Monday, 9 June 2025
Microsoft

‘ปตท.–ซีพีเอฟ–ไทยเบฟ’ ติดโผ นายจ้างที่ดีที่สุด จากผลสำรวจโดย ‘Forbes’ ด้าน Microsoft ครองแชมป์ ประจำปี 8 สมัยรวด ด้วยคะแนนที่ท่วมท้น

(13 ต.ค. 67) จากรายงานการศึกษาของ World Economic Forum ด้านสถานการณ์การจ้างงาน ชี้ว่า โลกการทำงานยุคนี้ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและแรงกดดันจากปัญหาสังคมและเศรษฐกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่สงบทางการเมือง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ในที่ทำงาน รวมถึงองค์กรหรือธุรกิจต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นเหล่านี้ไม่น้อย 

สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในตลาดงาน ดังนั้น ตัวแรงงานหรือลูกจ้างหากต้องการให้ตนเองสามารถแข่งขันในตลาดงานต่อไปได้ จำเป็นต้องเพิ่มทักษะใหม่ๆ และปรับตัวให้เข้ากับลักษณะงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งฝั่งนายจ้างเองก็ย่อมต้องการทักษะใหม่ต่างๆ จากแรงงานเช่นกัน

ลูกจ้างของบางบริษัทอาจต้องขวนขวายหาความรู้หรือเพิ่มทักษะด้วยตนเอง แต่ลูกจ้างของบางบริษัทก็โชคดีกว่านั้น เพราะองค์กรของพวกเขาได้เข้ามาสนับสนุนและจัดให้มีพื้นที่ในการอบรม เพื่อฝึกฝนพัฒนาทักษะใหม่ให้พนักงานในองค์กรเท่าทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เครื่องมือใหม่ๆ ซึ่งทำให้พนักงานเติบโตไปพร้อมกับงานนั้นได้ อีกทั้งทำให้องค์กรรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงได้ นำไปสู่การพัฒนาองค์กรให้เติบโตก้าวหน้าต่อไป

พนักงานที่ทำงานในบริษัทที่ให้การสนับสนุนฝึกฝนทักษะดังกล่าว มักจะทำงานในบริษัทเหล่านั้นได้นานขึ้น มีความสุข และมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น แต่บางครั้งลูกจ้างที่จบใหม่ก็อาจไม่รู้ว่าบริษัทดีๆ แบบนี้คือที่ไหนบ้าง เพราะการค้นหาบริษัทเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป

ล่าสุด Forbes ได้ร่วมกับ Statista บริษัทให้บริการข้อมูลด้านสถิติระดับโลก ได้ทำให้การค้นหานั้นง่ายขึ้นด้วยการจัดอันดับนายจ้างที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 ซึ่งได้ทำต่อเนื่องติดต่อกันมาเป็นครั้งที่ 8 แล้ว

โดยการสำรวจและรวบรวมข้อมูลของปีนี้ ทีมงานวิจัยได้สำรวจพนักงานกว่า 300,000 คนในกว่า 50 ประเทศ ที่ทำงานให้กับกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน และดำเนินงานในภูมิภาคทวีปอย่างน้อย 2 แห่งจากทั้งหมด 6 แห่งของโลก (แอฟริกา เอเชีย ยุโรป ละตินอเมริกาและแคริบเบียน อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย)

โดยผู้ตอบแบบสอบถามถูกถามว่า จะแนะนำบริษัทของตนให้กับครอบครัวหรือเพื่อนหรือไม่ และให้คะแนนโดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ ได้แก่ 1.เงินเดือน 2.การพัฒนาบุคลากร และ 3.ตัวเลือกการทำงานจากระยะไกล นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังสามารถให้คะแนนบริษัทที่ตนรู้จักจากความรู้ในอุตสาหกรรมของตนเองและจากเพื่อนหรือครอบครัวที่ทำงานที่นั่นได้ด้วย

ผลการสำรวจได้รับการวิเคราะห์จากข้อมูลตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นให้ความสำคัญกับข้อมูลล่าสุดและการประเมินจากพนักงานปัจจุบันเป็นหลัก ในที่สุดก็ได้บริษัทที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ต่างๆ ออกมา ไล่เลียงบริษัทที่ได้คะแนนตรงตามเกณฑ์มากที่สุดไปหาน้อยที่สุด โดยมีทั้งหมด 850 แห่งจาก 48 ประเทศ ซึ่งพบว่าบริษัทที่ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ได้แก่ Microsoft เนื่องจากได้รับคะแนนท่วมท้นทั้งในแง่ของ การให้พนักงานทำงานอย่างยืดหยุ่นได้ พนักงานได้รับเงินเดือนที่เหมาะสม และบริษัทมีการพัฒนาบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ

