดงในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 58 ถึง 31 ม.ค. 59 ที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด และกล่าวหาข้าราชการ รวมข้าราชการระดับสูงของ กทม. มากถึง 10 คน อาทิ ผอ.สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ผอ.กองการท่องเที่ยว และคณะกรรมการ TOR ฯลฯ ฐานมีพฤติการณ์เข้าข่ายเอื้อเอกชนให้ได้รับงานโครงการประดับไฟลานคนเมือง กทม. หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮั้วประมูลนั่นเอง 

คดีนี้เป็นคดีที่ ป.ป.ช. มีมติยื่นฟ้องศาลเอง หลังจากที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง หลังจากที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กทม. ก็มีมติเบื้องต้นให้ไล่ออกข้าราชการถึง 4 ราย โดยปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นศาล

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ได้ติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว และแสดงความกังวลว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าราชการ ที่เป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องภาษีของประชาชน อย่างตรงไปตรงมา กำลังจะถูกตั้งคณะกรรมการสอบ หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาสั่งให้ กทม. จ่ายเงินค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ย ให้แก่ผู้รับเหมา

วิโรจน์ ได้ไล่เรียงว่า จุดเริ่มต้นของกรณีนี้ เริ่มจาก คณะกรรมการตรวจรับฯ สงสัยว่าการส่งมอบงานอาจมีความล่าช้า และไม่เป็นไปตามสัญญา และได้มีการติดตามทวงถามผู้รับเหมาเรื่อยมา ในขณะที่นิติกรก็ได้แจ้งกับคณะกรรมการตรวจรับฯ เอาไว้ด้วยว่า จะต้องดำเนินการตรวจรับงาน งวดที่ 1 ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินการเปิดไฟวันแรก คือ วันที่ 30 ธ.ค. 58 แต่ปรากฏว่าการส่งมอบงานจริงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 59 ซึ่งเป็นการส่งมอบงานที่ล่าช้า 

นอกจากนี้เอกสารประกอบการส่งมอบงาน ก็ยังขาดความครบถ้วน คณะกรรมการตรวจรับฯ จึงได้ทวงถามให้ผู้รับเหมาส่งมอบเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งกว่าจะได้รับเอกสารเพิ่มเติม ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 20 ม.ค. 59 และเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้พิจารณาเอกสารการส่งมอบงานทั้งหมดแล้ว ก็มีความเห็นว่า เอกสารการส่งมอบงานยังขาดรายละเอียดของเนื้องานที่ครบถ้วน จึงได้ทำหนังสือถึง ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ในฐานะผู้สั่งจ้าง ผ่าน ผอ.กองการท่องเที่ยว ในฐานะหัวหน้าเหน้าที่พัสดุ เพื่อสั่งการ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538 ข้อ 66 (4) วรรคสอง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ทำหนังสือรายงานให้ ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ และ ผอ.กองการท่องเที่ยว ให้รับทราบมาโดยตลอด จนในวันที่ 18 ม.ค. 60 คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ได้ทำรายงานผลการตรวจรับขึ้นอีกฉบับหนึ่ง โดยระบุชัดเจนว่า รายละเอียดการส่งมอบงานไม่ตรงตามสัญญา และไม่สามารถตรวจรับงานได้ แต่ก็ยังไม่มีการสั่งการใด ๆ ตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ข้อ 128 หรือ ข้อ 132 ไม่ว่าจะเป็นการเรียกค่าปรับ สงวนสิทธิการเรียกค่าปรับ หรือการบอกเลิกสัญญา

คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ยังไม่นิ่งนอนใจ หลังจากนั้นในวันที่ 5 เม.ย. 60 ก็ได้ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักงานกฎหมายและคดี และได้รับคำแนะนำกลับมาในวันที่ 17 พ.ค. 60 ว่า ในเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ดำเนินการตรวจรับงานแล้ว และมีความเห็นว่ารายละเอียดการส่งมอบงานของผู้รับจ้างไม่ตรงตามสัญญาจ้าง จึงเป็นหน้าที่ของผู้สั่งจ้างที่ต้องพิจารณาสั่งการตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ต่อไป 

และในวันที่ 29 พ.ค. 60 ก็ยังได้ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักการคลัง ขึ้นอีกฉบับหนึ่ง และได้รับคำแนะนำกลับมาในวันที่ 16 มิ.ย. 60 ว่า โครงการไฟประดับ นั้นเป็นการจ้างที่ต้องการผลสำเร็จของงานทั้งหมดพร้อมกัน ไม่อาจตรวจรับไว้เฉพาะส่วนที่ถูกต้อง ตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ข้อ 66 (5) ได้ และในเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้รายงานการตรวจรับมายังผู้สั่งจ้างแล้ว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้สั่งจ้าง ที่จะพิจารณาสั่งการต่อไป

