Monday, 9 June 2025
Lite

'ก๊อต จิรายุ' จอดรถช่วยแมวตัวจิ๋วกลางถนน ก่อนอุ้มกลับบ้าน – คาดตกเป็นทาสแมวเรียบร้อย

(5 ต.ค.67) เป็นคลิปที่ใครเห็นแล้วก็ต้องใจฟูไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะคนรักแมว เมื่อนักแสดงดัง 'ก๊อต จิรายุ ตันตระกู,' ได้โพสต์คลิปที่เจ้าตัวช่วยเหลือ 'แมวจร' กลางถนน ก่อนจะพากลับบ้านป้อนอาหาร – อาบน้ำ และเลี้ยงดูอย่างดี 

โดย 'ก๊อต จิรายุ'ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว ระบุแคปชัน "เป็นคนเฉยๆกับแมว จนกระทั่ง…" ทำเอาชาวเน็ตแห่เข้าไปคอมเมนต์สนั่น คาดว่าตอนนี้ 'ก๊อต จิรายุ' ได้ตกเป็นทาสแมวเต็มตัวเรียบร้อย

‘ปราชญ์ สามสี’ วิเคราะห์ Gen Z ชี้มั่นใจในตัวเองจนล้นเกิน ไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริง ขาดภูมิคุ้มกันรับมือกับความล้มเหลว

(6 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ปราชญ์ สามสี’ ได้ทำการวิเคราะห์ลักษณะนิสัย และแนวทางการใช้ชีวิตของ Gen Z ว่า 

Gen Z: The Lost Generation

ในยุคที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน Gen Z เติบโตขึ้นมาเป็นเจเนอเรชันที่เชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส และมีความสามารถในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาหลงทางในโลกแห่งความเป็นจริง

Gen Z มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่บางครั้งความเชื่อมั่นนี้ก็กลายเป็นดาบสองคม พวกเขาเห็นความสามารถของตัวเองเหมือนมองในกระจก มองเห็นความเป็นตัวตนที่สะท้อนกลับมาหาตนเอง แต่ละเลยความจริงที่โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนและอุปสรรค เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความล้มเหลวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การขาดการเตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวนี้ทำให้พวกเขาดูเหมือนไม่มีมาตรการรับมืออย่างเพียงพอ

ในบทความนี้ เราจะสำรวจลึกลงไปในพฤติกรรมและลักษณะเฉพาะของ Gen Z เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาเป็น "เจนที่ล้มเหลว" จริงหรือเป็นเพียงกลุ่มคนที่ยังต้องการเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่นี้ ที่ไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเขาเคยเชื่อ

>>>ลักษณะเฉพาะของเด็ก Gen Z ที่สะท้อนแนวคิดและวิถีชีวิต

1. ปฏิเสธการวัดผลด้วยเกรด
เด็ก Gen Z ไม่ต้องการระบบการวัดผลด้วยเกรด พวกเขาเชื่อว่าการเรียนรู้ควรเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ ความรู้ และความเข้าใจมากกว่าการประเมินผลด้วยตัวเลขหรือการแบ่งแยกด้วยเกรด

แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการกดดัน แต่การปฏิเสธการวัดผลอาจทำให้ขาดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินความสามารถ ทำให้ยากต่อการพัฒนาตนเองหรือการเตรียมตัวสำหรับการทำงานในโลกความเป็นจริง ที่ยังคงใช้การประเมินผลงานเป็นตัววัดความสามารถ

2. เรียนเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจ
พวกเขามักเลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่ตรงกับความสนใจของตนเอง และหลีกเลี่ยงการเรียนในวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา การเรียนรู้แบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาความรู้ในด้านที่ตนถนัด

อย่างไรก็ตาม การมุ่งเรียนเฉพาะสิ่งที่สนใจอาจจำกัดความรู้รอบด้าน ทำให้ขาดทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหรือในสายงานที่ไม่ได้ตรงกับความชอบทั้งหมด นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขาอาจขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการความรู้ที่หลากหลาย