ขณะที่บริษัทจากประเทศไทยก็ติดโผในรายงานนี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ติดอันดับต้นๆ ก็ตาม โดยพบว่ามี 3 บริษัทใหญ่ในไทยที่ติดอันดับในรายงานชุดนี้ ได้แก่ 

- อันดับที่ 69 คือ ปตท. (PTT)
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส ปิโตรเลียม โรงกลั่น เคมีภัณฑ์ การก่อสร้าง มีพนักงานจำนวน 3,574 คน

- อันดับ 246 คือ ซีพีเอฟ (CPF) 
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ อาหารสัตว์ ผลิตเนื้อสัตว์ อาหารสด อาหารแปรรูป อาหารพร้อมทาน เครื่องดื่มต่างๆ มีพนักงาน 135,446 คน

- อันดับ 456 คือ ไทยเบฟเวอเรจ
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับค้าปลีกและขายส่ง อาหาร เครื่องดื่มทั่วไป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีพนักงาน 60,000 คน

ทั้งนี้ สำหรับการจัดอันดับบริษัททั่วโลกที่ถือเป็น "นายจ้างที่ดีที่สุดในโลก ปี 2024" นั้น ขอยกมาเฉพาะใน 10 อันดับแรก พบว่า เป็นบริษัทชื่อดังระดับโลกที่มีสำนักงานกระจายตัวอยู่หลายภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ 

อันดับ 1 Microsoft จากสหรัฐ มีพนักงาน  221,000 คน 
อันดับ 2 Alphabet  จากสหรัฐ มีพนักงาน  182,502 คน
อันดับ 3 Samsung จากเกาหลีใต้ มีพนักงาน  270,372 คน
อันดับ 4 Adobe จากสหรัฐอเมริกา มีพนักงาน 29,000  คน
อันดับ 5 BMW Group จากเยอรมนี มีพนักงาน 154,950 คน
อันดับ 6 Delta Air Lines จากสหรัฐ มีพนักงาน  90,000 คน
อันดับ 7 AIRBUS จากเนเธอร์แลนด์ มีพนักงาน  147,893 คน
อันดับ 8 IKEA จากเนเธอร์แลนด์ มีพนักงาน  208,000 คน
อันดับ 9 Lego Group จากเดนมาร์ก มีพนักงาน  27,000 คน
อันดับ 10 IBM จากสหรัฐ มีพนักงาน 187,000 คน

หมายเหตุ: ลิสต์รายชื่อบริษัทต่างๆ ตามรายงานของ Forbes ชิ้นนี้บริษัทต่างๆ ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใดๆ เพื่อเข้าร่วมหรือได้รับเลือก 

Amazon-Microsoft-Google ทุ่มลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รับปริมาณการใช้ไฟฟ้ามหาศาลจาก Ai และ Data Center

(17 ต.ค. 67) สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ กำลังมองหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อเป็นแหล่งพลังงานที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์และธุรกิจอื่น ๆ เช่น Data Center

ไมโครซอฟท์ กูเกิล และอเมซอน ได้ทำข้อตกลงกับผู้ดำเนินการและผู้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อสนับสนุนการเติบโตของศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นแหล่งให้บริการด้านการประมวลผลแก่ธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ความต้องการนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้และบริษัทอื่น ๆ ในด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องการพลังงานมากกว่าธุรกิจเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม เช่น สื่อสังคมออนไลน์ การสตรีมวิดีโอ และการค้นหาทางเว็บ

ไมโครซอฟท์ได้ตกลงจ่ายเงินให้เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island ที่ปิดตัวลงในเพนซิลเวเนีย และในสัปดาห์นี้ อเมซอนและกูเกิล ได้ประกาศว่ากำลังมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีใหม่ของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล เทคโนโลยียังไม่ถูกนำมาใช้เชิงพาณิชย์อย่างเต็มที่ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวว่าอาจมีต้นทุนต่ำกว่าและสร้างง่ายกว่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1950