เรียกได้ว่า คณะกรรมการตรวจรรับฯ ชุดนี้ ทำงานแบบรอบคอบ ตรงไปตรงมา กัดไม่ปล่อย และทำจนสุดหน้าที่แล้วจริง ๆ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ของข้าราชการน้ำดี ที่ยืนหยัดในความถูกต้อง และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างถึงที่สุด

การทำงานของคณะกรรมการตรวจรับฯ ชุดนี้ ไม่ได้ราบรื่นเลย นอกจากจะถูกเตะถ่วง โยนเรื่องไปมาแล้ว ยังถูกกดดันจากทุกช่องทาง ถูกผู้รับเหมาฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องเสียเวลาทำเอกสารชี้แจง ขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ด้วยความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ชนะคดีมาได้ทั้งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์

จุดพลิกผันของเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ กทม. จ่ายค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้รับเหมา เนื่องจากสิ่งที่คณะกรรมการตรวจรับฯ เห็นว่าไม่ถูกต้อง นั้นเป็นเรื่องของเอกสาร ไม่ใช่เนื้องานตามสัญญาจ้าง และ กทม. ก็ได้ใช้ประโยชน์จากไฟประดับของผู้รับเหมาไปแล้ว ทีนี้ล่ะครับ กระบวนการหาคนผิด ก็เลยเกิดขึ้น

วิโรจน์สงสัยว่า แทนที่รองปลัด กทม. นายเฉลิมพล โชตินุชิต จะสอบสวนว่า ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ผู้สั่งจ้าง ณ ขณะนั้น อนุญาตให้เปิดไฟประดับได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ยังตรวจรับงานไม่ผ่าน และอนุญาตให้ผู้รับเหมารื้อถอนในวันที่ 1 ก.พ. 59 ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่การตรวจรับงานยังไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมา ทำไม ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ที่มารับตำแหน่งต่อ ถึงไม่สั่งให้บอกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา ทั้ง ๆ ที่ คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ทำหน้าที่จนสุดทางแล้ว และได้ยืนยันว่า โครงการไฟประดับดังกล่าว ไม่เป็นไปตามสัญญา และไม่สามารถตรวจรับงานได้ รวมทั้งควรต้องสอบนิติกรฝ่ายการเจ้าหน้าที่ ประจำสำนักงานเลขานุการ สำนักวัฒนธรรมฯ เพิ่มเติมด้วยว่า เหตุใดจึงแนะนำให้ ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ในฐานะผู้สั่งจ้าง ณ ขณะนั้น สั่งการให้คณะกรรมการตรวจรับฯ ดำเนินการตรวจรับให้ได้ ทั้ง ๆ ที่การส่งมอบงานไม่เป็นไปตามสัญญา

แต่รองปลัด กทม. กลับสั่งให้มีการสอบคณะกรรมการตรวจรับฯ ซึ่งประเด็นนี้ วิโรจน์ตั้งประเด็น และไม่เข้าใจว่า จะสอบคณะกรรมการตรวจรับฯ ทำไม เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว และคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ก็ยืนยันชัดเจนว่า คณะกรรมการตรวจรับฯ ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต

‘เนวิน’ ยก 3 เหตุผล ‘อนุทิน’ พร้อมเป็นนายกฯ หลังผ่านบทพิสูจน์ ‘พูดแล้วทำ’ จน ปชช.ยอมรับ

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้สัมภาษณ์รายการ “ชั่วโมงข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทาง Thai PBS ถึงกรณีที่จะผลักดันนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า นายอนุทิน มีความพร้อมทุกด้าน คือ 1. การศึกษา 2. ฐานะ 3. ประสบการณ์ชีวิตในการทำธุรกิจ เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมด เขาเรียนรู้มาหมด เขาอยู่มาในทุกบริบท ฉะนั้น นายอนุทินวันนี้ กับนายอนุทิน เมื่อปี 2562 เป็นคนละคน

