Monday, 9 June 2025
Crimes

‘ผบช.ภ.1’ ปล่อยแถวระดมกวาดล้าง ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์!!

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลา 16:00 น. ที่ลานจอดรถ ห้างแม็คโครคลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 เป็นประธานปล่อยแถวเพื่อระดมกวาดล้างป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ 

โดยมี พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานีพ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง ว่าที่ร้อยตรี พิชญะ เพียราช ปลัดอำเภอคลองหลวง นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุขเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม แรงงานจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ตำรวจสันติบาลจังหวัดปทุมธานี และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปทุมธานี เข้าร่วมปล่อยแถว 



ในเวลาต่อมา พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 พร้อมส่วนเกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบตลาดผลไม้ตลาดไท ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมี พ.ต.ต.สิรภพ บัวหลวง สว.สส.สภ.คลองหลวง พร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ตลาดไท ให้การต้อนรับและนำตรวจแผงค้าผลไม้และพื้นที่ตลาดไทเนื้อที่กว่า 500 ไร่  

ด้านพล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและผบ.ตร.ให้ดูแลเรื่องแรงงานต่างด้าวให้เข้มข้นตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมามีการเข้มงวดตรวจสอบแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยเข้ามาอย่างถูกต้องหรือไม่ มีการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมายหรือไม่การตรวจวันนี้มีการทำพร้อมกันทั้งจังหวัดปทุมธานี ทุกโรงพัก ว่าเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เข้าเมืองอย่างถูกต้องโดยถูกกฎหมายหรือไม่ 

ตร.ประจวบฯ โชว์ฟอร์ม!! ‘จับยาบ้า - กัญชา’ มูลค่ารวม 100 ล้านบาท คาด่านห้วยยาง!!

สภ.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ 7 พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผบก.ภ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.นนท์ ภักดีพันธ์ ผกก.สภ.ห้วยยาง นายอำนาจ เหล่ากอที  ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 7 นายพรหมพิริยะ กิจนุสนธิ์ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่จำนวน 2 คดี ได้ผู้ต้องหา 4 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1 ล้านเม็ด กัญชาแห้งอัดแท่งหนัก 660 กิโลกรัม (กก.) คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท  

โดยกลางดึกคืนที่ผ่านมา ขณะเจ้าหน้าที่สนธิกำลังตั้งด่านตรวจสิ่งผิดกฎหมายบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ด้านหน้า สภ.ห้วยยาง พบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าตอนครึ่งสีบรอนซ์เงิน ทะเบียน บน 9396 ภูเก็ต สภาพเก่าวิ่งมา แต่ก่อนถึงด่านตรวจประมาณ 50 เมตร รถคันดังกล่าวเห็นมีด่านอยุ่ข้างหน้าจึงหักหลบเข้าซอยข้างทาง ตำรวจประจำด่านเห็นผิดสังเกตจึงขับตามจนทันก่อนเรียกให้จอด ทราบชื่อคนขับว่า นางอุทัย หลวงสมบัติ อายุ 46 ปี มี น.ส.จันทนา หลวงสมบัติ อายุ 26 ปี ทั้งคู่เป็นชาว จ.พังงา นั่งคู่มาด้วยท่าทางมีพิรุธ จึงขอตรวจค้นที่กระบะท้ายพบกล่องโฟมปิดผนึกอย่างดีวางรวม 5 กล่อง เมื่อเปิดออกดูถึงกลับตะลึง พบยาบ้ากล่องละ 200,000 เม็ด รวม 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่จึงนำตัวมาสอบสวน

เบื้องต้นนางอุทัยรับว่าได้รับการว่าจ้างจากชายคนหนึ่งเป็นเงิน 20,000 บาทแต่ยังไม่ได้รับเงิน ให้ขับรถขนกล่องโฟม 5 ใบโดยบอกว่าภายในเป็นดอกมะลิ จากบริเวณแยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ให้ไปส่งที่ศาลพ่อตาหินช้าง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และจะมีคนมารับอีกทีหนึ่ง แต่ระหว่างทางถูกจับกุมเสียก่อน เบื้องต้นตำรวจไม่ปักใจเชื่อก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปสอบสวนขยายผลดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนอีกราย ขณะเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ด้านหน้า สภ.ห้วยยาง มีรถกระบะมาสด้า ตอนครึ่ง สีขาว ป้ายทะเบียน ผน 7064 อุดรธานี ขับผ่านมา มีนายเกรียงไกร บุญคำ อายุ 36 ปี ชาว จ.สกลนคร เป็นคนขับ น.ส.กรรณิกา ปาละสิทธิ์ อายุ 33 ปี นั่งคู่มาด้วย ทั้ง 2 คนท่าทางมีพิรุธเมื่อเห็นตำรวจจึงขอตรวจค้น พบกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 660 แท่ง ๆ ละ 1 กก.รวม 660 กก. ซุกซ่อนอยู่ในถุงปุ๋ยโดยมีกล่องเหล้า กระสอบฟางแห้งปิดทับเพื่อตบตา จึงควบคุมตัวมาสอบสวน