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งเคยลงทุนมากในพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังหันมาสนใจพลังงานนิวเคลียร์เนื่องจากต้องการพลังงานที่ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ไม่สามารถใช้ได้ตลอดเวลาหากไม่มีแบตเตอรี่หรือรูปแบบการจัดเก็บพลังงานอื่น ๆ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการโดยใช้พลังงานที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 แต่คำมั่นสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องการพลังงานมากขึ้น

"พวกเขามีความปรารถนาที่จะปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบที่ยั่งยืน และในขณะนี้ คำตอบที่ดีที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์" Aneesh Prabhu ผู้จัดการทั่วไปของ S&P Global Ratings กล่าว

เมื่อวันจันทร์ Google ประกาศว่าได้ตกลงซื้อพลังงานนิวเคลียร์จากเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลที่กำลังพัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Kairos Power และคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในปี 2030 จากนั้นในวันพุธ อเมซอนได้ประกาศว่าจะลงทุนในการพัฒนาเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลโดยบริษัทสตาร์ทอัพอีกแห่งหนึ่ง คือ X-Energy ข้อตกลงของไมโครซอฟท์กับ Constellation Energy เพื่อฟื้นฟูเตาปฏิกรณ์ที่ Three Mile Island ได้รับการประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว

นาย Prabhu กล่าวว่าเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลอาจมีค่าใช้จ่ายในการสร้างประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และอาจเป็นไปได้ในอนาคตที่จะวางเตาปฏิกรณ์เหล่านี้ไว้ใกล้กับศูนย์ข้อมูล

บริษัทเทคโนโลยีไม่ใช่บริษัทเดียวที่สนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งลงนามในกฎหมายที่ผ่านโดยเสียงข้างมากทั้งสองพรรคในรัฐสภา ซึ่งผู้เขียนกฎหมายระบุว่าจะช่วยเร่งการพัฒนาโครงการพลังงานนิวเคลียร์ใหม่ๆ

ฝ่ายบริหารของไบเดนมองว่าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งผลิตไฟฟ้าได้ประมาณร้อยละ 20 ของประเทศในปัจจุบัน มีความสำคัญต่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากอดีตที่พรรคเดโมแครตจำนวนมากคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ

“การฟื้นฟูภาคส่วนนิวเคลียร์ของอเมริกาเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มพลังงานปลอดคาร์บอนให้กับโครงข่ายและตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจที่เติบโตของเรา ไม่ว่าจะเป็น AI และศูนย์ข้อมูล การผลิต และการดูแลสุขภาพ” เจนนิเฟอร์ เอ็ม. แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวในแถลงการณ์

การสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจช่วยฟื้นฟูแหล่งพลังงานที่ประสบปัญหาได้ ด้วยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ 94 แห่ง สหรัฐอเมริกามีหน่วยปฏิบัติการมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีการสร้างเพียงสองหน่วยในสหรัฐฯ หน่วยปฏิบัติการทั้งสองหน่วยสร้างขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์วอกเทิลในเวย์นส์โบโร รัฐจอร์เจีย แต่ใช้งบประมาณเกินหลายหมื่นล้านดอลลาร์และล่าช้าไปหลายปี

หน่วยทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของ "ยุคฟื้นฟูนิวเคลียร์" ที่หลายคนรอคอย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีเครื่องปฏิกรณ์ใหม่ประมาณสองโหล แต่ความทะเยอทะยานเหล่านั้นล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่เนื่องมาจากปัญหาของ Vogtle และโครงการพลังงานนิวเคลียร์ที่ล้มเหลวในเซาท์แคโรไลนา

ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกล่าวว่าครั้งนี้จะแตกต่างออกไป และบางคนก็เสี่ยงโชคส่วนตัวกับความเชื่อดังกล่าว Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ได้ลงทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า TerraPower ซึ่งกำลังดำเนินการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กร่วมกับ PacifiCorp บริษัทสาธารณูปโภคของ Warren Buffett

แนวคิดคือ ส่วนประกอบของแต่ละหน่วยอาจมีขนาดเล็กพอที่จะผลิตเป็นจำนวนมากบนสายการประกอบ ทำให้มีราคาถูกลง โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งอาจเริ่มต้นด้วยเครื่องปฏิกรณ์หนึ่งหรือสองเครื่อง จากนั้นจึงค่อยเพิ่มเครื่องปฏิกรณ์เข้าไปอีกในอนาคต

