Saturday, 7 June 2025
MOU

ข่าวดี MOU สกสค.-ธอส.จัดใหญ่ ปรับลดดอกเบี้ยพัฒนาคุณภาพชีวิตครู จากร้อยละ 6-7 บาท/ปี เหลือ 1.71 บาท/ปี

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดแชมเปญใหญ่ โครงการสวัสดิการเพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากอัตราร้อยละ  6-7 บาทต่อปี เหลือเพียง 1.71 บาทต่อปี

ที่ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ในการร่วมกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหาร หรือวางแผนทางการเงินและการออม 

เพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อ เพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.กระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา และผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้หารือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จนมีความเห็นและแนวทางร่วมกันในการจัดสวัสดิการการออม สวัสดิการผู้เกษียณอายุ และแก้ไขปัญหาหนี้สินด้วยการลดดอกเบี้ยสูงจากอัตราร้อยละ  6 - 7  บาทต่อปี เหลือ 1.71 บาทต่อปี เพื่อให้ครูมีเงินได้รายเดือนเหลือมากขึ้น จนมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้มีสวัสดิการ รวมทั้งมีบริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินต่างๆ ทั้งด้านการออมและสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งผลให้สามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครูและนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า สกสค. และ ธอส. ร่วมมือกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหารหรือวางแผนทางการเงิน และการออมเพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาทางการเงินและกฎหมายแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 

ซึ่งมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอื่น และมีความประสงค์ปรับโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร และความร่วมมือในการการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อเพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย

1)โครงการโรงเรียนการเงิน เงินฝากประจำสะสมทรัพย์ 24 เดือน เพื่อส่งเสริมการออมอย่างยั่งยืน สม่ำเสมอ ในวงเงินตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 25,000 บาทต่อเดือน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.7% ต่อปี เมื่อฝากครบ 24 เดือนติดต่อกันจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1% ตั้งแต่ต้น, 

2) โครงการสวัสดิการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา Refinance In เพื่อลดค่าครองชีพจากอัตราดอกเบี้ยสูง 6 – 7 % เหลือ 1.71 % โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินอื่นมา Refinance ปรับโครงสร้างหนี้กับ ธอส. ซึ่งจะทำให้มีรายได้ต่อเดือนคงเหลือเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และ 3) โครงการสวัสดิการเกษียณสุขสำราญ Reverse Mortgage ให้ผู้เกษียณได้มีรายได้เพิ่มเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยให้ผู้เกษียณแล้วอายุระหว่าง 60 – 75 ปี ที่มีบ้านปลอดภาระจำนอง ได้เข้าโครงการกู้เงินในอัตราครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท รับเงินกู้เป็นรายเดือนโดยไม่ชำระดอกเบี้ยได้ถึงอายุ 85 ปี”

ด้าน ดร. พีระพันธ์  เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการข้างต้นจะเป็นการลดภาระและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Line OA : สกสค. 'ศูนย์ปรึกษาทางการเงิน' ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรงศึกษาธิการมีนโยบาย 'เรียนดี มีความสุข' เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถพัฒนาการศึกษาของชาติให้บรรลุเป้าหมาย  การจัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ดังนั้นการลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่าง สกสค. กับ ธอส. จัดใหญ่ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.71 บาทต่อปี จึงถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตครู และบุคลากรให้ดีขึ้น ที่จะเป็นการหนุนเสริมให้การพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอน และการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น

THE STATES TIMES ผนึกกำลัง SPUTNIK เชื่อมเครือข่ายข้อมูลข่าวสารข้ามโลก

(31 ต.ค. 67) สำนักข่าว THE STATES TIMES ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ(Memorandum of Understanding : MOU) ร่วมกับสำนักข่าว SPUTNIK ประเทศรัสเซีย 

การลงนามใน MOU ครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง 2 สำนักข่าวสามารถใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารระหว่างกันได้ เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข่าวระหว่างประเทศของทั้ง 2 สำนักข่าว