 

ตร. สั่งกำชับ!! ตำรวจทั่วประเทศเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหา รับมือนักเรียน - นักศึกษา ‘ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน’!!!

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีที่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน จนสร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน โดยมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบตามภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นั้น

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปป.) ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาฯ อีกทั้งมีความห่วงใย ต่อเด็กและเยาวชน ที่อาจเกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (ช่วยงาน (ปป.)) เป็นหัวหน้ารับผิดชอบควบคุมกำกับดูแล การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการประชุมการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ผ่านระบบวิดีโอทางไกล (VDO Conference) ในวันอังคารที่ 14 ธ.ค. 64 เวลา 10.00 น ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร. โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุมฯซึ่งการประชุมฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) ให้ทุก บก./ภ.จว. ที่มีสถานการณ์ปัญหา นักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการ (IPB) โดยให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ที่มักจะเป็นจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม รวมถึงการสำรวจกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบและการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ

2) สำหรับ บก./ภ.จว. ที่มีการรับแจ้งเหตุเกิดขึ้นแล้วและมีผู้บาดเจ็บ หรือมีผู้เสียชีวิต รวมทั้งการรับแจ้งเหตุว่าจะมีการรวมตัวกันก่อเหตุและสามารถเข้าไประงับหรือป้องกันเหตุได้ก่อน ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ขึ้น เพื่อทบทวนบทเรียนหลังจากที่มีการปฏิบัติ (AAR) เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน หรือปัญหาอุปสรรค เพื่อทำการแก้ไข ทั้งนี้มุ่งหวังให้มีรูปแบบการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน (SOP) และมีการออกแผนปฏิบัติการและทำการซักซ้อมแผนเป็นประจำ สำหรับกรณีนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทแล้วมีผู้บาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาล ให้มีแผนเผชิญเหตุและทำการซักซ้อม เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทต่อเนื่องที่โรงพยาบาลด้วย

3) นำข้อมูลที่ได้จากการรับแจ้งเหตุทางศูนย์วิทยุ 191 มาเป็นข้อมูลในการประชุมงานสายตรวจ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และจัดทำแผนการตรวจ ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในพื้นที่ หากห้วงเวลาหรือ สถานที่ที่ได้จากการวิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มการรวมตัวก่อเหตุ ให้มีมาตรการที่ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

4) การบูรณาการความร่วมกัน ระหว่าง งานป้องกันปราบปราม งานสืบสวน และพนักงานสอบสวน ในระดับ สน./สภ. เมื่อรับแจ้งเหตุว่าจะมีเหตุดังกล่าว จะต้องประสานงานทั้งสายตรวจประเภทต่าง ๆ และทีมสืบสวน เพื่อเข้าไปป้องกันเหตุ หรือคลี่คลายสถานการณ์ หากเป็นเหตุที่จะต้องดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ฝ่ายสืบสวนจะต้องเร่งพิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคล ที่ก่อเหตุ เพื่อดำเนินการด้วยความรวดเร็ว

5) มาตรการประสานงานกับสถาบันการศึกษา นั้น กำชับให้ระดับ ผกก.หัวหน้าสถานี เป็นผู้ประสานงานกับ ผอ.สถาบันการศึกษาที่มีความเสี่ยง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกันและกันโดยตรง

6) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลการป้องกันและแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานกับเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือ และหาแนวทางในการป้องกันเหตุนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทต่อไป

 

ตร.เตือน!! คิดก่อนลงทุน ‘เงินสกุลดิจิทัล’ เสี่ยงถูกหลอก - สูญเงินนับล้าน!!