“กุญแจสำคัญของพลังงานนิวเคลียร์คือคุณต้องเลือกบางอย่างและสร้างมันขึ้นมาจำนวนมากเพื่อให้มีราคาถูก” ริช พาวเวลล์ หัวหน้าสมาคมผู้ซื้อพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่มีสมาชิกเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กล่าว

แต่บรรดานักวิจารณ์พลังงานนิวเคลียร์ยังคงไม่เชื่อ พวกเขาโต้แย้งว่าแม้ว่าข้อเสนอจากบริษัทสาธารณูปโภคและบริษัทเทคโนโลยีอาจฟังดูน่าสนใจ แต่ข้อเสนอเหล่านั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาพลังงานนิวเคลียร์ที่มีมายาวนาน ปัญหาเหล่านี้รวมถึงต้นทุนที่สูงของเตาปฏิกรณ์ใหม่ ความล่าช้าในการก่อสร้าง และไม่มีสถานที่จัดเก็บถาวรสำหรับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว

“ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาพยายามสร้างเตาปฏิกรณ์พลังงาน 250 เครื่อง” อาร์นี่ กันเดอร์เซน หัวหน้าวิศวกรของ Fairewinds Energy Education ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ กล่าว “มากกว่าครึ่งหนึ่งถูกยกเลิกก่อนที่จะผลิตไฟฟ้าได้ เตาปฏิกรณ์ที่เหลือไม่มีเครื่องใดเลยที่สร้างเสร็จทันเวลาและไม่เกินงบประมาณ”

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและพลังงานจำนวนมากกล่าวว่าพลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็น เนื่องจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ ไม่น่าเชื่อถือเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น

การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากบุคคลทั่วไปและธุรกิจต่างหันมาใช้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ ปั๊มความร้อน และเครื่องปรับอากาศ ปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเร่งการเติบโตดังกล่าว

แม้ว่าศูนย์ข้อมูลจะมีสัดส่วนการใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยทั่วโลก แต่สัดส่วนการใช้พลังงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมักกระจุกตัวอยู่ในบางภูมิภาค เช่น เวอร์จิเนียตอนเหนือ ซึ่งอาจทำให้ระบบสายส่งไฟฟ้าในพื้นที่เกิดความเครียดได้

ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าในการเปิดเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ และที่สำคัญที่สุดคือทำให้เย็นลง พลังงานมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับศูนย์ข้อมูลจนอุตสาหกรรมพูดถึงขนาดของอาคารโดยไม่ได้พิจารณาจากขนาดพื้นที่ แต่พิจารณาจากปริมาณเมกะวัตต์ที่ได้รับจากสาธารณูปโภค

ในศูนย์ข้อมูลทั่วไป เซิร์ฟเวอร์ 1 ชุดในศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานประมาณ 5 ถึง 10 กิโลวัตต์ แต่เซิร์เวอร์ที่เต็มไปด้วยชิปคอมพิวเตอร์ A.I. ขั้นสูงอาจต้องใช้พลังงานมากกว่า 100 กิโลวัตต์ Raul Martynek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ DataBank ซึ่งเป็นบริษัทศูนย์ข้อมูล กล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า “จากมุมมองด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ต้องใช้พลังงานมากกว่าถึงหลายเท่า” เขากล่าว

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้เพิ่มการใช้จ่ายในระดับที่น่าทึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพื่อตอบสนองความต้องการและศักยภาพที่พวกเขาเห็นในด้าน A.I. บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่ง เช่น Alphabet, Microsoft และ Amazon ใช้จ่ายเงินด้านทุนรวมกัน 59,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่แล้วเพียงไตรมาสเดียว เพิ่มขึ้น 63 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน และพวกเขายังส่งสัญญาณไปยังนักลงทุนว่าพวกเขาวางแผนที่จะใช้จ่ายต่อไป

ในปีนี้ Amazon ใช้จ่ายเงิน 650 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อศูนย์ข้อมูลที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งจะใช้พลังงานโดยตรงจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีอยู่แล้วในเพนซิลเวเนีย นอกเหนือจากข้อตกลงที่ Three Mile Island แล้ว Microsoft ยังตกลงที่จะซื้อพลังงานจาก Helion Energy ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพในพื้นที่ซีแอตเทิลที่มุ่งสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชันแห่งแรกของโลกภายในปี 2028