3. ไม่ชอบการแข่งขันและเน้นความเท่าเทียม
Gen Z ไม่ชอบการแข่งขันที่ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ พวกเขาเน้นให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น ในการแข่งขันวิ่งมาราธอน พวกเขาต้องการให้ทุกคนได้รับเหรียญรางวัลไม่ว่าจะเข้าเส้นชัยที่อันดับใดก็ตาม

การไม่ชอบการแข่งขันอาจลดทอนแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง เพราะการไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะอาจทำให้ผู้คนขาดความทะเยอทะยานและการฝึกความอดทนเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การลดทอนคุณค่าของความสำเร็จที่แท้จริง

4. สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ
เด็ก Gen Z เชื่อมั่นในความเท่าเทียมทางเพศ และเรียกร้องให้ทุกเพศมีสิทธิ์และเสรีภาพในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตของตนเอง พวกเขาเห็นความสำคัญของการมีห้องน้ำแยกตามเพศทางเลือก เพื่อให้ทุกเพศมีความสะดวกและสบายใจในการใช้ชีวิต

แม้การสนับสนุนความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเน้นย้ำมากเกินไปในบางกรณีอาจสร้างความซับซ้อนและปัญหาในการจัดการกับความหลากหลายที่มากเกินความจำเป็นในสังคม เช่นงานเอกสารเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลประชากรเกิดความซับซ้อน

5. ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองแม้ว่ามันจะไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
เด็ก Gen Z มองว่าทุกการกระทำมีเหตุผลเบื้องหลังเสมอ และไม่มีการกระทำใดที่ถือว่าผิดหากสามารถอธิบายเหตุผลได้ แม้ว่าเหตุผลนั้นอาจไม่ตรงกับค่านิยมหลักของสังคมก็ตาม พวกเขาเชื่อในความหลากหลายทางความคิดและให้ความสำคัญกับการเข้าใจมุมมองของผู้อื่นมากกว่าการตัดสินแบบเด็ดขาด

การที่เด็ก Gen Z เชื่อว่าทุกการกระทำมีเหตุผลที่อธิบายได้ อาจทำให้พวกเขาหลุดจากการรับผิดชอบในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่อแก้ตัวหรือหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ขาดการเรียนรู้จากความผิดพลาดและการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

6.Gen Z มักไม่นิยมการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ โดยเชื่อถือในภูมิปัญญาหรือประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนเป็นข้อมูลตกสมัย

เนื่องด้วยเด็ก Gen Z เกิดมาในยุคที่เรามีเทคโนโลยีข้อมูลสนับสนุนต่างๆเข้าถึงง่าย และ พวกเขาจึงชื่นชอบการหาข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งแสดงถึงความเป็นอิสระและความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง

อย่างไรก็ตามการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้ใหญ่ อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ไม่สามารถหาได้จากการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว เพราะอินเตอร์เน็ตไม่ได้มีข้อมูลที่รอบด้านเท่าประสบการณ์ของผู้ใหญ่

จากการศึกษาพฤติกรรมทั้งด้านข้อดีและข้อเสียของ Gen Z จะเห็นได้ว่ามีลักษณะเฉพาะที่ทำให้พวกเขาอาจไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในลักษณะเฉพาะนั้นคือการมองเห็นตัวเองผ่านกระจกเสมือนว่าโลกภายนอกสะท้อนแต่ความสามารถของตนเอง พวกเขามักให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นในตัวเองและข้อมูลที่ตนเองหามาได้ มากกว่าการรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้อื่น

การมองโลกผ่านมุมมองที่สะท้อนความสำเร็จของตัวเองทำให้พวกเขาอาจมองข้ามความเป็นจริงของโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความยากลำบาก เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พวกเขาอาจขาดการเตรียมตัวหรือมาตรการรองรับการล้มเหลวนั้น เพราะพวกเขาไม่เคยเรียนรู้จากคำเตือนหรือประสบการณ์ของผู้อื่นมาก่อน