วันที่ 16 ธ.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้าจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจขุดบิตคอยน์ (Bitcoin)

โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนโดยทั่วไป โดยผู้เสียหายจะต้องโอนเงินทุนเป็นบิตคอยน์มาให้กับคนร้ายก่อน จากนั้นเมื่อคนร้ายได้เงินก็จะหลบหนีไปพร้อมเงินดังกล่าวและไม่สามารถติดต่อได้  ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 14 ล้านบาท จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังการชักชวนลงทุนเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนที่มีการอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงผิดปกติ หรืออ้างว่าจะได้ผลกำไรแน่นอน เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นการฉ้อโกง และหากพี่น้องประชาชนท่านใดมีความประสงค์ที่จะลงทุนเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบุคคลที่ชักชวนให้ลงทุนและรูปแบบของการลงทุนดังกล่าว ก่อนที่จะลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง และหากผู้ที่ชักชวนให้ลงทุนมีการอ้างว่าได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการดังกล่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย พี่น้องประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อของบุคคลและบริษัทที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/App/BOTLicenseCheck/ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตหรือใบขึ้นทะเบียนให้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยได้

 

‘ผบ.ตร.’ นำทีมแถลงผลการช่วยเหลือ ‘เหยื่อค้ามนุษย์’ ในต่างประเทศ!!

ในรอบปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือผ่านทางสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ว่ามีคนไทยถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างประเทศ และได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จนสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือคนไทยดังกล่าวและเดินทางกลับประเทศไทย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งขยายผลถึงเครือข่ายผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ ที่ได้ใช้โอกาสที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานและค้าประเวณีในต่างประเทศ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปในสังคมในวงกว้าง

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. ในการดำเนินการประสานงานหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กองต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กรมการกงสุล กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น NGO ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ข้อมูลของคนไทยที่ร้องขอความช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือคนไทยซึ่งถูกหลอกลวงกลับมาได้อย่างปลอดภัยจำนวนทั้งสิ้น 364 คน แบ่งเป็นการช่วยเหลือจากประเทศกัมพูชาจำนวน 361 คน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวน 3 คน นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก โดยมีการออกหมายจับผู้กระทำผิดที่หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานในกัมพูชาได้ทั้งสิ้น 32 ราย จับกุมแล้ว 15 ราย คงเหลือ 17 ราย และออกหมายจับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยไปค้าประเวณีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ทั้งสิ้น 25 ราย จับกุมแล้ว 6 ราย คงเหลือ 19 ราย

กรณีผู้เสียหายจากกัมพูชานั้น เป็นกรณีที่ผู้เสียหายได้ถูกหลอกลวงจากข้อมูลการรับสมัครงานทางโซเชียลมีเดียเหมือนปกติทั่วไป ตั้งแต่งานรับจ้างทั่วไป จนถึงงานในคาสิโน โดยมีการใช้ตัวเลขรายได้ที่สูงมาล่อใจ เพื่อให้ผู้เสียหายมีความสนใจสมัครไปทำงานดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วได้มีการนำพาผู้เสียหายข้ามชายแดนโดยผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติ และมีการยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ทำงานที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลอกลวงให้คนไทยลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง หรือคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายมูลค่าหลายล้านบาท หากใครไม่ยอมทำงานดังกล่าวก็จะถูกบังคับทุบตี ทำร้ายร่างกาย กักขัง และอดอาหาร จะต้องหาทางร้องขอความช่วยเหลือจากทางการไทยเพื่อช่วยเหลือกลับประเทศไทย

 

‘นรข.มุกดาหาร’ สนธิกำลัง!! เข้ายึดยานรกข้ามน้ำโขง เกือบ 2 แสนเม็ด!!