นายณัฐภูมิ รัฐชยากร กรรมการผู้จัดการ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป ได้เปิดเผยว่า ในปัจจุบันข่าวสารจากประเทศรัสเซียในประเทศไทยยังขาดความหลากหลหายในการนำเสนอ ทางสำนักข่าว The States Times หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้จะสามารถทำให้ประชาชนชาวไทยรับข่าวสารจากทางประเทศรัสเซียได้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งตนยังมีความเชื่อว่าการที่ทางสำนักข่าว SPUTNIK ได้นำเสนอข่าวสารจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้นนั้นจะช่วยสร้างความเข้าใจในประเทศไทยให้แก่ชาวรัสเซีย นำมาซึ่งความร่วมมือกันระหว่างไทยและรัสเซียในด้านต่าง ๆ ในอนาคต อาทิ การลงทุน การท่องเที่ยว 

และเพื่อให้การร่วมมือในครั้งนี้ประสบความสำเร็จทางสำนักข่าว THE STATES TIMES จึงได้เชิญ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นที่ปรึกษาในความร่วมมือครั้งนี้

ด้าน Vasily Pushkov ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK เปิดเผยว่า ปัจจุบันข่าวสารของประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ในประเทศรัสเซียมีจำนวนไม่มากนัก สวนทางกับจำนวนผู้คนที่สนใจ จากที่มีชาวรัสเซียจำนวนมากได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศไทย แม้ว่าทางสำนักข่าวของเราจะมีผู้สื่อข่าวประจำที่ประเทศไทย 1 ตำแหน่งแล้วแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ดังนั้นการลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อกระจายข่าวสารของประเทศไทยในรัสเซีย นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังสามารถสื่อสารเรื่องราวของประเทศรัสเซียได้มากยิ่งขึ้น 

ในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักข่าว THE STATES TIMES ร่วมกับสำนักข่าว SPUTNIK ในครั้งนี้ ได้มีนายพรภิชิต สมัครธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักข่าว  THE STATES TIMES และ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงร่วมเป็นพยานในการลงนามดังกล่าว

สพฐ.ตร.เตรียม MOU กับ GIT เพื่อร่วมกันพัฒนาการตรวจพิสูจน์โลหะมีค่า อัญมณี และเครื่องประดับ ลดการถูกหลอกลวง พร้อมเปิด App CSI เสริมการตรวจที่เกิดเหตุ

 (7 พ.ย. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์  ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.) เป็นประธานแถลงข่าวการหารือเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ระหว่าง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT โดยมี นายสุเมธ  ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันฯ นายทนง  ลีลาวัฒนสุข รองผู้อำนวยการ (เทคนิค) และคณะทำงาน พล.ต.ต.ทนงค์  ทองประดับเพชร ที่ปรึกษา (สบ7) สพฐ.ตร. พล.ต.ต.วาที  อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐก.) พล.ต.ต.กัลป์  ทังสุพานิช ผู้บังคับการสถาบันฝึกอบรมและวิจัยการพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สฝจ.) และข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมหารือในครั้งนี้ ณ ห้องประชุม กคม.พฐก. ชั้น 5 อาคาร 9 ชั้น กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (สวนพลู)

