Sunday, 8 June 2025
LGBTQ

ศาลมาเลย์สั่งรัฐบาล คืนนาฬิกา 172 เรือน รุ่น 'ไพรด์' ให้บริษัท สวอท์ช

(29 พ.ย.67) ศาลมาเลเซียมีคำสั่งให้คืน นาฬิกาสวอท์ช ไพรด์ รุ่นสีรุ้งจำนวน 172 เรือนให้แก่บริษัทสวอท์ช ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่ถูกทางการมาเลเซียยึดไปเมื่อปีที่แล้ว โดยศาลตัดสินว่าการยึดนาฬิกาดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียไม่ได้มีหมายศาลในการยึดทรัพย์ และกฎหมายที่ห้ามขายนาฬิกานั้นก็ไม่ได้รับการอนุมัติจากศาล

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม 2566 รัฐบาลมาเลเซียอ้างว่า นาฬิกาไพรด์ ซึ่งมีสัญลักษณ์ LGBTQ+ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดตามกฎหมายและหลักศาสนาของประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม โดยมีกฎหมายห้ามความรักที่ไม่ใช่ระหว่างชายหญิง และผู้กระทำผิดอาจถูกจำคุกสูงสุด 20 ปี โดยเจ้าหน้าที่ยึดสินค้าจากร้านสวอท์ชทั่วมาเลเซีย บริษัทสวอท์ชจึงไม่สามารถจำหน่ายสินค้าที่ถูกยึดไป

ทว่าล่าสุด ศาลได้ตัดสินว่าไม่มีเหตุผลทางกฎหมายในการยึดนาฬิกาเหล่านี้ และถือว่าการยึดทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมสั่งให้ทางการต้องคืนนาฬิกาดังกล่าวแก่บริษัทเอกชนใน 14 วัน นายไซฟุดดิน นาซูชัน อิสมาอิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของมาเลเซีย กล่าวว่าทีมงานด้านกฎหมายจะพิจารณาคำตัดสินอย่างละเอียด ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ต่อไป

ทรัมป์ล้มทุกนโยบาย LGBTQ พร้อมสั่งห้ามสถานทูตใช้ธงสีรุ้ง

(22 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ไม่นานหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง โดยคำสั่งนี้กำหนดให้รัฐบาลกลางยอมรับเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง และยกเลิกตัวเลือกเพศ "X" ซึ่งได้รับการนำเสนอในช่วงที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำหนดให้ประชาชนสามารถเลือกเพศที่ไม่จำเป็นต้องตรงกับเพศกำเนิดในเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น หนังสือเดินทาง วีซา และบัตร Global Entry

คำสั่งนี้มีชื่อว่า "ปกป้องสตรีจากสุดโต่งแห่งอุดมการณ์เรื่องเพศและฟื้นฟูความจริงทางชีววิทยาในรัฐบาลกลาง" โดยระบุให้หน่วยงานรัฐทั้งหมดใช้คำว่า "sex" (เพศ) แทนคำว่า "gender" (อัตลักษณ์ทางเพศ) และยืนยันว่าสิ่งที่เป็นเพศนั้นเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งขัดแย้งกับการยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายที่มีผลจากนโยบายของรัฐบาลไบเดน

การบังคับใช้คำสั่งนี้จะส่งผลต่อเอกสารราชการต่างๆ เช่น หนังสือเดินทางและวีซา ที่จะต้องแสดงเพศตามกำเนิดของผู้ถือเอกสาร นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการพื้นที่แยกตามเพศ เช่น เรือนจำ ศูนย์พักพิงผู้อพยพ และสถานพักพิงสำหรับเหยื่อความรุนแรงทางเพศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ที่อยู่ในพื้นที่แยกตามเพศ

คำสั่งนี้ยังได้กำหนดมาตรการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภาษีเพื่อป้องกันการสนับสนุนอุดมการณ์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศในหน่วยงานรัฐบาล ข้อกำหนดเหล่านี้จะมีผลทันทีและต้องได้รับการปฏิบัติในทุกหน่วยงานของรัฐ