‘Wicrosoft’ บริษัทร่วมทุน ‘Microsoft’ ปลดพนักงานในจีน 2,000 คน สะท้อนความรุนแรง!! ‘จีน-สหรัฐฯ’ ที่สั่นสะเทือน วงการไอที

เมื่อวันที่ (7 เม.ย.68) ที่ผ่านมา มีภาพหน้าจอมือถือที่เป็นอีเมลภายในของบริษัทเวยช่วงหร่วนเจี้ยน (Wicresoft,微创软件) บริษัทร่วมทุนกับไมโครซอฟท์ (Wicrosoft) หลุดออกมาทั่วโซเชียล โดยในอีเมลระบุว่า “ไมโครซอฟท์จะปรับแผนกลยุทธ์ทั่วโลก และจะยุติการดำเนินงานในจีนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2025” ซึ่งหมายความว่าโครงการที่เกี่ยวข้องของไมโครซอฟท์จะถูกยุติลงพร้อมกัน แม้ว่าอีเมลดังกล่าวจะไม่ใช่ประกาศอย่างเป็นทางการจากไมโครซอฟท์ แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการไอทีในจีน

บริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 เป็นบริษัทร่วมทุนแห่งแรกที่ไมโครซอฟท์ ลงทุนในจีน ปัจจุบันประธานบริษัทคือถังจวิ้น ที่เคยดำรงตำแหน่งประธานไมโครซอฟต์จีน ซึ่งบริษัทฯ ถูกมองว่าเป็นบริษัทเอาต์ซอร์ส หรือ องค์กรภายนอกหลักของไมโครซอฟท์ในจีน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ และมีศูนย์ให้บริการ 36 แห่งทั่วโลก ครอบคลุมทั้งจีน สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 2,500 ราย และมีพนักงานกว่า 10,000 คน

ช่วงบ่ายของวันที่ 7 เม.ย. สื่อจีนรายงานว่าพนักงานหลายรายกล่าวว่าการเลิกจ้างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานในสำนักงานเซี่ยงไฮ้และอู๋ซีราว 2,000 คน พนักงานบางคนกล่าวว่าตอนเช้ายังสแกนบัตรเข้างานอยู่เลย ตอนเที่ยงก็โดนเลิกจ้างแล้ว ขณะที่บางคนบอกว่าไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างกะทันหัน และมีพนักงานจำนวนมากยกกล่องเอกสารออกมาจากบริษัทฯ

การเลิกจ้างในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคำสั่งผู้บริหารหมายเลข 14117 ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ “ประเทศที่ถูกจับตามอง” เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนของชาวอเมริกัน ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมด้านกฎระเบียบข้อมูลในระดับโลก หลายคนจึงสงสัยว่าบริการสนับสนุนด้านเทคนิคของสินค้าไมโครซอฟท์จะยังคงให้บริการต่ออย่างไร 

พนักงานยกกล่องออกจากบริษัทฯ ส่วนใหญ่ได้รับค่าชดเชยตามสูตร N+1

สื่อจีนรายงานว่ามีพนักงานจำนวนมากทยอยยกกล่องเอกสารออกจากอาคาร และในจำนวนนี้มีพนักงานชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย ตรงข้ามอาคารคือสำนักงานของไมโครซอฟต์จีน สาขาหมิ่นซิ๋ง พนักงานไมโครซอฟท์คนหนึ่งยังเดินข้ามถนนมาดูสถานการณ์ พร้อมบอกว่าขณะนี้ภายในสำนักงานไมโครซอฟท์ยังไม่มีข่าวการเลิกจ้างลักษณะเดียวกันนี้

พนักงานนามสมมุติ 'หลี่เต๋อ' เปิดเผยว่าเขาเพิ่งสแกนบัตรเข้าออฟฟิศในตอนเช้า แต่กลับได้รับแจ้งเรื่องการเลิกจ้างทันที โดยทีมงานสนับสนุนด้านเทคนิคของไมโครซอฟท์ที่เขาอยู่มีพนักงานหลายร้อยคน ซึ่งเกือบทั้งหมดถูกเลิกจ้าง อีเมลภายในระบุว่าบริษัทจะจัดทำแผนการเยียวยาและเสนอการโยกย้ายไปทำงานในต่างประเทศให้พนักงานในสายงานเดิมของไมโครซอฟท์ก่อนเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ตาม พนักงานเผยว่าขั้นตอนภายในสับสนวุ่นวาย ส่วนใหญ่ได้รับค่าชดเชยตามสูตร “N+1” เท่านั้น และมีเพียงส่วนน้อยที่อาจได้ย้ายไปต่างประเทศ