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเผชิญความจริงของโลก ความล้มเหลวอาจเป็นบทเรียนที่ยากลำบาก และหากพวกเขาไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือแผนรองรับความล้มเหลวนี้ อาจทำให้เกิดความสับสนและขาดการปรับตัวในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

>>>สภาพการเรียนรู้ของเด็ก Gen Z และผลกระทบต่อการจ้างงานอย่างไร?
การที่พฤติกรรมของ เด็ก Gen Z ที่มักซึมซับเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจและละเลยสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจ ส่งผลให้พวกเขามีลักษณะการเรียนรู้ที่ขาดๆ เกินๆ ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อความสามารถในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าพวกเขาอาจมีความเชี่ยวชาญในบางด้านอย่างลึกซึ้ง แต่กลับขาดความรู้รอบด้าน ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานเป็นทีม

นอกจากนี้ การขาดทักษะในการสื่อสารกับกลุ่มที่มีความคิดและความสนใจต่างกัน และการขาดความอดทนต่อการเผชิญกับความท้าทาย ทำให้พวกเขาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ความเป็นจริงแล้วโลกใบนี้มันอยู่ยากกว่าที่คิด เด็ก GenZ จะเอาตัวไม่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่สูง จะไม่สามารถทนได้กับความผิดหวัง จะจะอยู่ได้ยากในสภาพสังคมโลกที่เผชิญกับภัยพิบัติต่างๆที่ไม่สามารถคาดคะเนได้

ด้วยเหตุนี้ สภาพการเรียนรู้ที่ไม่สมดุลและขาดการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกด้านของ Gen Z จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการจ้างงานมากเท่าที่ควรในตลาดแรงงานปัจจุบัน ซึ่งต้องการบุคลากรที่มีความยืดหยุ่น มีทักษะการทำงานร่วมกัน และสามารถเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

>>>แล้วคน Gen Zจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z คือการมีความเป็นตัวเองสูง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ส่งผลต่อการเลือกอาชีพและการดำเนินชีวิต พวกเขาเน้นไปที่การทำสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสายงานศิลปะ การออกแบบ หรืออาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวนำ ซึ่งอาชีพที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาจึงมักจะเป็นอาชีพที่สามารถเน้นความสนใจเฉพาะตัว เช่น การเป็นผู้ประกอบการ นักออกแบบ หรือทำการตลาดออนไลน์ โดยสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาเอง

การที่พวกเขามีอิสระในการตัดสินใจและสร้างสิ่งใหม่ๆ ตามความสนใจของตัวเอง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านค้าหรือสร้างธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง พวกเขาก็สามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องรอคำแนะนำจากคนอื่น หากล้มก็ล้มด้วยตัวเอง แต่ด้วยความที่ขาดประสบการณ์และการวางแผนในระยะยาว โอกาสที่จะเสี่ยงล้มเหลวก็สูงตามไปด้วย เพราะพวกเขามักไม่ค่อยยอมรับฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่หรือผู้มีประสบการณ์มาก่อน

ดังนั้น แม้ว่าความเป็นตัวเองจะทำให้เด็กในกลุ่มนี้มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าลงมือทำ แต่การขาดประสบการณ์และการเตรียมตัวรับมือกับความล้มเหลวอาจทำให้เส้นทางการเติบโตของพวกเขามีความเสี่ยงมากขึ้น การหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นตัวเองกับการรับฟังคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงในอนาคต

‘แอนนี่ บรู๊ค’ เผยจังหวะประทับใจระหว่างแม่กับลูก หลัง ‘น้องฑีฆายุ’ ขอบคุณที่ให้ถามทุกครั้งที่ลงรูป

(8 ต.ค. 67) ‘แอนนี่ บรู๊ค’ หรือ ‘รุ่งนภา แก้วไทรหาญ’ นักแสดง นักร้อง นางแบบลูกครึ่งไทย-สวิสเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่ความประทับใจที่มีต่อ ‘น้องฑีฆายุ’ ลูกชายผ่านทางเฟซบุ๊กว่า 