การออกคำสั่งนี้ถือเป็นการย้อนกลับนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่ได้เพิ่มตัวเลือกเพศ "X" ในเอกสารราชการ โดยไม่ต้องการเอกสารทางการแพทย์ในการเปลี่ยนแปลงเพศ และยังเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลายสามารถเลือกระบุเพศของตนเองได้

การออกคำสั่งนี้ส่งผลให้ชุมชน LGBTQI+ เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียสิทธิทางกฎหมาย โดยเฉพาะสิทธิในการแต่งงานเพศเดียวกัน ซึ่งได้รับการรับรองในคดี Obergefell v. Hodges ปี 2558 การกลับมาของทรัมป์และการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมทำให้เกิดความกลัวว่าอาจจะมีการยกเลิกคำตัดสินนี้ในอนาคต

ท่ามกลางความกังวลนี้ คู่รัก LGBTQ หลายคู่ได้เร่งจดทะเบียนสมรสเพื่อให้สิทธิทางกฎหมายก่อนที่การเปลี่ยนแปลงนโยบายจะมีผล ข้าราชการและอาสาสมัครในหลายรัฐได้ร่วมกันจัดพิธีแต่งงานฟรีให้คู่รักเหล่านี้ ขณะเดียวกัน คู่รักหลายคู่ยังได้เร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงเอกสารสำคัญ เช่น สูติบัตรและใบขับขี่ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีการยกเลิกคำตัดสิน Obergefell หรือสิทธิการแต่งงานเพศเดียวกันโดยตรง แต่ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายได้เตือนว่าความเสี่ยงทางกฎหมายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากท่าทีของผู้พิพากษาบางคนที่มีแนวคิดขัดแย้งกับสิทธิของ LGBTQ ขณะเดียวกันการบังคับใช้กฎหมาย Respect for Marriage Act จะยังคงบังคับให้รัฐบาลกลางยอมรับการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ออกนโยบาย "ธงเดียว" คือธงชาติสหรัฐเท่านั้น โดยคำสั่งของนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐคนใหม่ ได้สั่งห้ามสถานทูตสหรัฐฯ ใช้ธง LGBTQ และ BLM โดยระบุว่าจะมีการแสดงเพียงธงชาติสหรัฐฯ เท่านั้น และธงที่เคยใช้ในยุคไบเดนเช่นธง LGBTQ และ Black Lives Matter จะไม่ได้รับอนุญาตให้ชักธงดังกล่าวอีกต่อไป

คำสั่งนี้ระบุไว้ตามรายงานของ The Washington Free Beacon ซึ่งได้รับสำเนาของคำสั่งว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ธงชาติสหรัฐอเมริกาจะได้รับการอนุญาตให้ชูหรือแสดงที่สถานที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงในเนื้อหาของรัฐบาลสหรัฐฯ ธงชาติสหรัฐฯ คือสัญลักษณ์ที่รวมใจชาวอเมริกันทุกคนภายใต้หลักการพื้นฐานของความยุติธรรม เสรีภาพ และประชาธิปไตย ค่านิยมเหล่านี้ซึ่งเป็นรากฐานของประเทศที่ยิ่งใหญ่ของเราได้รับการยอมรับจากพลเมืองอเมริกันทุกคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน … ธงชาติสหรัฐฯ เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และมันเป็นเรื่องที่เหมาะสมและให้เกียรติที่ธงชาติสหรัฐฯ เท่านั้นที่จะถูกชูหรือแสดงที่สถานที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

หากมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศละเมิดนโยบายใหม่ดังกล่าว จะได้รับการดำเนินการทางวินัย รวมถึงการยกเลิกการจ้างงานหรือสัญญา หรือการโอนไปยังหน่วยงานต้นสังกัด

'มาริษ' ชี้นานาชาติชื่นชมไทย ย้ำคนไทยต่างแดนจดทะเบียนได้ที่สถานทูต

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในวันนี้ (23 มกราคม) ว่า กระทรวงการต่างประเทศรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนในประเทศไทยสามารถสร้างครอบครัวและออกแบบชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน

นายมาริษกล่าวต่อไปว่า การมีผลบังคับใช้ของกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวันนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากมิตรประเทศในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่ผ่านกฎหมายนี้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างบทบาทสำคัญของไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรอบสหประชาชาติ และแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเคารพสิทธิความเท่าเทียมของทุกคน

กระทรวงการต่างประเทศยังยินดีเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมให้แก่คนไทยในต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกพร้อมให้บริการการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมในประเทศที่กฎหมายท้องถิ่นยอมรับ

ทรัมป์สั่งพนักงานรัฐแจ้งเบาะแส หากเจอโครงการหนุนความหลากหลายทางเพศ

(23 ม.ค.68) รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้พนักงานรัฐรายงานหากพบว่ามีการซ่อนโครงการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก (Diversity, Equity, and Inclusion – DEI) โดยขู่ว่าจะดำเนินการทางวินัยหากไม่รายงานภายใน 10 วัน

คำสั่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการยกเลิกโครงการ DEI ในภาครัฐ ซึ่งถือเป็นการกลับลำนโยบายจากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ให้ความสำคัญกับ DEI

คำสั่งระบุว่ามีการปกปิดโปรแกรม DEI บางส่วนในรัฐบาลโดยใช้ภาษาที่คลุมเครือ ผู้ที่รายงานภายในเวลาที่กำหนดจะไม่ถูกลงโทษ แต่หากไม่รายงานภายใน 10 วันอาจเผชิญกับผลกระทบทางวินัย

คำสั่งนี้ได้ถูกส่งไปยังพนักงานหลายกระทรวง ซึ่งอ้างว่ามาจากรัฐมนตรีหลายคนในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ เช่น จากกระทรวงการต่างประเทศ โดยระบุว่าเป็นคำสั่งจากมาร์โก รูบิโอ และจากกระทรวงยุติธรรม โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งจากรักษาการอัยการสูงสุด เจมส์ แมคเฮนรี

ทรัมป์มองว่าโครงการ DEI เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวอเมริกันบางกลุ่ม โดยมุ่งเน้นที่เชื้อชาติและเพศมากกว่าคุณสมบัติของผู้สมัคร ฝ่ายสนับสนุนสิทธิพลเมืองกลับมองว่า DEI เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการเหยียดเชื้อชาติที่มีมายาวนาน

การกระทำของทรัมป์ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมือง โดยศาสตราจารย์ไซคี วิลเลียมส์-ฟอร์สัน มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ กล่าวว่าความไม่พอใจในหมู่ชายผิวขาวกำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ทรัมป์กลับมามีบทบาททางการเมืองได้ แม้จะเผชิญกับคดีความหลายคดี

ขณะเดียวกัน สส. แฮงค์ จอห์นสัน จากพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ทรัมป์กำลังทำลายความก้าวหน้าที่คนผิวดำได้สร้างขึ้นในช่วงหลายทศวรรษ

นอกจากนี้ ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทรัมป์ยังได้ยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารปี 2508 ของอดีตประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ที่ห้ามผู้รับเหมาของรัฐบาลกลางเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน และยังพยายามกดดันบริษัทเอกชนที่รับงานจากรัฐบาลให้ยกเลิกโครงการ DEI โดยขู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม

ล่าสุด รัฐบาลทรัมป์ได้เรียกร้องให้พนักงานรัฐรายงานข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ DEI ที่อาจถูกซ่อนไว้ โดยกำหนดให้พนักงานแผนก DEI หยุดงานโดยได้รับค่าจ้างภายในเวลา 17:00 น. ของวันพุธที่ 22 มกราคม และปิดเว็บเพจของหน่วยงาน DEI ทั้งหมดภายในเวลานี้

แคโรไลน์ ลีวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาวกล่าวว่า คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้แล้ว และหน่วยงานของรัฐบาลกลางจะต้องส่งแผนการเลิกจ้างพนักงานภายในวันที่ 31 มกราคม

