เมื่อไม่นานนี้ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเป็นอย่างมากจากกรณีที่ ‘พิมรี่พาย’ แม่ค้าขายของออนไลน์ชื่อดัง เกิดอาการคล้ายคนสติหลุด และโวยวายใส่พนักงานกลางไลฟ์สดขณะที่กำลังทำการขายสินค้าอยู่
ล่าสุด ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่งชื่อ ‘gikgok999’ ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น รวมถึงได้วิเคราะห์พฤติกรรมของพิมรี่พายเบื้องต้น โดยระบุว่า…
‘พิมรี่พาย’ หลงเข้าไปอยู่ในจุดที่น่ากลัวที่สุด สําหรับการเป็น ‘อินฟลูเอนเซอร์’ นั่นคือ ‘การมีอีโก้’
จากกรณีที่พิมรี่พายเกิดอาการคล้ายคนสติหลุดกลางไลฟ์สด และโวยวายใส่พนักงาน ทุ่มสินค้าเพื่อระบายอารมณ์ นำลิปสติกมาเขียนฟัน หรือใช้น้ำมันมาราดที่ใบหน้า เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสินค้าที่กำลังจะขาย โดยต้นเหตุคาดว่า อาจมาจากการที่ลูกน้องขึ้นรหัสสินค้าผิดตามที่ปรากฏในข่าว
จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นดูผิดปกติจากมนุษย์ทั่วไป หากลองวิเคราะห์เชิงมนุษยศาสตร์ดูแล้ว คุณพิมรี่พายกำลังหลงใหลในอีโก้ ตัวตน และชื่อเสียงที่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมา ในช่วงก่อนหน้านี้ ผู้คนอาจจะนิยมชมชอบในตัวของเขา และสังคมต้องการคนแบบพิมรี่พายที่คอยมอบความบันเทิงให้ อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าขายจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ทำรายได้ให้ตัวเองได้มากกว่าร้อยล้านพันล้านบาท นอกจากนี้ยังนำไปแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้ สร้างกิจกรรมดีๆ คืนกำไรให้สังคมอย่างมากมาย นี่คือ ‘พิมรี่พาย’ คนเดิมที่เรารู้จัก
แต่ตอนนี้เธอกําลังทําให้ตัวเองถูกด้อยค่า ไม่มีใครสามารถมาลดทอนคุณค่าในตัวเธอได้ นอกจากตัวเธอเอง ไม่ว่าจะเป็นการเอาลิปสติกมาทาฟัน เอาน้ำมันพืชมาเทราดหน้า หรือการกรีดร้อง ด่าทอลูกค้าเสียๆ หายๆ การตัดพ้อและทําลายข้าวของผ่านไลฟ์สด ซึ่งในจุดนี้ หากเธอมั่นใจว่าตัวเองมีดีจริงๆ เธอจะไม่ล้ม แต่เธอล้ม และเธอเองก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่ทําลงไปนั้น ส่งผลให้เสียฐานแฟนคลับไปเป็นจำนวนมากในช่วงทึ่ผ่านมา จนในหลายๆ ครั้ง ก็อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกข้องใจ หรืออึดอัดใจแก่ผู้ชมไลฟ์ ทำให้เกิดคำถามมากมายตามมาว่า พิมรี่พายยังไหวไหม? เขามีปัญหาอะไรในชีวิตหรือไม่? หรือเงินทุนกำลังจะหมด? หรือเสียความนิยมเหรอ ถึงต้องลงทุนทำขนาดนี้เพื่อให้เป็นกระแส
สิ่งที่พิมรี่พายควรทํา คือต้องปรับตัวตามยุคสมัย ต้องลดความแรงลง ทั้งในแง่ของการกระทำ อากัปกิริยา และคำพูดที่ใช้ ต้องปรับปรุงใหม่ทั้งหมด และควรปรับเปลี่ยนรูปแบบคอนเทนต์ให้มุ่งเน้นไปในทางให้บริการชุมชน ทำคุณประโยชน์แก่สังคม แบ่งปันสิ่งที่มีให้ผู้คนเมื่อคุณมีมากพอจนเหลือกินเหลือใช้
ที่คุณกลายเป็นคนมีชื่อเสียงได้ดั่งเช่นทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะมวลชนให้การสนับสนุนคุณมาตลอด คุณควรตระหนักถึงสิทธิพิเศษที่มวลชนมอบให้ ฐานเสียงแฟนคลับ ยอดผู้ชมไลฟ์ ยอดผู้ติดตามคอนเทนต์ ผู้คนให้ความนับถือคุณ คุณไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรู้จัก มีชื่อเสียง นั่นคือสิ่งที่มวลชนให้สิทธิพิเศษแก่คุณมา มันจึงเป็นสิทธิที่มวลชนจะวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเห็นว่าคุณทำตัวไม่เหมาะสม ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมเช่นกัน ในเมื่อคุณไม่สามารถสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว คุณก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมมากขึ้น รับผิดชอบด้วยการนําเสนอในสิ่งที่เกิดประโยชน์กับมวลชนและสังคม
ความบันเทิงแบบหยาบคายในช่วงก่อนหน้านี้ที่ผู้คนชื่นชอบ ณ ขณะนี้อาจเปลี่ยนไปแล้ว ผู้คนอาจตระหนักได้ว่า พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากการนั่งดูพิมรี่พายขายของผ่านไลฟ์สด โดยพูดจาหยาบคาย และแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่พิมรี่พายที่ได้ผลประโยชน์ เพราะเขารวยขึ้นๆ อย่างเดียว
ยังไม่นับเรื่องดรามา หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนเป็นกระแสในโลกโซเชียล เช่น ดรามาน้ำปลาร้า ที่ไปรังแกคนทำธุรกิจที่ตัวเล็กกว่า โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นก็เคยตัวเล็กมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่นอินฟลูเอนเซอร์บางคน เมื่อได้ดีแล้วก็ไม่เคยลืมจุดเริ่มต้นที่เคยยืน ไม่ลืมสิทธิพิเศษอันมีค่าที่มวลชนมอบให้ และเติบโตได้อย่างมั่นคง จนสามารถกลับมาช่วยเหลือคนตัวเล็กได้ และส่งต่อน้ำใจในการแบ่งปันนี้ต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งนี้ถือเป็น ‘การจัดการภาวะวิกฤต’ (Crisis management) เป็นการแก้วิกฤต Branding ซึ่งภาพลักษณ์ของพิมรี่พายทั้งในด้านธุรกิจและการวางตัวนั้น ในขณะนี้ต้องขอบอกว่า ‘ป่นปี้’ หมดแล้ว ด้วยการกระทำของตัวเธอเอง