ผมขอบคุณแม่ที่ให้เกียรติผมถามผมทุกครั้งในการลงรูปของผม แม่เลิกถ่ายรูปเลิกถ่ายวิดีโอที่ผมไม่สะดวกใจเพื่อเอาไปลงสาธารณะหรือทำ content ผมรู้สึกตัวเองมีค่ามาก ขอบคุณอิสระที่แม่มอบให้ผม

ผมดู YouTube ช่องนึงตั้งแต่ผมเล็กๆอายุเท่าเขาจนวันนี้เด็กคนนั้นก็โตแล้วอายุเท่าผม ผมเห็นสายตาเขาแล้วผมเชื่อว่าเขาอยากออกจาก content ของพ่อแม่มากแต่ทำไม่ได้  
ขอบคุณนะครับแม่ .....

เมื่อคืนเขาน่าจะคิดอะไรของเขาเขาก็เลยมาพูดกับเราแบบนี้เราก็ตอบยินดีเพราะเราเข้าใจ เมื่อถึงเวลาที่ลูกโตแล้วเราก็ต้องคุยกัน ไม่ใช้อำนาจความเป็นพ่อแม่ทำอะไรตามใจเรา 

เพราะเชื่อเสมอทุกอย่างเราคุยกับลูกได้

10 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันสุขภาพจิตโลก World Mental Health Day’ ร่วมตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิต

วันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) เพื่อให้ผู้คนและสังคมได้เห็นความสำคัญของสุขภาพจิต และเพื่อการป้องกันและบำบัดรักษาผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตใจ รวมไปถึงการส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตที่ดี

ปัญหาสุขภาพจิต ครอบคลุมหลากหลายปัญหา ตั้งแต่ ภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล ไปจนถึง โรคจิตเภทหรือโรคอารมณ์สองขั้ว

โดยสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งตามสถิติแล้วในช่วงชีวิตหนึ่ง 1 ใน 4 คนจะประสบกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง 

ซึ่งถึงแม้ตามสถิตินั้น จะเปิดเผยว่า คนส่วนใหญ่มักประสบกับปัญหาเหล่านี้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ปัญหาสุขภาพจิตนี้ ถือเป็นปัญหาที่ถูกละเลยมากที่สุดในโลกก็ว่าได้

ดังนั้น ในปี 2535 องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้วันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันสุขภาพจิตโลก” หรือ World Mental Health Day โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้คนทั่วโลก ตระหนักรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับปัญหานี้มากยิ่งขึ้นนั้นเอง

11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ‘กบฏบวรเดช’ การก่อกบฏครั้งแรกของชาติไทย ศึกชิงอำนาจ ‘ขุนนางเก่าฝ่ายอนุรักษ์ฯ กับ คณะราษฎร’

เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2476 ถือเป็นการก่อกบฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างขุนนางเก่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายคณะราษฎรผู้ทำการอภิวัตน์การปกครองในปี 2475

โดยคณะทหารในนาม “คณะกู้บ้านกู้เมือง” นำโดย “พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช” อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม “พลตรี พระยาจินดาจักรรัตน์ (เจิม อาวุธ)” “พลตรี พระยาทรงอักษร (ชวน ลิขิกร)” และ “พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)” ได้นำกองกำลังทหารหัวเมืองจากนครราชสีมา สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา บุกเข้ายึดดอนเมืองและพื้นที่ทางด้านเหนือของพระนคร โดยตั้งกองอำนวยการใหญ่อยู่ที่สโมสรทหารอากาศ กรมอากาศยาน ดอนเมือง ระหว่างวันที่ 11 - 25 ตุลาคม 2476

แล้วยื่นหนังสือเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐบาลลาออก โดยอ้างเหตุผลว่า คณะรัฐมนตรีปล่อยให้มีการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่พอใจที่ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)” ซึ่งคณะผู้ก่อการมองว่ามีความคิดแบบคอมมิวนิสต์ กลับมาร่วมคณะรัฐบาล

“พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตอบปฏิเสธและส่งกำลังกองผสมนำโดย “หลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป.พิบูลสงคราม)” เข้าปราบปรามจนได้ชัยชนะในวันที่ 25 ตุลาคม 2476

จากนั้น “พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช” ได้เสด็จลี้ภัยการเมืองไปยังอินโดจีนของฝรั่งเศส ต่อมารัฐบาลได้ก่อสร้าง “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” (คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ “อนุสาวรีย์หลักสี่”) ขึ้นที่บริเวณหลักสี่ เขตบางเขน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ปราบกบฏในครั้งนี้

12 ตุลาคม พ.ศ. 2448 ร.5 ทรงประกาศรวมหอพระสมุด พร้อมจัดตั้ง "หอสมุดสำหรับพระนคร" ต้นกำเนิดหอสมุดแห่งชาติ

12 ตุลาคม พ.ศ. 2448 ในหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศรวมกิจการหอพระสมุดสามแห่ง คือ หอพระมณเฑียรธรรม หอพระสมุดวชิรญาณและหอพุทธศาสนสังคหะ จัดตั้งเป็น "หอสมุดสำหรับพระนคร" พระราชทานให้ปวงชนชาวไทยมีแหล่งศึกษาหาความรู้ ทำให้หอพระสมุดที่เดิมเป็นประโยชน์เฉพาะเจ้านายขุนนาง ได้ใช้ประโยชน์โดยประชาชนทั่วไปด้วย จัดเป็นห้องสมุดสาธารณะแห่งแรกของไทย และเป็นต้นกำเนิดของ "หอสมุดแห่งชาติ" ในปัจจุบัน

โดยพระราชทานนามว่า "หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร" ตั้งอยู่ ณ หอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง (ปัจจุบันคือ ศาลาสหทัยสมาคม) เนื่องจากพระราชประสงค์จะทรงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมชนกนาถ (รัชกาลที่ 4) ครบ 100 ปี 

ประจวบกับประเทศสยามยังไม่มีหอสมุดสำหรับพระนคร จึงทรงอุทิศถวายหอพระสมุดวชิรญาณเป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร พร้อมทั้งขยายกิจการหอพระสมุดวชิรญาณซึ่งแต่เดิมทีเป็นหอพระสมุดสำหรับราชสกุล ให้เป็นหอสมุดสำหรับบริการประชาชนทั่วไป จึงนับเป็นห้องสมุดสาธารณะแห่งแรกของไทย และเป็นต้นกำเนิดของหอสมุดแห่งชาติ

๑๓ ตุลาคม วันนวมินทรมหาราช วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร และพนักงาน สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES

13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) หรือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นับเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประเทศไทย

พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

ตลอดรัชสมัยที่พระองค์ทรงครองราชย์กว่า 70 ปี ได้ดำเนินพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการในพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ และทรงได้รับการยกย่องเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 

เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ของ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทยมาโดยตลอดรัชสมัย รางวัลที่ทางสหประชาชาติจะทูลเกล้าฯ ถวายครั้งนั้น เป็นรางวัลเกียรติยศที่ริเริ่มขึ้นใหม่โดยสหประชาชาติ และเทิดพระเกียรติเป็นกรณีพิเศษ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่งพระองค์จะทรงเป็นผู้ที่ได้รับการถวายรางวัลเกียรติคุณพิเศษนี้เป็นพระองค์แรก

นับตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 น. สิริพระชนมพรรษา 88 พรรษา 313 วัน

‘เทศกาลวัฒนธรรมรัสเซีย’ เตรียมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ 3 พ.ย. นี้ ที่โรงละครอักษรา ฉลอง!! วันเอกภาพแห่งชาติ โชว์ระบำพื้นบ้าน เชื่อมสัมพันธ์ ‘รัสเซีย-ไทย’