ฝ่ายสนับสนุนสิทธิพลเมืองได้ออกมาต่อต้านการกระทำนี้ โดยมองว่าโครงการ DEI มีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการเหยียดเชื้อชาติที่ยาวนาน ขณะที่ทรัมป์และผู้สนับสนุนมองว่า DEI เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวอเมริกันคนอื่น

คนไทยจูงมือจด 'สมรสเท่าเทียม' เริ่มชีวิตคู่ตามกฎหมาย ส่งเสริมหลากหลายทางเพศ

เมื่อวานนี้ (23 ม.ค. 68) กฎหมายสมรสเท่าเทียมแห่งประเทศไทยมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม 'บางกอกไพรด์' (Bangkok Pride) ภาคประชาสังคมท้องถิ่น ร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจัดงานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ ณ สยามพารากอน กรุงเทพฯ มีทั้งการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม เดินขบวนพาเหรด และสุนทรพจน์จากนักการเมืองคนสำคัญ ดึงดูดความสนใจของประชาคมโลก

เดือนไพรด์บางกอกมักจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปี และถือเป็นกิจกรรมสำคัญในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ เนื่องด้วยกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยมีผลใช้บังคับในปีนี้ จึงได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองพิเศษขึ้นในเดือนมกราคม โดยเน้นที่ประเด็นด้านสมรสเท่าเทียม แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญของประเทศไทยในด้านค่านิยมความเสมอภาคและความหลากหลาย และเป็นหมุดหมายสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศของชาว LGBTQ+ กิจกรรมครั้งนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้า นายเศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (Chadchart Sittipunt) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนักการเมืองท่านอื่น ได้เข้าร่วมงานดังกล่าว เพื่อแสดงถึงความสนับสนุนและความคาดหวังต่อสมรสเท่าเทียม

นายจาง จวิ้น ฝู ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย (สำนักงานฯ) ได้นำ นายต่ง ซือ ฉี รองผู้อำนวยการใหญ่ และคณะเข้าร่วมงานดังกล่าว นายจางฯ ได้จับมือกับนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงคำอวยพรจากไต้หวัน นอกจากนี้ ยังได้พบปะหารือกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศประจำประเทศไทย รวมถึงเอกอัครราชทูตประเทศอื่นประจำประเทศไทย เช่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน เพื่อเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ร่วมกัน

นายจางฯ ได้กล่าวว่า เมื่อปี 2017 ไต้หวันในฐานะที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับเป็นประเทศแรกในเอเชีย มีความเข้าใจถึงความสำคัญของสมรสเท่าเทียมอย่างลึกซึ้ง พร้อมกล่าวว่า “ในฐานะพันธมิตรที่มีแนวคิดเหมือนกัน ไต้หวันและไทยมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามค่านิยมสากล เช่น เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไต้หวันขอชื่นชมความก้าวหน้าและความเป็นผู้นำของไทยในการส่งเสริมสมรสเท่าเทียม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบนพื้นฐานค่านิยมร่วมกันจะกระชับความร่วมมือทวิภาคีให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้านเศรษฐกิจ การค้า และสิทธิมนุษยชน ร่วมกันนำมาซึ่งความหวังและความก้าวหน้าสู่ภูมิภาค”

ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้แสดงความยินดีประเทศไทยผ่านทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กเช่นกัน