สถานีเรือมุกดาหาร จ.มุกดาหาร นายบุญเรือง เมฆฉิม รองผู้ว่าราชการจังหวัด พ.อ.วรพรต แก้ววิจิตร รอง ผอ.รมน.จังหวัดมุกดาหาร และ น.ท.พิเชษฐ์ เมืองโคตร หน.สน.เรือมุกดาหาร แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าจากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติได้ร่วมสองแสนเม็ด

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พล.ร.ต.สมบัติ จูถนอม ผบ.นรข. ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ในพื้นที่รับผิดชอบ สน.เรือมุกดาหาร บริเวณบ้านส้มป่อย ต.นาสีนวน อ.มุกดาหาร จ.มุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ น.ท.พิเชษฐ์ เมืองโคตร หน.สน.เรือมุกดาหาร จัดชุดลาดตระเวนชุ่มเฝ้าตรวจในพื้นที่รับผิดชอบดังกล่าว

ตามข่าวที่ได้รับแจ้งมา จนกระทั่งเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 16 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ซุ่มอยู่ได้ตรวจพบว่ามีเรือกีบแล่นมาจากทางฝั่งแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว เข้ามาจอดฝั่งประเทศไทย บริเวณริมตลิ่งบ้านส้มปอย ต.นาสีนวน ซึ่งอยู่ห่างจากจนท.ชุดปฏิบัติการที่ชุ่มอยู่ประมาณ 50 เมตร จากนั้นก็ได้โยนถุงกระสอบบรรจุสิ่งของขึ้นมาบนตลิ่งริมน้ำเสร็จแล้วก็รีบหันหัวเรือกลับขับไปฝั่งสปป.ลาว เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้เฝ้าสังเกตต่อไปว่าจะมีใครมารับวัตถุสิ่งของดังกล่าวหรือไม่ จนกระทั่งเวลา 04.30 น. ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดแสดงตัวเข้ามาเอาถุงกระสอบวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว

 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! มิจฉาชีพ อ้างเป็นพนักงานบริษัทขนส่งสินค้า - เจ้าหน้าที่ Call Center - ส่ง SMS หลอกลวงข้อมูลส่วนตัว และให้โอนเงิน!!

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนประชาสัมพันธ์ภัยมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน SMS ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือโทรศัพท์ผ่าน Call Center แสดงตนอ้างว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่งหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่ามีพัสดุผิดกฎหมายส่งมายังผู้รับหรือส่งพัสดุไปยังต่างประเทศซึ่งเกี่ยวข้องในการกระทำผิด ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ยินยอมส่งข้อมูลส่วนตัวและโอนเงินไปให้ สร้างความเสียหายห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนเป็นปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำกิจกรรมหรือธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือแอปพลิเคชันมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันเหล่ามิจฉาชีพได้อาศัยช่องว่างหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะต่าง ๆ  อาทิ ส่ง SMS ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือโทรศัพท์ผ่านมือถือ ดังเช่นกรณีเมื่อเดือน พ.ย.64 ที่ผ่านมามิจฉาชีพแสดงตนว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่งหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โทรผ่านโทรศัพท์มือมาแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีพัสดุที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายส่งมายังที่อยู่ของผู้รับและมีการส่งพัสดุไปต่างประเทศ โดยทางบริษัทและเจ้าหน้าที่ของภาครัฐจะขอเข้าไปทำการตรวจสอบและดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวและหลงเชื่อ จึงยินยอมส่งข้อมูลส่วนตัวและโอนเงินไปยังบัญชีที่แก๊งมิจฉาชีพได้แจ้ง เพื่อให้ทำการตรวจสอบเงินดังกล่าว ต่อมาภายหลังผู้เสียหายจึงรู้ว่าตนนั้นถูกหลอก  ซึ่งในเบื้องต้นพบผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเกือบ 50 ราย  มูลค่าความเสียหายกว่า 17 ล้านบาท โดยผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายไว้แล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยประชาชนเกี่ยวภัยการจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว ซึ่งประชาชนอาจตกเป็นเหยื่อและเป็นการสร้างความเสียหายซ้ำเติมความเดือดร้อนห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการและดำเนินการป้องกันปราบปรามตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจัง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลโดยสั่งการและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ให้ทำการสืบสวนสอบสวน ปราบปราม กลุ่มมิจฉาชีพ สืบสวนขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาดจริงจังต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

การกระทำลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเป็นการซ้ำเติมพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกันอยู่แล้วยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งในฐานความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด

รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน ถึงแนวทางการป้องกันการถูกหลอกลวงผ่านแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันออนไลน์ SMS ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือผ่านทางโทรศัพท์ ดังนี้

1.หากมีการกล่าวอ้างว่าท่านไปเกี่ยวข้องการกระทำผิด ให้ตั้งสติ อย่าพึ่งตื่นตระหนกและหลงเชื่อ

2.ทำการบันทึกข้อมูลการสนทนา ภาพหรือวิดีโอ ข้อมูลการโอนเงิน เอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการดำเนินคดี

3.หากมีการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ โดยหลักจะไม่มีการให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคลโดยเด็ดขาด

 

‘ผช.ผบ.ตร.’ บินด่วนลงนราฯ!! แถลงผลเปิดยุทธการสยบไพรี ค้น 2 จังหวัด ทลายเครือข่ายยาเสพติด จับ! 3 ผู้ต้องหายึดทรัพย์มูลค่า 62 ล้านบาท!!!