(12 ต.ค. 67) เทศกาลทางด้านวัฒนธรรมของชาวรัสเซียจะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื่องในโอกาสวันเอกภาพแห่งชาติ ในงานนี้จะมีนักแสดงหนุ่มสาวจากคณะการแสดง ระบำพื้นบ้าน Katyusha ขึ้นทำการแสดงบนเวทีของโรงละครอักษรากรุงเทพฯโดยงานนี้จะมีการจัดแสดงระบำพื้นบ้าน การเต้นรำและการแสดงอื่น ๆ ตามความหลากหลายของวัฒนธรรม รัสเซียให้ผู้ชมได้รับชมในงานได้เตรียมชุดแต่งกายกว่า500ชุด เพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของประเทศรัสเซีย 

นอกจากนั้นเรายังมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซีย เข้าร่วมแสดงในงานนี้ด้วย ได้แก่คณะเต้นรำจาก Buryatia และ Yakutia โดยจะยิ่งเพิ่มความน่ารักสดใสให้กับเมืองหลวงของประเทศไทยผู้ชมงาน จะได้สัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมจากหลายภูมิภาคในประเทศรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐกาตาร์สถาน บัชคอร์โตสถาน ชูวาเชีย มอร์โดเวีย คาเรเลีย คัลมึกเกีย นอร์ทออสซีเชีย ดาเกสถาน และอื่น ๆ อีกมากมาย 

คณะระบำพื้นบ้าน Katyusha ได้จัดตั้งขึ้นมานานกว่า15ปีแล้วซึ่ง แต่เดิมมีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ให้แพร่หลายขึ้นในประเทศไทย และการจัดแสดงครั้งนี้เป็นปีแรกที่เราได้นำคณะนักเต้น ระบำพื้นบ้านของเราเข้าร่วมการแสดงร่วมกับคณะนักเต้นจาก ประเทศรัสเซีย โดยเราได้ศึกษาลักษณะการเต้นระบำพื้นบ้านที่เป็น ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของการเต้นรำจากดาเกสสถานเลสกินก้า และอาวาร์โดยในงานนี้เราจะจัดแสดงการเต้นรำที่มาจาก 15 ภูมิภาค แม้จะยังน้อยนักเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมการแสดงของชาวรัสเซียทั้งประเทศ ดังนั้นในปีหน้าเราจะมีการแสดงอีกครั้งเพื่อจัด แสดงการเต้นระบำจากภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศรัสเซีย

ผู้อำนวยการเยคาเทอรินน่า อเล็กเซเยวา ของคณะ Katyusha ได้ กล่าวไว้ เทศกาลทางด้านวัฒนธรรมของชาวรัสเซียจะจัดขึ้นในช่วง ก่อนสิ้นปี 2567 ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวระหว่างรัสเซีย-ไทย ซึ่งจะทำให้ทั้งสองชาติมีความสัมพันธ์ฉันมิตร และเชื่อมมรดกทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองชาติ การแสดงเต้นระบำครั้งนี้จะปลุกความสนใจของชาวไทยที่สนใจในวัฒนธรรมของชาวรัสเซีย 

อีกทั้งยังได้ความสามัคคีและ ความเข้าใจต่อความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของโลก เราขอเรียนเชิญทุกท่านเพื่อรับชมและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอันยอดเยี่ยมนี้

14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เกิดเหตุการณ์ ‘4 ตุลา วันมหาวิปโยค’ ก่อนที่จะกำหนดเป็น ‘วันประชาธิปไตย’

วันนี้เมื่อ 51 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้รับการขนานนามว่า "วันมหาวิปโยค" เนื่องจากมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นับแสนคน เดินขบวนต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยและคัดค้านอำนาจเผด็จการของรัฐบาลคณาธิปไตย สมัยพันเอก ณรงค์ กิตติขจร, จอมพล ถนอม กิตติขจร และจอมพล ประภาส จารุเสถียร