ไมโครซอฟท์จะยุติธุรกิจในจีนหรือไม่

ข่าวลือที่ว่า "ไมโครซอฟท์จะยุติการดำเนินงานในจีนตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2025" ทางไมโครซอฟท์ได้ออกมาปฏิเสธและชี้แจงว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง พร้อมระบุว่ากิจการของ Wicresoft ควรให้ทางบริษัทเป็นผู้ชี้แจงโดยตรง 

หลิวหรุน อดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์ ออกมายืนยันว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้จะยุติการดำเนินงานหรือหยุดโครงการเอาต์ซอร์สในจีน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการย้ายงานเอาต์ซอร์สที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ใช้ในต่างประเทศไปยังภูมิภาคอื่น อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังไมโครซอฟท์ได้ปรับลดขนาดธุรกิจในจีนหลายครั้ง สะท้อนถึงการปรับยุทธศาสตร์ในภูมิภาค

แม้ไมโครซอฟท์จะปฏิเสธการเลิกจ้างครั้งใหญ่ แต่การที่ทีมสนับสนุนของ Wicresoft ซึ่งมีพนักงานเกือบ 2,000 คนถูกเลิกจ้าง ก็ทำให้ผู้ใช้งานหลายฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ Wicresoft ถือเป็นพันธมิตรเอาต์ซอร์สรายใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และรับผิดชอบงานสนับสนุนด้านเทคนิคทั้งก่อนและหลังการขาย 

พนักงานกังวลหางานใหม่ไม่ทัน

ในมุมมองของจ้าวหู ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทไมโครซอฟท์ในจีน กล่าวว่าแม้ว่าการเลิกจ้างครั้งนี้ดูเหมือนเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนด้านธุรกิจระหว่างไมโครซอฟท์กับบริษัทเอาต์ซอร์ส แต่ในความเป็นจริงแล้วสะท้อนถึงแนวโน้มเชิงลึกยิ่งกว่า นั่นคือการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรง และการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวดขึ้น 

ทั้งยังส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติเริ่มทบทวนกลยุทธ์การจ้างงานและกลไกการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านข้อมูลในจีน การเลิกจ้างพนักงานเกือบ 2,000 คนในครั้งเดียวถือว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยในแวดวงอุตสาหกรรม และทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจลุกลามไปถึงพนักงานประจำของไมโครซอฟท์ หรือแม้แต่กระทบต่อแนวทางด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัทต่างชาติในจีนโดยรวม

สำหรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ความท้าทายที่ต้องเผชิญคือ ตลาดแรงงานจีนในระยะสั้นไม่สามารถรองรับบุคลากรสายสนับสนุนด้านเทคนิคจำนวนมากเช่นนี้ได้ จ้าวหูกล่าวว่านี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนเส้นทางอาชีพ เสริมทักษะเชิงลึก และเพิ่มความยืดหยุ่นทั้งในด้านเทคโนโลยีและพื้นที่การทำงาน

Microsoft รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สุดแกร่ง กำไรโต 18% จากปีที่แล้ว…หลังหนุนด้วยเทคโนโลยีคลาวด์และ AI

(2 พ.ค. 68) ไมโครซอฟต์ (Microsoft) เผยผลประกอบการไตรมาสสามของปีงบการเงิน 2025 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม มีรายได้รวมอยู่ที่ 70.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

กำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวแตะ 25.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.6 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18% ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 3.46 ดอลลาร์ และรายได้จากการดำเนินงานรวม 32 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16%

รายได้หลักยังมาจากกลุ่มธุรกิจ Productivity and Business Processes ที่ทำได้ 29.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10%, คลาวด์อัจฉริยะ (Intelligent Cloud) 26.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21% และกลุ่ม More Personal Computing ที่ 13.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6%

บริษัทระบุว่าได้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ถือหุ้นในรูปแบบการซื้อคืนหุ้นและเงินปันผลรวม 9.7 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ และย้ำว่าการเติบโตของธุรกิจคลาวด์และ AI เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการขยายตัวทางรายได้และประสิทธิภาพขององค์กร

สำหรับไมโครซอฟต์คลาวด์เพียงอย่างเดียวสร้างรายได้สูงถึง 42.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน ตอกย้ำบทบาทของเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่อย่างชัดเจน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top