วันที่ 17 ธ.ค. 64 ณ กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร. ได้เดินทางมาเป็นประธานในการแถลงข่าวการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ตามแผนยุทธการสยบไพรี 65/1 โดยมี พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พล.ต.ต.ดุษฎี ชุสังกิจ รอง ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.กีรติ แวยูโซ๊ะ รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พ.อ.ก่อเกียรติ เข็มแดง รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส และนายปรีชา นวลน้อย ปลัด จ.นราธิวาส ได้ร่วมเดินทางมาแถลงข่าวให้ครั้งนี้

โดย พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ตามแผนยุทธการสยบไพรี ในครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติการสยบไพรี 64/1 ในการจับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ นายวิเชียร เฉียงเมือง นายชัยยุทธ สุธรรม และนายยศวยศ ราตรีสวรรค์ ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมยาบ้า 200,000 เม็ด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 63 และสามารถยึดทรัพย์ของกลางมูลค่า 51 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 64 เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลสามารถจับกุมบุคคลในเครือข่ายดังกล่าวได้เพิ่มเติมอีก 6 คน ซึ่ง 1 ใน 6 คือ นายเชิดชาย สมรฤทธิ์ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 125 ม.7 ต.ทุ่งกระดาดพัฒนา อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ที่มีเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร.ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า จากการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ตามแผนยุทธการสยบไพรี 65/1 ในครั้งนี้ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 17 ธ.ค. 64 ด้วยการปิดล้อมเป้าหมาย 11 จุด โดยแยกเป็นพื้นที่ จ.นราธิวาส 8 จุด ปัตตานี 3 จุด เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติดของนายเชิดชาย ได้อีก 3 คน คือ 1. น.ส.ซากีรา บือโต ที่บ้านพักเลขที่ 95/1 ม.8 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส 2. น.ส.ซากียะ อาแว ที่บ้านพักเลขที่ 81 ถ.พิชิตบำรุง ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส และ 3. น.ส.สุพัชนี แประสามะ อยู่บ้านเลขที่ 4 ม.7 ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเช้าของวันนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ได้แกะรอยทราบถึงเส้นทางที่หลบหนี พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินไปตรวจสอบ อาทิ บ้าน รถยนต์และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 265 ใบ ซึ่งมีมูลค่า 11 ล้านบาทไปตรวจสอบ

และหลังจาก พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร.แถลงข่าวแล้วเสร็จ ได้ถือโอกาสสอบสวนปากคำเบื้องต้น น.ส.ซากีรา บือโต ด้วยตนเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้ ณ ห้องโถง ชั้น 2 ของ กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส แต่ไม่ได้รับการเปิดเผยว่า น.ส.ซากีรา บือโต ให้การอย่างไรบ้าง

 

‘ตร.เตือน’ ระวัง!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ “หมายเรียกตำรวจปลอม” หลอกให้เหยื่อตกใจ โอนเงินมาให้มิจฉาชีพ!!

วันที่ 21 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ในช่วงที่ผ่านมาอาชญากรรมในรูปแบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นอกจากจะแอบอ้างเป็นตำรวจหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายแล้ว อ้างว่าบัญชีธนาคารของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือพัสดุที่ส่งไปต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ฯลฯ ต้องโอนเงินในบัญชีธนาคารมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้ว ปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบไปถึงการปลอมหมายเรียกของพนักงานสอบสวน เพื่อใช้ทำให้เหยื่อเกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี จึงหลงกลโอนเงินไปยังบัญชีมิจฉาชีพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ถึงวิธีการตรวจสอบเบื้องต้น ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหมายเรียกของพนักงานสอบสวนจริงหรือไม่ ดังนี้

1. ชื่อ นามสกุล และที่อยู่ ที่ปรากฏบนหมายเรียกตรงกับชื่อ นามสกุล และที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของท่านหรือไม่