“ผมว่าเขามีความพร้อมในการที่จะรับผิดชอบส่วนรวม ทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าเดิม และเขาเข้าใจความรู้สึกของคนไทยในทุกระดับมากกว่าเดิม นายอนุทิน เมื่อปี 61 อาจจะเข้าใจบริบทของคนจน คนรากหญ้า คนชนบท คนต่างจังหวัดเกือบไม่เข้าใจเลย เพราะความที่เป็นเจ้าของซิโนไทยในอดีต แต่มาวันนี้บนบริบทที่ทำหน้าที่เป็นรมว.สาธารณสุข ได้ลงมาเห็นปัญหาความทุกข์ยาก เศรษฐกิจ โควิด อะไรทั้งหลายแหล่ รวมไปถึงประสบการณ์ในชีวิตเขา ผมว่าเขาพร้อมแล้ว” นายเนวิน กล่าว 

‘อนุทิน’ เปิดอาคารสถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ เผยจะช่วยปชช. เข้าถึงบริการเฉพาะด้านมากขึ้น

วันนี้เวลา 09.30 น. (26 ธ.ค. 65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอาคารสถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ ณ ห้องประชุม ชั้น 20 สถาบันโรคผิวหนัง เขตราชวิถี กรุงเทพมหานคร 

นายอนุทิน กล่าวว่า สถาบันโรคผิวหนัง สังกัดกรมการแพทย์ เป็นสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนังระดับติยภูมิ และเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยโรคผิวหนังของประเทศไทย ที่ได้รับความเชื่อมั่นและมีผู้เข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก มีแนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากไทยเป็นประเทศในเขตร้อน โรคผิวหนัง จึงเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่พบได้ แม้จะไม่ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิต แต่สร้างปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การเปิดอาคารหลังใหม่ของสถาบันโรคผิวหนังครั้งนี้ จึงช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการเฉพาะด้านมากขึ้น โดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังวิสัยทัศน์ “เป็นสถาบันโรคผิวหนังที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ”

“กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้สถานบริการในสังกัดทุกระดับพัฒนาการบริการให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อยกระดับการให้บริการช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ซึ่งสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งพัฒนาตามนโนบายเป็นอย่างดี” อนุทิน กล่าว

สำหรับสถาบันโรคผิวหนังมีความมุ่งมั่นพัฒนาสู่การเป็นสถาบันหลักในการดูแลโรคผิวหนังของประเทศ โดยมีภารกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 

1. ด้านการบริการ เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ด้านโรคผิวหนัง ให้บริการตรวจรักษาโรคผิวหนังทั่วไป และคลินิกเฉพาะทางที่สำคัญอีกหลายสาขา อาทิ คลินิกโรคสะเก็ดเงิน คลินิกอิมมูนวิทยา คลินิกหลอดเลือดดำ ศูนย์เส้นผมและเล็บ ศูนย์ชะลอวัยเป็นต้น พร้อมระบบให้คำปรึกษาทางไกลกับแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ และการตรวจรักษาทางไกลกับผู้ป่วย

รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานและสักขีพยาน MOU สปส.กับ รพ.10 แห่ง เพิ่มประสิทธิภาพผู้ประกันตนเข้าถึงการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำหัตถการนำร่องในกลุ่ม 5 โรค

(26 ธ.ค. 65) เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษาของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยมี นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งผู้บริหารสถานพยาบาลทั้ง 10 แห่ง พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมให้การต้อนรับ ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลและเข้าถึงการให้บริการรักษาทางการแพทย์ของประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบนโยบายในเรื่องการจัดการและพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์  ซึ่งสำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ประกันตนโดยมีภารกิจสำคัญในการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์พร้อมการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างทันท่วงที ในวันนี้ ตนรู้สึกยินดีที่ได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มาเป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานการทำบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ ระหว่างสำนักงานประกันสังคมกับสถานพยาบาลทั้ง 10 แห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเข้าถึงการรักษาให้กับผู้ประกันตน ด้วยการผ่าตัดหรือทำหัตถการนำร่องในกลุ่ม 5 โรค “นับเป็นของขวัญปีใหม่ชิ้นหนึ่งที่รัฐบาล และกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม มอบให้ผู้ประกันตนในกรณีเจ็บป่วยและมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำหัตถการกับโรงพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด ผมมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการทำบันทึกข้อตกลงในวันนี้ สามารถทำให้ผู้ประกันตนได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นการลดระยะเวลาการรอคอย ลดภาวะแทรกซ้อน ไม่ให้อาการของโรคมีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้ง ช่วยลดระยะเวลาในการพักฟื้น ส่งผลให้ผู้ประกันตน สามารถกลับไปทำงานได้อย่างรวดเร็ว และดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่สามารถช่วยเหลือผู้ประกันตนอย่างแท้จริง” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top