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ฯ กล่าวว่า ภายหลังมีผู้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเกี่ยวกับทองคำในหลายข้อหา โดยเฉพาะข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือผู้อื่น ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อได้รับความเสียหายจำนวนมาก อีกทั้งในปัจจุบันในการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความห่วงใยพี่น้องประชาชนจะถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ จึงหารือกับทาง GIT อย่างใกล้ชิด โดยในอนาคตจะจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) เพื่อดำเนินนโยบายความร่วมมือทางด้านวิจัยและพัฒนาทางด้านการตรวจพิสูจน์โลหะมีค่า อัญมณี และเครื่องประดับ เพื่อพัฒนาด้านบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ส่งเสริมการให้บริการทดสอบ วิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ สนับสนุนเครื่องมือ และร่วมการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจในการตรวจพิสูจน์โลหะมีค่า อัญมณี และเครื่องประดับ ณ ห้องปฏิบัติการชั้น 6 ของกลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์(กคม.) กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (สวนพลู) เมื่อมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ  พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการให้ตำรวจทั่วประเทศปรับการบริการและพัฒนางานสถานีตำรวจ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน อีกทั้ง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้ยกระดับการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้แก่ Application CSI ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตรวจเกิดเหตุ ใช้บันทึกข้อมูลการตรวจพิสูจน์แทนการบันทึกด้วยกระดาษ ซึ่งมีข้อดีดังนี้

1. Application CSI รองรับฟังก์ชันการพิมพ์ และฟังก์ชันการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความได้สะดวกและรวดเร็ว ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุสะดวกมากยิ่งขึ้น
2. สามารถกำหนดพิกัดที่เกิดเหตุ ผ่านละติจูดและลองจิจูด ได้อัตโนมัติ ทำได้ถูกต้องและรวดเร็ว โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมืออื่นๆประกอบ
3. มีฟังก์ชั่นการส่งและมอบวัตถุพยาน โดยกำหนดให้มีลายเซ็นดิจิตอลไว้ในระบบ ทำให้การส่งมอบวัตถุพยานได้ถูกต้องและรวดเร็ว
4. สามารถนำออกข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบ แปลงเป็นไฟล์เอกสารที่มีเนื้อหาถูกต้องแบบอัตโนมัติ ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน
5. สามารถบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์โดยอัตโนมัติทั่วประเทศ ทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถติดตามคดีสำคัญต่างๆได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุด ระบบดังกล่าวยังช่วยติดตามผลการตรวจพิสูจน์ การสังเคราะห์ผลตรวจพิสูจน์ หรือข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์ได้ทั้งประเทศ

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติฯ ทำ MOU บริษัท ไวท์พลาย ยกระดับการให้บริการสุขภาพ ตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ ในเรื่อง Smart Hospital และนโยบาย ผบ.ทร.

พลเรือตรี พัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมด้วย นายเดชา อุปถัมชาติ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ไวท์พลาย จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการจัดทำระบบ Insurance Claim ระหว่าง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ กับบริษัท ไวท์พลาย จำกัด ณ ห้องประชุม 20 ปี อาคารอำนวยการ รพ.ฯ โดยมีคณะ รอง ผอ.รพ.ฯ ทั้ง 4 ฝ่าย พร้อมทั้งบุคลากรสำนักงานสิทธิประโยชน์ และบุคลากรของ บริษัท ไวท์พลาย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อ 27 พ.ย.67 ที่ผ่านมา

การลงนามบันทึกความตกลงความร่วมมือ (MOU) ในครั้งนี้ เป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพ ตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ ในเรื่อง Smart Hospital และนโยบาย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ประจำปีงบประมาณ 2567 

ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสถานพยาบาล และผู้รับบริการ ในการประสานงานและเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ตามกรมธรรม์ประกันภัย ต่อไป

สนง.เลขาธิการวุฒิสภา ลงนาม MOU ร่วมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม มุ่งส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ

เมื่อวานนี้ (8 ม.ค.68) เวลา 09.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมหมายเลข 402-403 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการนำผลงานทางวิชาการและผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา กับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม โดยพันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ลงนามในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ และมีนายพีระพจน์ รัตนมาลี รองเลขาธิการวุฒิสภา พร้อมด้วยพันตำรวจโท มนตรี บุณยโยธิน รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ลงนามเป็นพยาน โดยมี นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ในฐานะประธานกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และผู้บริหารของสำนักงานกิจการยุติธรรม เข้าร่วมในพิธี

ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า วุฒิสภาเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติที่มุ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การที่วุฒิสภาจะได้รับการสนับสนุนผลงานวิชาการ งานวิจัย นวัตกรรม และองค์ความรู้ในรูปแบบอื่น ๆ จากสำนักงานกิจการยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานชั้นนำที่มีผลงานทางวิชาการและงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานในกระบวนการนิติบัญญัติของวุฒิสภา อีกทั้ง ยังเป็นการสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการเพื่อให้ภารกิจด้านต่าง ๆ ของสมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบ และอยู่บนพื้นฐานของหลักคิดทางวิชาการมากขึ้น

โอกาสนี้ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา และนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ในฐานะประธานกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการดำเนินงานของสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เช่น นิทรรศการการให้ความรู้กฎหมายต่าง ๆ การดำเนินงานศูนย์ปฏิบัติการฐานข้อมูลการบริหารงานยุติธรรม ฐานข้อมูลงานวิจัยในกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น

‘ภูมิธรรม’ แจงชัด ถอยทหารแค่จุดรุกล้ำตาม ‘MOU 43’ ยืนยัน ‘ปราสาทตาเมือนธม’ ยังอยู่ในความดูแลไทย วอนหยุดบิดเบือน

(6 พ.ค. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีถอยกำลังทหารจากพื้นที่รอบปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ว่าเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อตกลง MOU43 และไม่มีการเสียดินแดนตามที่มีการกล่าวอ้าง ยืนยันไม่มีการเจรจาลับ และไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

นายภูมิธรรม ระบุว่าการหารือเกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) โดยมีตัวแทนระดับสูงจากทั้งสองฝ่ายร่วมรับฟังอย่างเปิดเผย ฝ่ายไทยนำโดยตนเอง ร่วมกับปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือแบบ 1 ต่อ 1 กับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อยืนยันแนวปฏิบัติตาม MOU 43 โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่หลักแต่อย่างใด โดยเฉพาะในจุดที่ทหารไทยดูแลอยู่เดิม เช่น บริเวณปราสาทตาเมือนธม

นายภูมิธรรมย้ำว่า คำว่า “ถอยทหาร” หมายถึงการถอยจากจุดที่รุกล้ำเพิ่มเติม ไม่ใช่ถอนกำลังทั้งหมด และยังคงยืนยันอธิปไตยในพื้นที่เดิม ทหารยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด

ท้ายที่สุด นายภูมิธรรมเรียกร้องให้หยุดนำเสนอข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะอาจกระทบความเชื่อมั่นในรัฐบาลโดยไม่จำเป็น พร้อมยืนยันว่ากองทัพยังยึดมั่นในการปกป้องแผ่นดิน และไม่มีใครขายชาติอย่างที่มีบางฝ่ายพยายามกล่าวหา

กัมพูชาโต้ชัด ปัดละเมิดอธิปไตยไทย ย้ำแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี

(7 มิ.ย. 68) นายชุม สอนทรีย์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ากองกำลังชายแดนกัมพูชาได้ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย โดยยืนยันว่ากองกำลังของตนปฏิบัติหน้าที่ภายในเขตแดนของกัมพูชาเอง

โฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงว่า เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. นั้น เกิดขึ้นเมื่อกองกำลังไทยเปิดฉากยิงใส่ฐานทัพของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชโมโรโกต อำเภอโจมคสัน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาควบคุมมาโดยตลอด ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย

กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุว่า การกระทำดังกล่าวของฝ่ายไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา และฝ่าฝืนบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพตามแนวชายแดน

กัมพูชาย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเคารพอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน และตั้งใจที่จะเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนให้เป็นเขตแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา โดยยืนยันว่าพร้อมที่จะแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สำหรับการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นหน้าสถานทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568 นั้น เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย นายฮุน ซาโรอุน ได้ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตทุกคนปลอดภัยดีและยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ การประท้วงดำเนินไปอย่างสงบและเป็นระเบียบ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top