2. สถานีตำรวจหรือหน่วยงานที่ออกหมาย มีอยู่จริงหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้ที่ https://www.royalthaipolice.go.th/station.php

3. หมายเรียกของตำรวจ ไม่จำเป็นต้องมีตราประทับใด ๆ ปรากฏอยู่บนหน้าหมาย จะมีเพียงลายมือชื่อของพนักงานสอบสวนปรากฏอยู่บนหมายเท่านั้น

4.ตรวจสอบว่ามีพนักงานสอบสวนที่ลงลายมือชื่อ อยู่ที่หน่วยงานดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์สถานีตำรวจได้ที่ https://www.royalthaipolice.go.th/station.php และแอปพลิเคชัน “สมุดโทรศัพท์ตำรวจ”

5. เมื่อตรวจสอบกับหน่วยงานที่ออกหมายแล้วว่ามีพนักงานสอบสวนคนดังกล่าวจริง ให้ขอหมายเลขโทรศัพท์ของพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามรายละเอียดเบื้องต้นและนัดหมายวันเวลาในการเข้าพบพนักงานสอบสวน

6. ระมัดระวังการติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าหมาย เพราะอาจเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของคนร้าย

 

รอง ผบ.ตร. แถลงจับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 40,000 กว่าคน และจับกุมเครือข่ายขบวนการขนแรงงานเถื่อนแล้วอีก 154 เครือข่าย พร้อมสั่งทุกหน่วยคุมเข้มมาตรการคุมโควิดช่วงปีใหม่

(21 ธ.ค.64) เวลาประมาณ 13.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวงทรง ผู้ช่วยผบ.ตร. , พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วยผบ.ตร. และพล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการปราบปรามคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ในรอบ 1 ปี เผยจับกุมแรงงานหลบหนีเข้าเมืองได้กว่า 4 หมื่นราย ทลายเครือข่าย/ขบวนลักลอบขนแรงงานหลบหนีเข้าเมืองอีกกว่า 154 เครือข่าย และประชุมสั่งการหน่วยงานในสังกัดคุมเข้มมาตรการโควิดช่วงเทศกาลปีใหม่

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า คณะทำงานสืบสวนปราบปรามเครือข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยได้ดำเนินการปราบปราม และจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยผิดกฎหมายและนายจ้าง รวมถึงร่วมกับหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องในการออกตรวจ สถานประกอบการ โรงงาน ที่พักคนงาน และพื้นที่สุมเสี่ยง อย่างต่อเนื่องและจริงจัง

โดยมีผลการปฏิบัติให้ห้วง 1 ปี (29 ธ.ค. 63 - 15 ธ.ค. 64) สามารถจับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 42,443 ราย ผู้นำ พาฯ 293 ราย ผู้ช่วยเหลือฯ 841 ราย รวมผลการดำเนินจับกุมทั้งสิ้น 43,577 ราย และทลายเครือข่าย/ขบวนการ 221 เครือข่าย จับกุมไปแล้ว 154 เครือข่าย แบ่งเป็น ตัวการ 402 ราย คนต่างด้าว 1,769 ราย ออกหมายจับ 82 หมายจับ กำลังสืบสวนและติดตาม 67 เครือข่าย ตรวจยึดทรัพย์สิน 312 ราย (พาหนะ 182 คัน บัญชีธนาคารกว่า 20 ธนาคารและอื่นๆ) ในส่วนของการกระทำความผิดเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวนั้น ในกรณีนายจ้างรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อแรงงานต่างด้าวหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำมีโทษจำคุกและห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวทำงาน 3 ปี ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และถูกผลักดันออกไปนอกราชอาณาจักร และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี​ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเป็นระบบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและสถานประกอบการที่ขาดแคลนแรงงานให้นำแรงงานต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายเข้าสู่ระบบการจ้างงานตามกฎหมายประเทศไทย เพื่อให้ได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมี โดยให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบห้วง วันที่ 1-30 พ.ย.64 และให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวภายใน 7 วัน ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนแล้ว 279,902 ราย ดังนั้นคนต่างด้าวรายใดที่ไม่ได้ดำเนินการในกำหนดจะถือว่าเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและหากนายจ้างรับเข้าทำงานจะถือว่ามีความผิดฐานรับบุคคลต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงานด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top