เช้าวันนี้ นายต่ง ซือ ฉี รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานฯ ได้เดินทางไปยัง สำนักงานเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสักขีพยานเรื่องหน่วยงานทะเบียนราษฎรไทยรับจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม อันเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังได้หารือกับ นายธัญญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส. พรรคประชาชน และ ผู้ผลักดันกฎหมายการสมรสเท่าเทียมในไทย พร้อมแสดงความชื่นชมอย่างสูงต่อความก้าวหน้าด้านสมรสเท่าเทียมของประเทศไทย นอกจากนี้ เขายังได้พบกับปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. พรรคประชาชน และ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ อดีต สส. พรรคก้าวไกล พร้อมแจ้งว่าไต้หวันสนับสนุนสมรสเท่าเทียมในไทย และเชิญชวนให้เดินทางไปไต้หวันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการส่งเสริมกฎหมายสมรสเท่าเทียม อีกทั้ง นายต่งยังได้พบกับ แมงโก้คัปเปิล  (Mango Couple) ยูทูบเบอร์เกาหลี และได้ใช้ภาษาเกาหลีสนทนาเกี่ยวกับประเด็นสมรสเท่าเทียม สื่อให้เห็นถึงความกระตือรือร้นและการสนับสนุนในการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม

ไฮไลต์ของงานนี้ ได้แก่ พิธีจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม การแสดงเชิงพหุวัฒนธรรม และการกล่าวสุนทรพจน์โดยนักการเมืองสำคัญหลายท่าน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยในการโอบอ้อมอารีค่านิยมที่หลากหลาย และยังเน้นย้ำถึงความพยายามของรัฐบาลไทยที่กระตือรือร้นในการส่งเสริมความเสมอภาค

ข่าวของสำนักงานฯ ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายการสมรสเท่าเทียมถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในกระบวนการเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมกันของไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นฐานค่านิยมร่วมกันระหว่างไต้หวันและไทย อนาคตจะมีความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เพื่อผลักดันประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันที่มีความโอบอ้อมอารี

แฟนคลับ เป็นปลื้ม!! ‘พี่ตุ๋ย พีระพันธุ์’ เปิดงาน ‘เทศกาลแห่งความรักสีสันจังหวัดตรัง’ เดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ด!! เป็นพยานรัก ‘LGBTQ+’ จดทะเบียนสมรสที่ ‘เกาะกระดาน’

(15 ก.พ. 68) แฟนคลับโพสต์เกี่ยวกับท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า …

สีสันวันแห่งความรัก....พี่ตุ๋ย - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สวมเสื้อสีชมพูตามธีมของเทศกาล ไปเป็นประธานเปิดงานเทศกาลแห่งความรักสีสันจังหวัดตรัง (เทศกาลวิวาห์ใต้สมุทร 2025) ที่จังหวัดตรัง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารภาคเอกชน และ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้การต้อนรับ ก่อนเดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ดไปยังสถานที่จัดกิจกรรม “รักที่สุด กลางสมุทรอันดามัน” ซึ่งเป็นการจดทะเบียนสมรสที่เกาะกระดาน ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก และในปีนี้ยังมีคู่รัก LGBTQ+ ร่วมจดทะเบียนสมรสด้วย

เทศกาลนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวตรังและของประเทศไทยซึ่งจัดต่อเนื่องมากว่า 28 ปี และเคยได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกใน Guinness World of Record เพราะนอกจากจะเป็นการฉลองเทศกาลแห่งความรักแล้ว กิจกรรมนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าของจังหวัดตรังและของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริม Soft Power ของไทย ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมในภาคใต้ด้วย

สำหรับการจัดงานปีนี้ ทางจังหวัดตรังได้บูรณาการร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมรณรงค์ให้ชาวตรังใส่เสื้อสีชมพูในช่วงเทศกาล นอกจากจะมีการจัดงานวิวาห์ใต้สมุทรแล้ว ยังมีกิจกรรมเดินขบวนพาเหรด LGBTQ+ การสนับสนุนสินค้า OTOP การให้ส่วนลดค่าที่พัก และส่วนลดค่าอาหาร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัดอีกด้วย โดยการจัดงาน จะมี 2 รูปแบบ ได้แก่ “วิวาห์ใต้สมุทร” ซึ่งเป็นการดำน้ำจดทะเบียนสมรสบริเวณหินก้อนเดียว หน้าถ้ำมรกต และ “รักที่สุด กลางสมุทรอันดามัน” ซึ่งเป็นการจดทะเบียนสมรสที่เกาะกระดาน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top