โดยครั้งนั้นได้มีการเคลื่อนไหวขับไล่กลุ่มเผด็จการทรราชออกจากอำนาจที่ยึดครองมาหลายสมัย รวมทั้งมีการเรียกร้องให้ปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง 13 คน ที่ถูกจับกุมฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหากระทำผิดกฎหมาย ทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นกบฏภายในราชอาณาจักรและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ จากนั้นรัฐบาลได้ออกปราบปรามผู้ชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 โดยทหารและตำรวจได้ใช้อาวุธ รถถัง เฮลิคอปเตอร์ และแก๊สน้ำตา ยิงใส่ผู้ชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

เหตุการณ์ดังกล่าวได้ลุกลามใหญ่โต เมื่อประชาชนที่โกรธแค้นต่างร่วมมือกันต่อสู้ และบางส่วนได้เผาทำลายอาคารสถานที่และยานพาหนะของทางราชการ แต่ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงแก้ปัญหา เหตุการณ์จึงสงบ โดยจอมพล ถนอม และจอมพล ประภาส ได้ลาออกจากตำแหน่ง ก่อนเดินทางออกนอกประเทศ

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จฯ เยี่ยมผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และสำหรับผู้เสียชีวิต โปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชทานเพลิงศพที่ทิศเหนือของท้องสนามหลวง และนำอัฐิไปลอยอังคารด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา อ่าวไทย อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ ให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรีในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อฟื้นฟูระเบียบของบ้านเมือง เพื่อประสานสามัคคีให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และร่างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมในการปกครองประเทศ จากนั้นจึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2517

ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้มีการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ขึ้น ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 28 ปี พร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิ 14 ตุลา ขึ้นด้วย ต่อมารัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ได้ลงมติเห็นชอบให้วันที่ 14 ตุลาคม ของทุกปี เป็น "วันประชาธิปไตย" เพื่อเป็นการรำลึกถึงพลังบริสุทธิ์ของคนหนุ่มสาวที่เสียสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย

นอกจากนี้มติของรัฐสภายังเห็นชอบให้มีการนำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บรรจุในหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงเหตุการณ์สำคัญของชาติ ซึ่งถือว่ากรณีดังกล่าวเป็นการเมืองภาคประชาชน ที่มีผลต่อการพัฒนาการเมืองจนมีระบบรัฐสภาต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

15 ตุลาคม พ.ศ. 2546 รถไฟฟ้า MRT ขบวนแรกเดินทางถึงไทย ด้วยเครื่องบินขนส่งใหญ่สุดในโลก ‘Antonov’

วันนี้เมื่อ 21 ปีก่อน รถไฟฟ้า MRT ขบวนแรก เดินทางถึงประเทศไทย ก่อนจะนำมาให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2547

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นวันที่รถไฟฟ้า MRT ขบวนแรก ซึ่งเป็นรุ่น ซีเมนส์ โมดูลาร์ เมโทร ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากยุโรปมาถึงประเทศไทย โดยถูกบรรทุกมาด้วยเครื่องบินขนส่ง Antonov ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

โดยรถไฟฟ้ารุ่นซีเมนส์ โมดูลาร์ เมโทร ได้เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ในเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลหรือสายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกในประเทศไทย มีระยะทาง 20 กิโลเมตร จากสถานีหัวลำโพง - สถานีบางซื่อ รวม 18 สถานี

เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่รถไฟฟ้ารุ่นนี้ยังคงวิ่งให้บริการอยู่ ทั้งหมด 19 ขบวน ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ จนได้มีการเปิดให้บริการเพิ่มเติมครบลูปสายสีน้ำเงิน ไม่ว่าจะเป็นช่วงหัวลำโพง-บางแค หรือบางซื่อ-ท่าพระ โดยได้รับการดูแล บำรุงรักษาตามมาตรฐานอย่างดีเพื่อให้มีความปลอดภัย และพร้อมให้บริการอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินมีรถไฟฟ้าให้บริการทั้งหมด 54 ขบวน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top